ณ ดินแดนแห่งนี้ ที่มีสงครามอย่างไม่ลดละ สงครามทำให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของนักรบมากมาย เหล่านักรบจึงได้หล่อหลอมจิตวิญญาณให้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟที่เป็นพลังที่เป็นเหมือนอาวุธในการต่อสู้ ซึ่งเรียกว่า ศาสตราวุธ
แต่ศาสตราวุธของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตัวของนักรบผู้ใช้และอาจจะมีความคล้ายคลึงกับพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แค่คล้ายคลึงกันเท่านั้น หรือบางคนอาจจะไม่มีก็เป็นได้ ศาสตราวุธไม่ได้เป็นเพียงอาวุธที่ใช้ในการสู้รบอย่างเดียว แต่อาจจะเป็น คน สัตว์ หรือแม้แต่สิ่งของต่างๆ ก็ได้เช่นกัน เสมือนกับว่าเป็นอาวุธคู่กายที่มีความเหมาะสมและคู่ควรกับนักรบผู้ใช้โดยเที่ยงแท้
ในส่วนของความสามารถของศาสตราวุธนั้น ไม่ได้ใช้เพียงต่อสู้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้พรางตัวหรือใช้ควบคุมคู่ต่อสู้ได้ บางศาสตราวุธยังสามารถให้รักษาบาดแผลได้หรือแม้แต่ป้องกันการโจมตีของศัตรู ขึ้นอยู่กับศาสตราวุธของแต่ละคน ที่จะมีความสามารถหลากหลายและแตกต่างกันออกไป
ความสามารถของศาสตราวุธนั้น จะแฝงอยู่ในสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่เรียกว่า เกราะอาวุธ โดยเกราะอาวุธเกิดจากการที่ศาสตราวุธ เเปรผันเป็นชุดเกราะให้กับนักรบผู้ใช้ โดยรูปร่างอาวุธของแต่ล่ะคน จะแตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันทุกคน คือ จะมีเกราะติดอยู่ 6 ส่วน ของร่างกาย ได้แก่
เกราะส่วนหัว
เกราะส่วนตัว
เกราะส่วนแขนขวา
เกราะส่วนแขนซ้าย
เกราะส่วนขาขวา
เกราะส่วนขาซ้าย
โดยเกราะ 1 ส่วนจะมี 3 ระดับ แต่ละระดับจะมี 1 ความสามารถ ที่แตกต่างกันออกไปและเกราะอาวุธระดับสุดท้ายของระดับจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุด
.......
.......
.......
...ณ เมืองแห่งหนึ่ง ที่กำลังมีศึกสงคราม...
.......
.......
.......
เสียงปะทะกันของดาบดังกึ่งก้องไปทั่วเมือง เปลวไฟลุกโชนขึ้นตามบ้านเรือนนั้นมาพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของผู้คนที่วิ่งหนีตาย สงครามนั้นทำให้ผู้คนในเมืองล้มตาย บ้านเรือนเสียหายจากการถูกไฟไหม้ เหลือให้เห็นแต่เพียงซากประหลักหักพัง
หลังจากนั้นเมืองทั้งเมือง ก็กลายเป็นเมืองร้างในช่วงข้ามคืน ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ภายใต้แสงจันทรที่สาดส่อง เผยให้เห็นเรือลำเล็กๆ ลอยออกมาจากแม่น้ำภายในเมืองยามค่ำคืน เรือนั้นค่อยๆ ลอยไปตามทางน้ำออกห่างจากเมือง
.......
.......
.......
...เช้าวันต่อมา...
.......
.......
.......
เสมือนได้พรจากฟากฟ้า ส่งให้เรือลำนั้นลอยไปตามแม่น้ำที่มีชาวบ้านกำลังหาปลาอยู่เเถวๆ นั้นพอดี ชาวบ้านที่หาปลาอยู่ได้เห็นเรือลำนั้นและเมื่อมองเข้าไป พบว่ามีเด็กน้อยที่ยังมีชีวิตนอนอยู่ในเรือ พวกเขาจึงช่วยกันไปลากเรือที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำมาเทียบท่า แล้วรีบเข้าอุ้มเด็กน้อยออกมาจากเรือทันที ดูเพียงภายนอกแล้ว เด็กคนนี้มีหน้าตาที่น่ารักน่าชัง เนื้อตัวอวบอิ่มและแก้มสีชมพูอ่อนๆ ราวกับว่าถูกดูแลเป็นอย่างดี ทั้งผ้าอ้อมที่ใช้ห่อตัวเด็กน้อยนั้น เป็นผ้าฝ้ายสีขาวงามดูสะอาดตา มีลวดลายสีทองประดับอย่างประณีต และมีสร้อยคอที่มีจี้สร้อยเป็นรูปงาช้างสีขาว อยู่ในมือของเด็ก
จากนั้นพวกเขาก็ได้หารือกันว่าจะทำอย่างไรกับเด็ก ทั้งสามจึงได้ตกลงกันว่าต้องให้ใครคนหนึ่งในนั้นเป็นคนเลี้ยงเด็ก หากไม่มีก็คงจะต้องปล่อยเด็กลงเรือให้ลอยต่อไปตามเวรตามกรรม เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว กันต์ หนึ่งในคนที่มาหาปลาด้วย ได้ตอบตกลงที่จะรับเลี้ยงเด็กไว้ด้วยความสงสาร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แล้วเขาก็อุ้มเด็กน้อยกลับบ้านไป
พอกลับถึงบ้าน เขาได้นำตัวเด็กน้ยไปให้ภรรยาของเขา นามว่า ไพรวัลย์ พอนางรู้เรื่องเข้ากันก็ถูกภรรยาตนเองต่อว่ายกใหญ่ แต่เพียงที่กันต์อุ้มเด็กคนนั้นมาให้นางดูใกล้ๆ นางก็เงียบไป นางจ้องมองเด็กน้อยคนนั้นอย่างไม่ละสายตา ดูแก้มอวบอ้วนขอเด็กน้อย ผิวนุ่มและบอบบาง จมูกและปากเล็ก และแขนขาที่ขดอยู่ในผ้าอ้อม ดูอ่อนแอแต่ก็น่าทะนุถนอม เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วนางก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก นางค่อยๆ เอื้อมมือไปอุ้มเด็กน้อยคนนี้ออกจากอกของสามีตนเองอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยคนนี้หน้าตาน่ารักน่าชังมาก จนทำให้ภรรยาของตนตกลงที่จะเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้ไว้เป็นลูกของตนเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังมาจากทางด้านหลังของพวกเขา เมื่อทั้งสองคนหันไปมองก็ปรากฎว่าเป็น กล้า ลูกชายวัย 2 ขวบของพวกเขา ที่เปิดประตูและเดินตรงมาแล้วหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขา ใบหน้าของกล้าเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา
กล้า : ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรอครับ…
กันต์และไพรวัลย์หันไปมองลูกชายตัวน้อยก่อนจะเรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ พวกเขาอุ้มเด็กน้อยในอ้อมแขนให้กล้าดูชัดๆ เด็กชายหยุดยืนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
กล้า : เด็กคนนั้นเป็นใครหรอครับ แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้
กันต์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่การพบเด็กน้อยในเรือที่ลอยน้ำ ไปจนถึงการตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กคนนี้
กันต์ : กล้า..ต่อไปนี้ ให้เจ้าเลี้ยงเด็กคนนี้เป็นน้องชายของเจ้านะ ดูแลน้องด้วยล่ะ ดูแลเขาให้เหมือนกับน้องชายแท้ของเจ้า ถึงแม้จะไม่ใช่ก็ตาม
เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว กล้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็เต็มใจรับ ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวตอบ
กล้า : ครับ...
หลังจากนั้นไพรวัลย์ก็ได้ให้ กันต์ผู้เป็นพ่อไปบอกคนที่ไปหาปลาด้วยกันในวันนั้น ว่าอย่าให้คนในหมู่บ้านรู้เรื่องเด็กน้อยที่อยู่ในเรือเป็นอันขาด แต่ถ้ามีคนอยากรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นใคร ก็ให้บอกไปเพียงว่าเป็นลูกชายคนเขาเท่านั้น กันต์พยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปทันที
กล้าหันหน้าไปหาเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ มองดูนิ้วมือน้อยที่กุมทั้งสองข้างไว้อยู่ระหว่างอก ใบหน้ากลมๆ มีแก้มทำให้กล้าหลงไหลในความน่ารักของเด็กน้อยผู้นั้นไปในตัว ก่อนกล้าจะค่อยๆ ใช้มือเอื้อมเข้าไปไปอุ้มเอาเด็กน้อยที่อยู่ในมือผู้เป็นแม่ เอามาไว้ในอ้อมแขนของตนพร้อมยิ้มให้เด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
ไพรรวัลย์เห็นเช่นนั้น ก็พอจะรู้แล้วว่ากล้าลูกชายของนางจะเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้ไว้เป็นน้องชายได้ และสามารถเป็นพี่น้องกันได้ก็โล่งใจ ก่อนนางลูบหัวลูกชายของตนเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น
ไพรวัลย์ : ต่อจากนี้ เขาเป็นน้องชายของเจ้าแล้วนะ ดูแลน้องให้ดีล่ะ เข้าใจไหม
กล้า : ครับ...
เมื่อกล่าวจบ กล้าหันไปมองเด็กน้อยในอ้อมแขนอีกครั้ง เขาจ้องมองใบหน้ากลมๆ นั้นอยู่สักพัก ก่อนจะตั้งชื่อให้เด็กชายน้อยว่า ทิว ไพรวัลย์ที่เห็นแบบนั้นแล้ว นางลูบหัวลูกชายอีกครั้งก่อนจะพากล้าเดินเข้าไปในบ้านและใช้ชีวิตตามปกติ
ทิวโตมาโดยการเลี้ยดูจากครอบครัวของกล้ามาโดยตลอดและกล้าก็ยังคงดูแลเขาไม่เสมือนว่าทิวเป็นน้อยชายแท้ของเขา
.......
.......
.......
...8 ปีต่อมา...
.......
.......
.......
ทั้งสองคนได้เติมโตขึ้น กล้าได้เรียนการต่อสู้ นั่นคือ มวยไทย ซึ่งเขาก็ชื่นชอบในการชกมวยมากและมีเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนักมวยที่เก่งกาจให้ได้ หลังการแข่งขันการขึ้นชกมวยในวันหนึ่งของกล้า ทิวที่เห็นพี่ของตัวเองบาดเจ็บจากการขึ้นชกมวย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาปีนี้ ทิวจะรู้ว่าพี่ชายของตนทุ่มเทให้กับการชกมวยเป็นอย่างมาก แต่การที่เขาขึ้นชกแล้วแพ้ยับๆ แบบนี้ทั้งยังทำให้พี่กล้านั้นบาตเจ็บแถมยังถูกคนเยอะเย้ยอีก ด้วยอายุเพียงสิบขวบจะไปสู้ใครได้ แต่ถึงทิวจะพูดยังไงกับพี่ชายของเขา กล้าก็ยังไม่ฟังเขาอยู่ดีแถมยังบอกพูดตลอด
กล้า : เหตุผลเดียวของความสำเร็จ คือการไม่ล้มเลิกเป้าหมาย
ทิวที่ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็กลุ้มใจแทนพี่ชายของเขาตลอด แถมกล้ายังย้ำทิวตลอดอีกว่า ห้ามทิวขึ้นชกมวยเป็นอันขาดเพราะมันอาจจะทำให้เจ็บตัวได้ แล้วเขาเดินกลับบ้านในสภาพนั้น
.......
.......
.......
...เมื่อกลับจาก ลานมวย...
.......
.......
.......
พอกลับถึงบ้าน แม่ก็บ่นให้กล้าอย่างหนักเรื่องการชกมวยของเขาและบาดเเผลที่อยู่บนหน้า แต่เหมือนว่ากล้าจะไม่ฟังสิ่งที่แม่บ่น เขารีบเดินออกไปข้างนอกก่อนจะนั่งลงที่ใต้ตนไม้นอกบ้าน ทิวที่เห็นแบบนั้น เขาก็เดินตามหลังออกมาอย่างเงียบๆ แล้วมานั่งลงข้างๆ พี่ชาย สายลมเย็นสบายที่พัดใบไม้ให้ปลิวไปตามสายลมนั้นใต้ต้นไม้ตาของพี่จับจ้องไปที่ดวงดาวที่แวววาวอยู่บนฟากฟ้า ในตาของกล้านั้นมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อยและทิวก็รู้สึกถึงความกังวนนี้ขณะที่เขามองดูพี่ชายของเขา ทั้งสองนั่งเงียบๆ อยู่ด้วยกันซักพักแล้วทิวจึงกล่าวขึ้น
ทิว : พี่กล้า....
กล้า : ฮืม...อะไร
ทิว : พี่เคยคิดบางไหม ว่าพี่ขึ้นชกซักครั้งหนึ่งแล้วชนะโดยไม่มีแผลตามตัวแบบนี้...
กล้า : คิดสิ
ทิว : หืม...จริงหรอครับ!
กล้า : พี่คิดแต่ว่าจะทำเต็มที่ในทุกครั้งที่ขึ้นชก แต่พี่ไม่ได้คิดว่าจะชนะหรือแพ้หรือว่าจะเป็นอะไร
กล้า : พี่รู้นะ ว่าแม่น่ะไม่เคยอย่าจะให้พี่เป็นแบบนี้เลย เพราะไม่ได้อะไรเลยแถมยังเจ็บตัว เอ็งก็เหมือนกันนะไอ้ทิว
ทิว : ทำไมล่ะครับ
กล้า : เพราะมันเจ็บตัวไง พี่ไม่อยากให้เองต้องเจ็บตัวเหมือนพี่นะ
เมื่อเขาพูดจบก็หันมายิ้มให้ทิว พร้อมเอามือไปลูบหัวด้วยความเป็นห่วง เสมือนกับว่าเขานั้นเตือนน้องชายของตนด้วยความรัก ทิวที่ได้ยินพี่ชายของเขาพูดแบบนั้นแล้ว เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ หลังจากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินเข้าไปกินข้าวแล้วเข้านอน...
.......
.......
.......
...เช้าวันต่อมา...
.......
.......
.......
กล้าตื่นมาหุงข้าว เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พ่อกับแม่และทิวตั้งแต่เช้า พอกินเข้าเสร็จ พวกเขาทั้งสองก็เดินทางไปโรงเรียนกัน เมื่อถึงโรงเรียนสองพี่น้องก็ต้องแยกย้ายไปเรียนตามปกติ แล้วค่อยเจอกันอีกทีตอนหลังเลิกเรียน
.......
.......
.......
...หลังเลิกเรียน...
.......
.......
.......
สองพี่น้องก็ได้มาเจอกันอีกครั้ง จากนั้นกล้าและทิวก็ว่าจะเดินกลับบ้านตามปกติ แต่ก็มีครูฝึกสอนชายนามว่า ครรชิต ได้ตรงมาที่กล้า แล้วบอกว่าให้ไปรวมกันที่ หอฝึกศาสตราวุธเริ่มต้น ซึ่งกล้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโรงเรียนของเขามีอะไรแบบนั้นด้วย ครูฝึกสอนคนนั้นจึงพาพวกเขาไป ในระหว่างทางกล้าเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา ถูกครูคนอื่นๆ พามาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ทิว : พี่กล้า พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ข้าอยากกลับบ้าน…
ทิวเริ่มรู้สึกไม่ดี เขากอดแขนพี่ชายไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนั้น กล้าที่รู้ว่าน้องชายของเขารู้สึกไม่ดีจึงกล่าวขึ้นเพื่อปลอบใจ
กล้า : ไม่เป็นไรหรอกนะไอ้ทิว อีกหน่อยพี่ก็จะพากลับนะ
เมื่อพวกเขามาถึง กล้าและทิวมองเห็นสถานที่ที่ต่างจากที่เคยพบเจอ มันเป็นลานกว้างใหญ่กลางแจ้ง รอบลานมีอาคารไม้เก่าๆ หลายหลังตั้งอยู่ ดูเก่าแก่และทรุดโทรมอย่างมาก ตัวอาคารบางส่วนเต็มไปด้วยรอยแตกหักและเผาไหม้ เหมือนกับเคยถูกโจมตีอย่างหนักในอดีต พื้นดินรอบๆ เป็นทางขรุขระเหมือนมีร่องรอยการระเบิดของบางอย่างและบรรยากาศรอบๆ ก็ให้ความรู้สึกกดดันราวกับว่าความทรงจำจากสงครามครั้งใหญ่ยังคงหลงเหลืออยู่
กล้ามองไปยังครูหลายคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น บางคนเป็นครูที่เขาคุ้นเคย แต่บางคนดูเป็นใบหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อน สีหน้าของพวกครูเหล่านั้นจริงจังจนทำให้เด็กทุกคนในที่นั้นรู้สึกอึดอัด ทิวยังคงกอดแขนพี่ของเขาไว้แน่น ทันใดนั้นครูฝึกสอนคนหนึ่งก็เดินตรงมาแล้วกล่าวขึ้น
ครูฝึกสอนคนหนึ่ง : สถานที่แห่งนี้คือสถาที่ใช้ฝึกศาสตราวุธ ถึงมันจะดูทรุดโทรมมากก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วมันเกิดจากการใช้ศาตราวุดต่อสู้กันเพื่อฝึกฝนอยู่ในที่แห่งนี้ พลังศาสตราวุธที่กระจายออกมาจึงสร้างความเสียหายให้กับที่นี่น่ะ
ครูฝึกสอนคนอีกคน : แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ครูทุกคนกำลังช่วยกันซ่อมแซมมันอยู่ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีหลังคาตกลงมาหักทับหัวใครทั้งนั้นแหละ
พอพูดจบ ก็มีเสียงคุยกันซุบซิบเริ่มดังขึ้น ทันใดนั้นนักเรียนคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย ทำให้เสียงคุยกันจากโดยรบเงียบลง
นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ แล้วพาพวกเรามาที่นี่ทำไมหรอค่ะ
นักเรียนชายคนหนึ่ง : จริงด้วย พาเรามาที่นี่ทำไมหรอครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว
ครูฝึกสอนคนหนึ่ง : ที่เราพาพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าศาสตราวุธของพวกเจ้านั้นคืออะไร ส่วนมากศาสตราวุธมักจะแสดงพลังขั้นเริ่มต้นของมัน ออกมาในช่วงที่ผู้ใช้ อายุ 10-16 ปี ไม่เกินนี้
สิ้นสุดเสียงของครูฝึกสอน เสียงเด็กทุกริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง บางคนแสดงความตื่นเต้น บางคนกลับมีสีหน้ากังวล
นักเรียนชายคนหนึ่ง : เราต้องทำยังไงหรอครับ ถึงจะรู้ว่าศาตราวุธของเราคืออะไร…
นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ รีบๆ บอกมาเลยค่ะ!
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นเมื่อครูใหญ่นามว่า รงค์ ก้าวออกมาจากเงาของอาคาร เสียงนั้นทำให้เด็กทุกคนหันไปมองพร้อมกัน เขากวาดสายตาไปมองเด็กๆ ที่ยืนอยู่ในสถานที่แห่ง แววตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ก่อนกล่าวขึ้นเสียงต่ำ
รงค์ : พวกเจ้ามิอาจรู้ได้ว่าศาสตราวุธของพวกเจ้าคืออะไร เพราะพลังในตัวของพวกเจ้าในตอนนี้ยังมีไม่พอที่จะแสดงศาตราวุธออกมา เพราะงันครูมากมายหลายคนจึงมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเจ้ายังไงล่ะ
คำพูดนั้นทำให้เด็กหลายคนหันมามองกันอย่างกังวล หลักจากนั้นไม่นานเขาก็หลันหังและเดินพานักเรียนทุกคนเข้าไปในตัวอาคารไม้ แต่ในนั้นเหมือนจะไม่ได้มีสภาพที่เสียหายอะไรมากเหมือนข้างนอกเลย จะมีก็เพียงรูขนาดเล็กให้แสงส่องเข้ามาบ้าง
ด้านในห้องนั้น เหมือนนั้นจะเป็นห้องกว้างๆ ในห้องนั้นเป็นทางเดินยาวให้คนเดินเข้าไป ทุกคนได้ไปสะดุดตาเข้ากับศิลาอันใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแท่นกลางห้องโถงขนาดใหญ่ พร้อมมีทางน้ำอยู่รอบๆ น้ำพวกนั้นเลืองแสงสองสว่างมากพอที่จะเห็นเพดานของห้อง
รงค์ : เอาล่ะ เรามาถึงแล้ว ใครจะเป็นคนแรกดี
เสียงเงียบงันครอบงำห้องโถง ไม่มีเด็กคนไหนกล้าขยับตัวจนกระทั่งครูฝึกสอนหญิงคนหนึ่งนามว่า ญาดา ก้าวออกมาแล้วกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
ญาดา : ไม่ต้องกลัวนะเด็กๆ มันไม่เป็นอันตรายหรอก
เมื่อกล่าวจบ ครูฝึกสอนหญิงคนนั้นก็ได้เดินจูงมือเด็กคนนึงมาและเธอก็ได้พาเด็กน้อยคนนั้นเดินตรงไปที่ศิลา เด็กคนนั้นก็ดูท่าจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ที่จะไป
ญาดา : ไม่ต้องกลัวอะไรนะ ครูอยู่ด้วยครูจะช่วยเจ้าเอง ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก
ในระหว่างที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นศิลา ทางน้ำที่อยู่รอบยิ่งเปร่งแสงสว่างมากขึ้น พอไปถึงหน้าศิลา เธอนั้นได้ให้เด็กคนนั้น เอามือซ้ายไปแตะให้แนบกับศิลาก่อน แล้วตนเองจึงได้ใช้มือขวาประกบทับและใช้พลังของตนเองผสานพลังกับเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นพลังของเขาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดให้มากขึ้น
ทันใดนั้นฝ่ามือของพวกเขาสองคนเริ่มเปร่งแสงออกมา ที่ศิลาเริ่มมีลอยอักขระบางอย่างออกจากตรงที่มือเด็ก คนนั้นจากพลังที่คุณครูผสานให้ หลังจากนั้นไม่นานน้ำก็ค่อยลอยขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับว่ามีคนไปยกมันขึ้น น้ำที่ลอยขึ้นนั้นก็ลอยไปรวมกันที่ข้างหลังของเด็กและพลังที่ปล่อยออกใส่ศิลา ก็ไหลออกมาเป็นสายแสงผสานกับน้ำที่อยู่ด้านหลัง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปากฎเป็นรูปร่างของศาสตราวุธ อยู่ไม่ห่างจากจุดที่สองคนยืนอยู่มาก ทำให้คนทั้งห้องที่ยืนอยู่ในห้องนั้นเห็นรูปร่างของศาสตราวุธของเด็กนั้นเรียนคนนั้น ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับนักรบที่ใช้ธนูไม้เป็นอาวุธ เด็กที่อยู่ในเวลานั้นต่างพากันอึ้งกับสิ่งที่เห็น
ญาดา : ธนูไม้เป็นอาวุธอย่างดีของนักรบ เป็นอาวุธที่โจมตีได้ในระยะไกล หากเจ้าขยันฝึกฝนตนเองให้ชำนาญมากขึ้น ข้าเชื่อว่าธนูไม้นี้แหละสามารถทำให้เจ้าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งได้เช่นกัน
หลังจากนั้นครูฝึกสอนหญิงก็ได้เอามือที่ประกบทับมือของเด็กคนนั้นออก ดันใดนั้นแสงที่สว่างนั้นก็ค่อยๆ ดับไป แล้วศาสตราวุธของเด็กน้อยคนนั้นก็จางหายไปเช่นกัน
นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ครูค่ะ ศาสตราวุธหายไปแล้ว!
รงค์ : มันก็หายไปอย่างนั้นแหละเป็นเรื่องปกติ
นักเรียนหญิงคนหนึ่ง : ทำไมถึงเป็นเรื่องปกติหรอคะ
รงค์ : เพราะเด็กคนนั้นมีพลังที่น้อยมาก แต่ครูฝึกสอนคนนั้นได้ผสานพลังของเขาให้ผ่านทางหน้ามือประกบหลังมือ ทำให้เด็กคนนั้นมีพลังมากพอที่จะสามารถแสดงศาสตราวุธออกมาเป็นรูปร่างได้ แต่....
รงค์ : ถ้าหากครูฝึกสอนคนนั้นเอามือที่ประกบกันออก ก็เหมือนการหยุดประสานพลังนั่นแหละ ทำให้ต่อมาเด็กคนนั้นก็มีพลังเท่าเดิม แต่ในการผสานพลังนั้น ทำให้ศาสตราวุธของเขาตื่นขึ้นแล้วในตัว นั้นคือปลุกพลังเพื่อแสดงศาสตราวุธออกมาได้แล้วนั่นเอง
นักเรียน (ทุกคน) : อ๋อ...อย่างนี้เอง
ญาดา : เอาล่ะคนต่อไปได้
หลังจากที่นักเรียนทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นแล้ว เหล่านักเรียก็ต่างพากันเดินไปหาครูคนที่คิดว่าจะสามารถช่วยตนเองแสดงศาตราวุธได้ แต่เด็กแต่ละคนนั้นแต่ต่างกันออกไป บางคนนั้นมีพลังมากพอที่จะแสดงศาตราวุธของตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ใครช่วย แต่ในทางกลับกัน บางคนก็มีพลังน้อยเกินจนไม่สามารถจะแสดงศาสตราวุธก็ตัวเองได้ ถึงต้องให้ครูช่วย หรือบางคนก็โชคไม่ดี ทำให้เด็กคนนั้นไม่มีพลังเลยและครูที่จะช่วยก็ต้องใช้พลังมากขึ้นจากปกติ หรือบางคนศาสตราวุธยังไมปรากฎต้องรอปีหน้าให้ อายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ก่อน เพื่อให้การเกิดสะสมพลังก่อน โดยศาสตราวุธจะสามารถแสดงออกมาได้ในช่วงอายุ 10-16 ปี แต่ถ้ามากกว่าช่วงวัยนี้อาจจะไม่มีศาสตราวุธเลยก็เป็นได้
เด็กหลายต่อหลายคน ได้รู้ว่าศาสตราวุธของตนคืออะไรในวันนั้น แต่ก็มีเด็กบางคนที่ต้องรอปีหน้าถึงจะมาได้อีก กล้าที่เห็นคนอื่นๆ อีกหลายคนมีศาสตราวุธแล้ว จึงอยากรู้บ้าง กล้าจูงมือทิวแล้ววิ่งไปหาครรชิตครูฝึกสอนคนที่พาพวกเขามาที่นี่ และเลือกให้ครรชิตเป็นคนช่วยผสายพลังให้เขา ในการผสานพลังเพื่อแสดงศาสตราวุธ
ครรชิตก็ตกลงที่จะช่วยเขาอย่างไม่ลังเล กล้าจึงบอกให้ทิวยืนรอก่อน เมื่อเขาปลุกพลังของศาสตราวุธได้แล้วเขาจึงจะกลับมา เมื่อกล่าวจบกล้าและครูฝึกสอนของเขาก็เดินไปที่ศิลาอย่างช้าๆ ในระหว่างทางเดิน กล้าที่กำลังเดินไปก็รู้สึกกลังวนเล็กน้อยว่าศาสตราวุธของตัวเองจะเป็นอะไร พอเดินไปถึงหน้าศิลา เขาถอนหายใจก่อนเพื่อให้ความกังนนั้นหายไป ก่อนหันไปสบตากันครรชิตแล้วทั้งสองก็เริ่มผสานพลังกันทันที น้ำที่อยู่รอบๆ เริ่มยกตัวขึ้นอีกครั้งด้วยพลังที่ครรชิตใช้ผสานผ่านทางมือได้แผ่ออกไปรวมกันกลับน้ำ ดันใดนั้นก็ปากฎศาสตราวุธของกล้า
และทิวที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เห็นเช่นกัน ศาสตราวุธของกล้านั้น มีรูปร่างลักษณะเป็นตัวของเขาเอง เหมือนกับว่าเป็น ตัวเขาเองแต่อยู่รูปร่างของนักมวย กล้าในตอนนั้นที่รู้ว่าศาสตราวุธของตัวเองนั้น คือ มวยไทย กล้าดีใจจนแทบพูดไม่ออก แล้วก็เดินไปหาทิวพร้อมอมยิ้มเล็กๆ ไว้
ทิว : พี่กล้า ศาสตราวุธของพี่คือ...
ครรชิต : มวยไทย
ทิว : มันคือสิ่งที่พี่ข้า เป็นมาโดยตลอด
ครรชิต : ฮืม...หมายความว่าพี่ชายของเจ้านะชอบชกมวยสินะ
กล้าไม่ได้ตอบคำถามของทิวในทันที เขาแค่ยิ้มเล็กๆ แล้วก้มหน้าลง ปล่อยให้ความรู้สึกของความภูมิใจทะลักออกมาในใจ แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ
ทิว : พี่กล้า พี่กล้า ข้าก็อยากรู้บ้างจังว่าศาสตราวุธของข้าคืออะไร
ครรชิต : ยังไม่ได้!
คำตอบของครูฝึกสอนทำให้ทิวเงียบไปในทันที ทำให้ทิวที่เได้ยินแบบนั้นแล้ว เขากำมือไว้แน่นพยามเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ แล้วค่อยๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
ทิว : ท..ทำไมล่ะครับ…
ครรชิต : อายุของเจ้ายังไม่ถึงตามที่กำหนดเจ้าเด็กน้อย ดังนั้นศาสตราวุธยังอาจจะยังไม่ปรากฎ
กล้า : ครูครับ ลองดูหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ…
ครรชิต : เรื่องนั้นก็..แล้วแต่พวกเจ้า แต่รอให้คนแสดงศาสตราวุธได้กันหมดทุกคนก่อนนะ เดี๋ยวถ้าจะไปตอนนี้แล้วไม่ได้อะไรมามันจะเสียเวลาคนต่อไปที่รอ
หลังจากนั้นทั้งสามคน ยืนรอให้คนออกจนหมด เหลือคนที่อยู่ในนั้นเพียงเล็กน้อยกับครูอีกไม่กี่คน ก่อนที่ครรชิตจะพาทิวเดินตรงไปที่หน้าศิลาแล้วเริ่มปลุกพลังทันที ครรชิตเริ่มผสานพลังผ่านไปที่มือของเขา แต่ถ้าว่า การผสานพลังให้ก็ไม่เกิดผลอะไร ปกติแล้วใช้พลังเพียงนิดเดียวผสานให้ ศาสตราวุธก็ปรากฎ จนครรชิตนั้นเสียพลังไปมาก เขาเริ่มจะหมดแรงจนทรุดตัวไปที่พื้น
ครรชิต : ไม่ได้เลย...ต่อให้ข้าใช้พลังผสานให้เจ้ามากแค่ไหน ศาสตราวุธของเจ้าก็ยังไม่ปรากฎเลย
กล้า : คงเป็นเพราะว่าทิวอายุยังไม่ถึงจริงๆ เพราะงั้นศาสตราวุธของทิวถึงยังไม่ปรากฎใช่ไหมครับ
ครรชิต : นั่นก็น่าจะมีส่วน…
ทิว : ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวรอปีหน้าก็ได้ครับ ขอบคุณที่ช่วยครับ
กล้า : ต้องขอบคุณคุณ ท่านคุณครูฝึกสอนด้วยจริงๆ นะคับ ที่อุส่าเสียวเวลาช่วยไอ้ทิว
ครรชิต : อึม...ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วยพวกเจ้า
หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จแล้ว กล้าและทิวก็พากันเดินกลับบ้านตามปกติ แต่ในระหว่างทาง พวกเขาเดินไปตามทางจนผ่านมาถึงค่ายมวยที่กล้าเคยขึ้นชกอยู่บ่อยๆ กล้าได้ยินเหมือนมีก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดเยาะเย้ยเขาเรื่องทีเขาชกมวยแพ้ สายตาที่ดูหมิ่น สายตาที่คอยเหยียดหยามกล้ามาโดยตลอด
จู่ๆ คนคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเดินมาหากล้าและท้าเขาขึ้นชกมวย กล้าที่อายุสิบขวบ จะต้องขึ้นชกกับคนอายุประมานสิบสามปี ถึงแม้กล้าจะรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเรื่องอายุ แต่กล้าเอง ก็มีประสบการไม่น้อยเลย แต่ถึงแม้ว่ากล้าจะชกมวยไม่เคยชนะเลยที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกตัวเองแบบนี้ เขาจึงรับคำท้าโดยไม่ลังเล ทิวที่กลัวว่าพี่จะมีเรื่อง ก็ได้แต่ดึงแขนพี่ไว้และบอกให้พี่กลับบ้าน
กล้า : ไอ้ทิว..เอ็งไม่ต้องกลัวนะพี่จะไม่ยอมให้คนที่พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนมาดูถูกพวกเราแบบนี้แน่
ทิว : พี่กล้า...
กล้า : เอ็งไม่ต้องกังวนหรอกนะว่าพี่จะเป็นอะไร เพราะในวันนี้พี่ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พี่ก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า ไอ้ศาสตราวุธที่พี่ได้มาวันนี้ มันทำอะไรได้บ้าง
หลังจากที่พูดจบ กล้าก็เดินขึ้นไปบนสังเวียนอย่างมั่นใจ ส่วนทิวที่อยู่ด้านล่างสังเวียนรู้สึกกังวนและเป็นห่วงพี่ชายของตนเป็นอย่างมาก เขาได้แต่คิดในใจว่าอย่าให้พี่บาตเจ็บเลย
ทันใดนั้น เสียงระฆังดังขึ้นเ เริ่มชกยกแรกทั้งสอนคนได้มายืนประชันหน้ากัน ในสังเวียนที่มีแสงสลัว ความตึงเครียดปรากฏชัดเจนเมื่อนักมวยทั้งสองคนมายืนต่อหน้ากัน ฝูงชนส่งเสียงเชียร์ ความตื่นเต้นก็ดังไปทั่วสถานที่แห่งนั้น
กล้าได้แสดงศาสตราวุธของตัวเองออกมาทำให้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องอึ้งกันไป ทันใดนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา ศาสตราวุธก็กายเป็นเกราะอาวุธ แต่เกราะอาวุธที่ไม่มีความสามารถเพราะกล้ายังไม่ได้ขึ้นขั้นแรก จึงทำให้เกราะอาวุธเป็นแสงสีทองรางๆ ทั่วตัวของเขาแทน แต่ว่ามันทำให้กล้านั้นแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่ากล้านั้นจะโดนหมัดของคู่ต่อสู้กี่หมัด เขาก็ไม่มีอาการว่าจะเจ็บแต่อย่างใด แถมยังตอบโดนคืนได้อีก
เมื่อถึงทีกล้าที่จะตอบโต้คืน กล้าชกไปที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ด้วยแรงตามปกติ แต่ในตอนนั้นก็ได้เสริมพลังของศาสตราวุธเข้าไปอย่าไม่รู้ตัว ทำให้การโจมตีด้วยหมัดของเขาเเรงกว่าปกติ จำทำให้คู่ต่อสู้ของเขาลงไปนอนกองกับพื้นได้ เพียงแค่หมัดเดียว ทุกคนที่อยู่ด้านล่างสังเวียนรวนทั้งทิว ก็ไม่อาจจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น ในที่สุดกล้าชกมวยชนะครั้งแรกในรอบ 8 ปี ทุกคนต่างปรบมือให้กล้า ทั้งเสียงโฮ่ร้องให้ด้วยความชื่นชมก็ดังกระหึ่มขึ้น กล้าดีใจมากจนแทบไม่เชื่อกับสายตาตัวเอง ก่อนที่เขาจะดึงสะติตัวเองกลับมา แล้วก็เดินลงจากสังเวียนไปหาทิวที่อยู่ด้านล่าง หลังจากนั้นเขากับน้องชายก็ได้เดินกลับบ้าน
ในระหว่างทางกล้าเห็นถึงสายตาของคนที่เหยียดหยามมองมาที่เขาอย่างคุ้นเคย แต่ครั้งนี่คงผิดคาดที่พวกเขาคิดเอาไว้ แต่กล้าก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่เชิดหน้าใส่และจูงมือทิวเดินกลับบ้านต่อ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 4
Comments
Yoh Asakura
ขอให้ แอดเข้าใจในความสนใจของพวกเราและเขียนต่อไปเรื่อยๆ นะ 🥰
2025-08-09
0