แปะก๊วย
เกล็ดน้ำแข็งโปรยจากนภาทับถมผืนแดนดินทางตอนเหนือ
รอยเท้าตามเส้นทางที่เพิ่งเหยียบเป็นรอยลึกเมื่อไม่นานถูกเกล็ดน้ำแข็งกลบเรียบสนิทในพริบตา
เด็กหนุ่มในเสื้อขนฟูนอนราบกับพื้นหิมะ หน้าไม้ตั้งฉากตรงหน้าพร้อมขันศรในระดับสายตา เขาซ่อนตัวอยู่ข้างพุ่มไม้แห้งที่ปกคลุมด้วยหิมะปุยขาว เขาเฝ้าฟังเสียง—ดวงตามองผ่านช่องว่างระหว่างซากเปลือกไม้ที่เย็นเฉียบ ใบหน้ากร้านแดดและริมฝีปากอมชมพูระเรื่อ มันเงียบสงบเสียจนเสียงลมหายใจดังและไอความร้อนพ่นออกจากปากท่ามกลางหิมะเย็นยะเยือก
เขาเหลือบเห็นกวางตัวหนึ่งยืนนิ่งราวกับรูปปั้นที่มีลมหายใจกลางความขาวและเหน็บหนาวระหว่างต้นเบิร์ชสองต้น ดวงตาดำขลับของมันจ้องมองมายังเด็กหนุ่ม ไม่มีท่าทีว่าจะวิ่งหนีเลย
เตรียมจะเหนี่ยวไก
ก่อนจะยิงเขากวาดสายตาไปยังชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังส่งสัญญาณมือ ทันทีที่สัญญาณนิ้วชี้ไปที่กวาง เขาก็ลงมือทันที
"ฟิ้วววว..."
สายธนูหน้าไม้กรีดอากาศ พุ่งทะยานจากคันศรเป็นแนวตรงอย่างรวดเร็ว แต่แล้วมันก็ไปปักอยู่บนลำต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างจากกวางไปลิบตา ทำให้กวางตกใจวิ่งหนีเข้าป่าลึกหายลับตาไป เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ผิดกับความมุ่งมั่นที่เพ่งพิศหมายปลิดชีพกวางตัวนั้นโดยสิ้นเชิง
เขาหันไปสบตากับชายวัยกลางคนที่ตอนนี้เห็นว่ากวางวิ่งหนีไปแล้ว จึงก้าวออกจากที่กำบัง เดินย่ำไปบนหิมะหนา เสียงรองเท้าบูทบดขยี้ดัง 'ครืด ครืด' เป็นจังหวะเดียวกับเสียงเต้นหัวใจที่เร่งเร้า เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยจนปลายคางจรดแผงอก แววตาภายใต้หมวกไหมพรมนั้นมองลูกชายด้วยความเย็นชายิ่งกว่าเกล็ดจากฟากฟ้า
เขามองตามแผ่นหลังอันกว้างของพ่อที่เดินนำหน้าไป ไม่มีเสียงตำหนิเรื่องที่เขาปล่อยให้กวางตัวนั้นหนีไปได้ ไม่มีทั้งคำปลอบโยนว่าไม่เป็นไร เขาเร่งฝีเท้า วิ่งเหยาะๆ ตามรอยเท้าคู่ใหญ่ทิ้งร่องลึกไว้บนผืนขาวโพลน เป็นทางเดียวที่เขาต้องก้าวตามไป ลมหายใจที่หอบถี่พรั่งพรูออกมาพร้อมคำพูด "ครั้งหน้า...ผมจะไม่พลาดแน่"
พ่อหันมามองลูกชาย ดวงตาทอดมองใบหน้านั้นอย่างทะลุปรุโปร่งก่อนจะพูดขึ้นว่า "พ่อไม่คิดว่าลูกพลาดอะไรหรอก...ลูกแค่ไม่อยากฆ่ามัน"
"พ่อคิดว่าผมใจอ่อนง่ายงั้นสินะ" เด็กหนุ่มถามกลับ น้ำเสียงเจือความน้อยใจ
พ่อไม่ตอบในทันที เพียงทอดสายตามองครู่หนึ่ง รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากก่อนจะพูดว่า "ก็ไม่เชิงว่าใจอ่อน...ลูกน่ะ ดวงตาเหมือนแม่...อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ" คำพูดนั้นทำให้ความร้อนผ่าวบนใบหน้าของเด็กหนุ่มมลายหายไป
"ให้โอกาสผมอีกครั้ง เชื่อผมทำได้แน่" เขายืนยัน
"วันนี้พอแค่นี้ แล้วกลับไปกินซุปกันเถอะ แม่คงเตรียมอาหารรอแล้ว" พ่อตอบเรียบๆ พลางเดินนำ
เด็กหนุ่มเดินเคียงข้างพ่อไป
ณ บ้านไม้หลังหนึ่ง
บ้านไม้หลังเล็กๆเกาะเกี่ยวอยู่กับสันเขา โดดเด่นท้าทายลมหนาวเหนือแนวต้นสนที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะหนาเตอะ
ท้องนภามืดครึ้มและเกล็ดหิมะโปรยลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดจนถึงเดือนฟศจิกายน และเหนือหลังคาทรงจั่ว ควันสีเทาอ่อนอ้อยอิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาย่างก้าวฝ่าหิมะเข้ามาในบ้านพร้อมกับหน้าไม้ ทั้งเขาและพ่อไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านมา ถึงแม้จะไม่มีเนื้อให้กินตอนนี้ วันอื่นก็ยังออกไปล่าได้ ในดินแดนที่มรสุมหิมะแบบนี้มันยากต่อการออกล่าก็จริง ทว่าสำหรับเด็กหนุ่มกับชายร่างกำยำเคยชินกับสภาพประเทศตัวเอง บางครั้งเขาก็รู้สึกแย่กับบ้านเกิด บางก็ดีใจที่ไม่ต้องออกไปอยู่นครที่แสนวุ่นวาย
กลิ่นซุปเนื้อเข้มข้นคลุ้งแตะจมูกเด็กหนุ่ม ไออุ่นจางๆ แผ่ออกมาจากร่องไม้เก่าๆ ก่อนที่เขาจะผลักบานประตูไม้เนื้อแข็งให้เปิดออก เผยให้เห็นเตาผิงที่ลุกโชน แสงสีส้มแดงเต้นระริกต้องผนังไม้ที่ขัดมันจนเป็นประกาย และบนโต๊ะกลางห้อง ซุปในหม้อดินยังคงมีไอร้อนฉุยชวนให้อบอุ่นใจและกาย
สาวน้อยร่างเล็กกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาเขาทันที “กลับมาแล้วเหรอ! หนูเตรียมของโปรดให้พี่ด้วย”
เขายิ้มแค่ริมฝีปาก โอบเธอไว้หลวมๆ แล้วปรายตามองไปยังผู้หญิงที่ยืนหน้าเตาไฟ—แม่กำลังจัดเรียงอาหาร
เธอยิ้มให้ลูกชายที่เพิ่งกลับ แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอก มือขวาคนหม้อซุปด้วยจังหวะที่แม่นยำแล้วตักลงในชาม เธอถามชายร่างกำยำอย่างใจเย็นด้วยรอยยิ้มที่หวานชื่นใจ “วันนี้ทั้งสองคนคงเหนื่อยมาก ฉันจะไปต้มน้ำให้นะคะ”
ที่โต๊ะอาหาร
รูบี้เปิดฉากสนทนาก่อน เสียงใสของเธอขับไล่เสียงลมหวืดที่เล็ดลอดจากข้างนอก
"วันนี้พ่อกับพี่ไปแถวไหนมา?" เธอเอ่ยถาม
"ไปสำรวจป่าทางเฉียงเหนือ" พี่ชายตอบห้วนๆ
รูบี้เลิกคิ้วเล็กน้อย "แล้วที่นั่น มีคนอาศัยอยู่ไหม?"
"ไม่มีหรอก มีแต่พวกกวาง"
แววตาของรูบี้เป็นประกายฉงน "ที่นั่นมีแต่กวาง แล้วทำไมพี่ไม่เอามันมาด้วย? อย่าบอกนะว่าพี่ล่าไม่ได้" น้ำเสียงของเธอเจือความท้าทายเล็กน้อย
ถ้อยคำนั้นทำสีหน้าเจื่อนลงก่อนที่เขาจะเชิดหน้าขึ้น "ล่าได้สิ พี่ทำได้อยู่แล้ว" เสียงเขาสูงขึ้นกว่าปกติจนเกือบจะฟังดูเป็นการแก้ตัว
“พอเถอะ ทั้งสองคน” พ่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาหันไปทางรูบี้ แล้วเสริมด้วยคำพูดที่ฟังเหมือนเป็นเกราะให้ลูกชาย “พี่เขาเห็นว่ากวางตัวนั้นเล็กเกินไป คงอยู่ไม่ถึงสามเดือน เลยปล่อยมันไป”
คำอธิบายนั้นไม่ได้มากมายอะไร แต่เพียงพอจะปลอบใจลูกสาว ถ้อยคำของพ่อทำให้ความรู้สึกอันขุ่นมัวในใจคลายลงราวกับหิมะละลายบนเตาผิง ทว่า…รูบี้ดูเหมือนจะไม่รับฟังเลยแม้แต่น้อย
เธอมองเขาด้วยแววตาเย็นชาดุจสายลมหนาว แล้วก้มหน้าลงตักสตูว์คาเรเลียเข้าปากอย่างเร่งรีบ ช้อนกระทบชามอย่างรวดเร็ว เธอกินจนอิ่มแน่นในเวลาไม่ถึงไม่กี่นาที แล้วลุกออกจากโต๊ะโดยไม่เหลียวหลัง
“ลูกต้องอธิบายเหตุผลให้น้อง” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งพร้อมแตะบ่าเบาๆ “และต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ และพูดจาให้ดี เพราะถ้าน้องเห็น น้องก็จะเลียนแบบทุกอย่างที่ลูกทำ”
เด็กหนุ่มเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ครับ…”
หลังอาหารเย็น
เสียงไม้เก่าเอี๊ยดอ๊าดดังทุกย่างก้าว ขณะเด็กหนุ่มไต่บันไดขึ้นมา เขาทรุดตัวลงข้างหน้าต่างบานเล็ก ไอเย็นจากลมหายใจเป็นควันขาวจางๆ ในอากาศ เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะ หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมา ลายสัตว์ป่าสามตัวสลักลึกอยู่บนเนื้อไม้ ภายในบรรจุกระดาษเก่าพับซ้อนกันนับไม่ถ้วน ปลายนิ้วค่อยๆ คลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออกช้าๆ ราวกับกลัวจะทำให้มันบุบสลาย
กลิ่นหมึกจางๆ โชยขึ้นมา กลิ่นกระดาษแห้งนี้เขาจำได้ดี กลิ่นเรซินจากสนเขาเปียกน้ำค้าง… ทำให้เขาได้คิดถึงผู้หญิงที่รักที่สุดคนหนึ่ง
เขาเริ่มอ่านกระดาษเก่าๆนั้น
ฉบับล่าสุดเมื่อ4เดือนที่แล้ว เขียนด้วยลายมืออ่อนโยน เส้นหมึกจางๆกำลังจะลบชื่อให้เลือนหายไป
ถึงลูกรักของแม่… ลูแมน
หากลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงไม่ได้อยู่ข้างๆ ลูก
อย่าเสียใจไปเลย แม่อยากให้ลูกรู้ไว้ว่า—แม่รักลูก รักยิ่งกว่าสิ่งใดในชีวิตนี้
แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกลาด้วยตัวเอง
อยากให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งที่แม่ทำเป็นเรื่องที่แม่ไม่อาจอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ในตอนนี้
แม่ไม่ได้ทิ้งพ่อของลูก แม่ไม่ได้ทอดทิ้งลูก
หากวันหนึ่งลูกเติบโตขึ้นและเข้าใจว่า โลกนี้ไม่ได้มีเพียงบ้านหลังเล็กของเรา
ลูกจะเข้าใจสิ่งที่แม่เลือก
อย่าเกลียดชังแม่
อย่าเก็บความโกรธไว้ในใจ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่อยากมอบให้ลูกเป็นของขวัญสุดท้าย
แม่เชื่อว่า…วันที่ลูกอ่านจดหมายนี้แล้ว หวังว่าลูกจะเข้าใจแม่ในสักวัน
ด้วยรักและห่วงใยลูกของแม่
จากโอลีเวีย
ฉบับที่สอง มันก็แค่จดหมายธรรมดา เขาชอบกลับมาอ่านจดหมายทุกครั้งยามคิดถึงแม่
ถึงลูกรักของแม่ ลูแมน
ลูกยังจำท้องฟ้าตอนกลางคืนที่โบสถ์คริสตจักรได้มั้ย ตอนที่เราอธิษฐานถึงพระผู้เป็นเจ้า ลูกถามแม่ว่า “ข้างหลังท้องฟ้านั่นมีใครอยู่งั้นหรอ?” แม่ตอบไปว่า “ก็ดวงดาวสี่ดวงยังไงล่ะ”
ตอนนี้แม่เป็นดวงดาวที่อยู่ข้างหลังฟ้านั้น…
ในเมืองหลวงตอนนี้อากาศร้อนเป็นไฟเลย ที่นี่…หมอกควันหนากว่าที่บ้าน ถึงจะเป็นฤดูหนาวก็ตาม ลูกสบายดีนะ
21:30 เฮลซิงกิ
แม่ยังเก็บตุ๊กตาซานตาคลอสไว้อยู่นะ
รักเสมอ
จากโอลีเวีย
ฉบับนี้ทำให้เขาหวนคืนภาพในอดีต
ใต้หลังคาโบสถ์
อ้อมกอดของแม่โอบรัดไว้แน่น ทว่าสัมผัสกลับเบาโหวง เสมือนมีม่านบางๆ กั้นกลางระหว่างกายและใจ ดวงตาของเด็กหนุ่มเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานอันเป็นกระจกสูง จุดประกายระยิบระยับที่เคยถูกเรียกว่าดวงดาวเมื่อครั้งยังเล็กยังคงเป็นเพียงแสงเลือนลาง ไร้ความหมาย ไม่มีความเข้าใจใดๆ ผุดขึ้นมาในใจ
แม้สองปีเต็มจะหมุนผ่านไป กล่องใบเก่าในลิ้นชักยังคงเป็นที่เก็บงำจดหมายพับซ้อน กลิ่นหอมจางๆ ของความทรงจำยังอบอวลอยู่ในนั้น กลิ่นของแม่ที่แม้จะจากไปแล้ว แต่ยังคงวนเวียนไม่จางหาย
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงนาฬิกาเก่าลั่นกึกก้องตามเวลาครบชั่วโมง
"จ๊ะเอ๋!"
"พี่อ่านอะไรอยู่เหรอ?" เสียงใสกังวานดังขึ้นพร้อมใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้เสียจนดวงตาของทั้งคู่แทบจะชิดกัน ลูแมนรีบพับจดหมายเก็บ แต่ไม่ทันรูบี้ไวกว่า มือเล็กๆ คว้าหมับ ฉกไปได้หนึ่งฉบับ
"ถึงลูกรัก ลูแมน แฮเรียตดูแลลูกดีหรือเปล่า เธอทำอาหารที่ลูกชอบให้มั้ย แม่ฝากขนมปังอบของร้านชื่อดังในเมืองไปให้ลูก หวังว่าจะชอบนะ" รูบี้อ่านออกเสียงดังฟังชัด
ลูแมนชะงัก นั่นคือจดหมายฉบับเดียวกับที่มาพร้อมขนมปังอบจากร้านที่แม่ทำงานอยู่ เขาไม่ค่อยได้ลิ้มรสความอร่อยของมันนัก เพราะกว่าขนมปังจะมาถึงบ้านก็แข็งกระด้างเสียแล้ว เหลือเพียงเศษบางส่วนที่สตาร์โชว์วางประดับไว้ในห้องของเขาเท่านั้น
"เอาคืนมานะ!" เขารวบจดหมายคืนมาได้สำเร็จ
"ขออ่านหน่อยสิ" เสียงออดอ้อนดังขึ้น
"ไม่ได้! นี่เป็นของสำคัญ เธอห้ามแตะต้องเด็ดขาด" เขาตอบเสียงแข็ง
"อะไรกัน ก็แค่จดหมายเอง จะหวงอะไรนักหนา!" รูบี้สวนกลับ
"แล้วเธอล่ะ เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง? ไม่เคาะประตูเลย เสียมารยาท" ลูแมนเปลี่ยนประเด็น
"ฉันเคาะแล้ว แต่พี่ไม่ตอบเลยนี่นา" เธอแย้ง
"มีเรื่องอะไร?" เขาถามเสียงเรียบลง
"แม่เตรียมน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว รีบลงไปอาบซะ ก่อนมันจะเย็นหมด"
"เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะรีบไป"
ลูแมนเก็บจดหมายกลับเข้ากล่องใบเดิม แล้วซ่อนมันไว้ในลิ้นชักที่ลึกที่สุด
ณ ห้องอาบน้ำ
“อ้า\~ น้ำอุ่นสบายดีจัง”
“ลูแมนจ๊ะ อาบน้ำเสร็จแล้วมา คุยกันหน่อยนะจ๊ะ”
“มีเรื่องอะไรหรอครับ?”
“พ่อเค้าอยากจะคุยด้วยนะจ้ะ”
เสียงเจื้อยแจ้วที่น่ารำคาญดังขึ้นทันทีที่เสียงแม่เลี้ยงเงียบไป
"นี่พี่ ถุงผ้าในกระเป๋าเสื้อพี่ ฉันขอดูหน่อยได้มั้ย?"
ถุงผ้า…ก็คงเป็นถุงใส่อุปกรณ์ แต่—ลูแมนฉุกคิดได้ทันทีว่าถุงผ้าที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อเป็นสำคัญกับเขามาก
น้ำเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่อุณหภูมิในร่างกายกลับร้อนผ่าว เขาจึงรีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกไปห้ามน้องสาว
"อันนี้ก็ห้ามแตะต้องเด็ดขาด! อะไรที่เป็นของฉันอย่ายุ่ง!"
"ทำไมล่ะ?"
"ก็มันเป็นของสำคัญของฉัน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเธอ"
"อะไรกัน ทุกอย่างเป็นของสำคัญหมดเลยหรอ เราเป็นพี่น้องกันนะ ทำไมพี่ต้องมีความลับกับฉันด้วย?"
"ก็เพราะว่าเธอมันปากสว่าง ชอบฟ้องพ่อ! เธอก็แค่ลูกติด ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของฉันสักหน่อย!"
รูบี้ยืนนิ่ง ใบหน้าฉายแววจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
ลูแมนทบทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้ง สิ่งที่เขาพูดออกไปมันทำร้ายจิตใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเหมือนผู้ใหญ่
"ฉันขอโทษ"
"พี่ใจร้ายที่สุด! ฉันจะไปฟ้องพ่อว่าพี่ด่าฉัน!"
"เดี๋ยวสิ! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดุเธอสักหน่อย!"
รูบี้ไม่ฟังคำแก้ตัวของเขาเลย เธอจ้ำอ้าวไปหาพ่อทันที ใบหน้าบูดบึ้งและน้ำตาคลอ
"พ่อคะ! พี่เขาด่าหนู บอกว่าทุกอย่างที่เป็นของเขาเป็นของสำคัญทั้งหมด เขาไม่ให้หนูแตะต้องมันเลย!"
พ่อที่กำลังแร่เนื้อปลาได้ฟังก็ถอนหายใจออกมาแล้วหันมามองหน้าลูกสาว เอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า "สิ่งที่ลูกทำมันผิด ลูกไม่ควรไปแตะต้องหรือยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาห้าม ไม่แปลกหรอกที่พี่เขาจะโมโห คนที่ผิดคือรูบี้เอง"
"แม้แต่พ่อก็ว่าหนู!" รูบี้อุทาน
"สิ่งที่ลูกทำมันเป็นการเสียมารยาทกับผู้อื่น ไม่มีใครเขาชอบนิสัยแย่ๆ แบบนี้"
"หนูทำไปก็เพราะว่าหนูอยากรู้นี่นา! พี่เขาชอบแอบไปไหนมาไหนหรือทำอะไรโดยที่ไม่บอกหนู ไม่บอกแม่ ไม่บอกพ่อด้วย!"
“เรื่องนั้นมันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเขาจะทำอะไรที่ไหนหากไม่สำคัญไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องก็ได้”
“แต่ทุกคนในบ้านควรไม่มีความลับต่อกัน แม่เป็นคนสอนหนู”
พ่อไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับเดินเข้าไปในห้องของรูบี้ แอบค้นของจนเจอตุ๊กตาที่เธอชอบนอนกอดทุกวัน แล้วเขาก็พูดกับเธอว่า "พ่อจะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปทิ้ง เพราะมันเหม็นเน่ามาก" เขายกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบตุ๊กตา ทำหน้าเหมือนขยะแขยงก่อนจะโยนมันลงกับพื้น
รูบี้ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น "พ่อทำแบบนั้นทำไม! นี่มันของขวัญวันเกิดที่เขาให้หนูนะ!"
"พ่อไม่สนว่าตุ๊กตาตัวนั้นจะเป็นของขวัญวันเกิดจากผู้ชายคนนั้น แต่มันเน่าไม่น่ากอดเอาเลย ไปทิ้งซะ!"
"ไม่นะ!" รูบี้รีบวิ่งไปอุ้มตุ๊กตากลับคืนสู่อ้อมแขน เธอร้องไห้โฮ น้ำตาไหลรินยิ่งกว่าน้ำตก พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า "คุณลาร์ช ทำแบบนี้ทำไม! รูบี้ไม่อยากให้ใครทำร้ายก็อชจังนะ"
"ทีนี้ลูกเข้าใจแล้วหรือยัง? ความรู้สึกของคนอื่นที่ถูกล่วงเกินมันเป็นยังไง ทีนี้ลูกก็ต้องไปขอโทษพี่เขาซะ"
"เข้าใจแล้วค่ะ"
"ต่อจากนี้ไปก็อย่าทำแบบนี้กับพี่เขาอีกนะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว" ลาร์ชพูดต่อพลางดึงรูบี้เข้ามากอด ปลอบประโลมจนเสียงสะอื้นของเธอค่อยๆ เงียบลง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments