ทะเลทรายเวิ้งว้างยามเย็นท้องห้าสีส้ม ท้องฟ้าถูกแต้มด้วยสีส้มอ่อนของแสงอาทิตย์ที่เริ่มลดระดับ ความร้อนยังอวลอบอ้าวลอยอยู่ในอากาศ แต่บนพื้นทรายกลับเงียบสนิท
ยกเว้นซากเหล็กที่ไหม้เกรียมของ หุ่นโซกาเรโอที่กับนะกบินของมันนอนแน่นิ่งอยู่กลางซากเรือรบพลิกคว่ำ
เสียงลมหอบผ่านซากเกราะที่แตกร้าว ขณะที่ร่างสูงสง่าของ จูปิเตอร์ ยืนอยู่เหนือร่างศัตรู ใบหอกยาวยังร้อนแดงจากการแทงทะลุเกราะศัตรู
ภายในค็อกพิต เอลิน่า ปาดเหงื่อบนหน้าผากขาวเนียน ดวงตาสีแดงโลหิตจับจ้องจอมอนิเตอร์อย่างเฉียบขาด แม้การต่อสู้จะจบลง แต่ภารกิจยังไม่จบ
เธอกดสวิตช์สื่อสาร
"ทุกหน่วย รายงานสถานการณ์"
เสียงตอบกลับมาทางวิทยุพร้อมเสียงระเบิดเบา ๆ ที่ไกลลิบ
"หน่วยสามรายงาน... พวกโจรยังหลงเหลือกระจุกทางเหนือ แต่กำลังล่าถอย พวกเรากำลังไล่ต้อน"
เอลิน่าหรี่ตาลง
"ห้ามให้พวกมันหนี! ใช้โดรนเสริมวงล้อม ประสานกับหน่วยสอง ไล่ให้ถึงตอ!"
เสียงตอบรับดังขึ้นต่อเนื่องจากทุกหน่วย
"รับทราบ!
แสงแดดทะลุเมฆบาง ๆ ที่ปลิวผ่านเบื้องบน เงาของจูปิเตอร์ทอดยาวลงบนซากเรือรบ เอลิน่ากดปุ่มที่แผงควบคุมอีกครั้ง
"ส่งรายงานภารกิจให้สำนักงานใหญ่ แจ้งว่า
เธอนั่งนิ่งครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ
"...แต่งานล้างบางยังไม่จบ"
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาที กลุ่มหุ่นรบของหน่วยแองเจิลทยอยเดินกลับมารวมที่บริเวณซากเรือ พื้นทรายเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ คราบเขม่าดำเปื้อนผืนทรายราวกับแผลเป็นของแผ่นดิน
เสียงสื่อสารดังขึ้นอีกครั้ง
"หน่วยห้าเคลียร์บริเวณโดยรอบแล้วครับ ไม่มีสัญญาณชีวิตเหลืออยู่"
เอลิน่าหรี่ตาลง เธอสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าปะปนกับความรู้สึกว่างเปล่าที่ตามมาหลังชัยชนะ แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉย
"ดี...พวกแกทำได้ดี กลับฐานได้"
เธอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงเย็นสงบ
"...ส่วนฉัน จะกลับไปที่เหมือง"
กลุ่มลูกน้องในหน่วยแองเจิลขานรับสั่งอย่างพร้อมเพรียง หุ่นแต่ละตัวทยอยเคลื่อนออกจากพื้นที่ จูปิเตอร์ยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะก่อนเครื่องขับดันสีฟ้าเริ่มเรืองแสงอีกครั้ง
"ฟู่วววววว...!"
ร่างของจูปิเตอร์ทะยานขึ้นฟ้า เงาของมันตัดกับดวงอาทิตย์ที่กำลังเอียงต่ำไปทางตะวันตก สายลมแรงพัดทรายให้ปลิวตามแรงลอยตัว
เสียงเครื่องยนต์ของหุ่นรบก้องขึ้นเบา ๆ ขณะที่มันหันหัวมุ่งหน้าไปยังทิศใต้
เสียงเครื่องจักรคำรามสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขาร้าง ไคลน์ขับ แคปโดเซอร์ วิ่งนำอยู่ข้างหน้า แม้จะเก่าและอืดอาดกว่า แต่ก็มั่นคงแข็งแรงที่สุด เสียงฝีเท้าเหล็กกระแทกพื้นหินกรวดดังตึงตังต่อเนื่องเหมือนหัวใจที่เต้นเร่งเร้า
"ปึง! ปึง! ปึง!"
เหนือพื้นดินขึ้นไปเล็กน้อย เบลฟอร์ซ V3 ของเรน และ ลูเมีย X2 ของไอรีน บินตามหลังมาห่าง ๆ ฝีมือยังไม่แน่น แต่เพียงพอที่จะรักษาระดับได้สักพักก่อนจะลงมาวิ่งบนพื้นสลับกับลอยตัวอีกครั้ง
"เห้ย...มันบินได้จริง ๆ แฮะ ถึงจะโคลงเคลงไปหน่อยก็เถอะ!"
เสียงเรนตะโกนลั่นผ่านวิทยุสื่อสาร แว่วข้ามคลื่นความถี่มาให้ไคลน์ได้ยินชัด
"อย่าเพิ่งดีใจนัก ถ้ายังหล่นตูมเดียวตาย!"
ไอรีนบ่นกลับ แต่น้ำเสียงก็แฝงความตื่นเต้นเช่นกัน
ไคลน์ได้แต่ยิ้มในใจ แม้ไม่พูดอะไรออกมา แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจที่ทั้งสองเริ่มควบคุมหุ่นได้แล้วบ้าง
ด้านหลังพวกเขาเหลือเพียงหมอกฝุ่นของเหมืองที่ถูกทิ้งห่างไปกว่าสิบกิโลเมตร ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากครึ้มเป็นส้มคล้ำแสดงว่าค่ำใกล้เข้ามา
เขาเหลียวกลับไปแวบหนึ่ง เห็นหุ่นสองเครื่องบินตามมาโคลงเคลงเหมือนลูกเป็ดหัดเดิน แต่ก็พยายามประคองตัวเองเต็มที่
"เราต้องไปให้ไกลกว่านี้อีก ไคลน์!"
ไอรีนเตือนเสียงหนักแน่น
"รู้แล้ว! ตามให้ทันก็แล้วกัน!"
ไคลน์เร่งความเร็ว เสียงเครื่องยนต์แคปโดเซอร์ครางต่ำอย่างหนักหน่วง
"กรรรรรรรร!"
17:47
เสียงเครื่องจักรหนักหน่วงของ แคปโดเซอร์ K-7 คำรามลากฝีเท้าเหล็กกระแทกพื้นมาเรื่อย ๆ ตลอดหลายชั่วโมง พวกเขาเดินทางออกห่างจากเหมืองมาเกือบ ยี่สิบกว่ากิโลเมตรแล้ว แต่ไคลน์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลัง เสื้อผ้าเปียกชื้นแนบกับผิวเนื้อ ลมหายใจขาดห้วง มันไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้าเพียงอย่างเดียว... แต่เป็น ความร้อน จากในค็อกพิตเหล็กอันแคบที่ไร้ฉนวนกันร้อน กับการที่ระบบระบายความร้อนของ แคปโดเซอร์ ทำงานได้แย่เกินไป
“แฮ่ก...บ้าเอ้ย...นี่มันเตาอบชัด ๆ...” ไคลน์สบถกับตัวเอง รู้สึกเหมือนร่างจะถูกอบจนสุก มือที่จับคันบังคับเริ่มสั่นเล็กน้อยเพราะร่างกายขาดน้ำ
เสียงพัดลมระบายความร้อนที่หลังยังหมุนอยู่แต่ไม่ต่างอะไรกับการเป่าลมร้อนใส่หน้า
“วื้วววววววว...กรรรรรรรรร!!”
เสียงเครื่องยนต์เริ่มแปร่ง...ฝืดและอืดเหมือนมันจะดับได้ทุกเมื่อ
ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ฝืนอีกต่อไป
ไคลน์กดสวิตช์วิทยุสื่อสารเสียงแหบพร่า
“เรน...ไอรีน...หยุดก่อน...แคปโดเซอร์มันร้อนจะไหม้ตูดฉันอยู่แล้ว!”
เสียงปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนเรนจะตอบกลับมาทั้งเหนื่อย ๆ
“อ่า...ฉันก็กะแล้ว...ไอรีน หาที่พักเถอะ!”
ไอรีนตอบกลับมาสั้น ๆ
“รับทราบ...”
พวกเขาชะลอหุ่นทั้งหมดลงช้า ๆ หาพื้นที่กว้างริมโขดหินสูงเหมือนกำแพงตามธรรมชาติ เหมาะจะพักและบังสายตาศัตรูที่อาจผ่านมาพบ
ไคลน์ถอนหายใจอย่างหนัก กดปิดระบบแคปโดเซอร์จนเสียงเครื่องดับลง
“ครืดดดดดด...ตึ้งงงง...”
ทิ้งไว้เพียงเสียงโลหะเย็นตัวและไอร้อนที่ยังระอุในค็อกพิต
พื้นทรายแข็งกรังย่ำใต้ฝ่าเท้าบูทเหล็กขณะที่ไคลน์ปีนลงมาจากแคปโดเซอร์ ร่างทั้งร่างเปียกเหงื่อจนเหนียวหนับ พอเหยียบถึงพื้นจริงๆ ก็ค่อยหายใจโล่งขึ้นบ้าง
เรน กับ ไอรีน ปีนลงจากหุ่นตัวเองตามมา สีหน้าทั้งคู่ไม่ต่างกันนักทั้งเหนื่อยล้าและกระหาย
ไคลน์หอบหายใจพลางว่าขึ้นเบาๆ
"พักที่นี่สักคืนดีกว่า...เดินต่อฉันคงได้ตายคาค็อกพิตแน่"
เรนพยักหน้า เหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก
"เชื้อเพลิงเหลืออยู่เท่าไหร่"
ไคลน์ หันมาถามกับทั้งสอง
"ของฉันเหลือ 87%"
เรนพูดขึ้น
ส่วนของฉัน85%
ไอรีนพูดจบก็เอนตัวพิงขาของเบลฟอร์ซ พลางถอดหมวกออกปาดเหงื่อ
ไคลน์มองรอบๆ พื้นที่ มีทั้งเนินหินสูงล้อมรอบพอจะพรางตาได้ดี และยังมีซอกหลืบหลายทางที่พอจะซ่อนหุ่นได้
"ฉันจะออกไปหาอะไรมาให้กิน...หวังว่ามันจะมีอะไรกินได้แถวนี้บ้าง"
เรนหันมาท้วง
"เฮ้ เดี๋ยวฉันไปด้วย—"
แต่ไคลน์โบกมือห้าม
"นายกับไอรีนพักไว้ก่อน ฉันเร็วกว่า พวกนายยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ"
ไคลน์เดินออกห่างจากพวกเพื่อนพร้อมปืนพกที่พกมาด้วย กับมีดปลายแหลมเล่มหนึ่ง
ร่างเงียบในความมืด ใช้สัญชาตญาณในการสังเกต และไม่นานนักเขาก็พบสิ่งมีชีวิตตัวแรก
กร๊อบ...กร๊อบ...
เสียงบางอย่างขยับในกองหิน เขาเพ่งมองเห็นเงาสีดำเลื้อย...
ตะขาบยักษ์ ตัวหนึ่งขนาดเท่าท่อนแขนคนกำลังคลานซุกตามเงาหิน
ไคลน์ไม่รอช้า ใช้หินปาใส่เรียกความสนใจ แล้วเผ่นไปอีกทางเพื่อดักมันที่อีกฝั่ง ก่อนจะพุ่งเข้าฟันตรงจุดข้อต่อที่บอบบาง...
เสียงแกร๊ก! ข้อต่อมันขาดสะบั้นในทีเดียว ตะขาบดิ้นรนเล็กน้อยก่อนแน่นิ่ง
ระหว่างเดินกลับ เขายังได้เจอ แมงป่องตัวใหญ่ ขนาดเกือบครึ่งแขน กำลังต่อกรกับหนูสองสามตัว
ไคลน์รอจังหวะ ก่อนเข้าไปฟันแมงป่องตัดหางมันแล้วเหวี่ยงใส่หินตายสนิท หนูที่เหลือกระเจิงหนีหมด
ไคลน์ยิ้มบางๆ พลางแบกซากแมงป่อง กับตะขาบพาดไหล่เดินกลับ
เมื่อถึงที่พัก ไอรีนเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเบ้หน้า
"อย่าบอกนะว่านั่นอาหารของพวกเรา..."
เรนหัวเราะแห้งๆ
"ฉันขอเลือกตะขาบก็แล้วกัน..."
ไคลน์โยนซากลงตรงกองหิน
"ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว คืนนี้เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาทางต่อ"
ในขณะที่ทั้งสามกำลังกินเนื้อย่างของแมงป่องกับตะขาบยักษ์อย่างเงียบๆ รอบกองไฟเล็กๆ บรรยากาศเหมือนสงบ แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ส่วนลึกของสมองกลของ เบลฟอร์ซ V3 กับ. ลูเมีย X2 แผงเซ็นเซอร์ทรงกลมขนาดเล็กสองชิ้นฝังตัวแนบเนียนกับข้อต่อของไม่มีใครทันสังเกต
แสงสีน้ำเงินบางๆ กระพริบเบาๆ... เพราะมันถูกซ่อนเอาไว้ลึก และยังถูกเกาะส่วนหัวปิดบังเอาไว้จนไม่มีใครล่วงรู้
ภายในชิปเซ็นเซอร์ คลื่นสัญญาณพิเศษกำลังถูกส่งผ่านออกไปในทุกๆ 5 นาที
เซ็นเซอร์นี้... ถูกซ่อนไว้ตั้งแต่ ก็ต้องส่ง พวกมันถูกสร้างขึ้น เพราะอยู่ในเหมืองที่ลึกและอับสัญญาณ แม้มันจะส่งสัญญาณอยู่ตลอด แต่สัญญาณก็ไม่เคยไปถึง แต่เมื่อมันออกมา
และขณะนี้...
ที่ฐานใหญ่ของ กองทัพวายุเหล็ก บนหน้าจอแผนที่สามมิติ สีแดงกระพริบขึ้นเป็นจุดเล็กๆ สองจุดเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าในใจกลางทะเลทราย
เสียงเจ้าหน้าที่ในศูนย์บัญชาการพูดขึ้น
"สัญญาณยืนยัน... พบการเคลื่อนที่ของเป้าหมาย รหัส BF-V3-0721 และ ZT-X2-14... พิกัดกำลังเคลื่อนทางตะวันตกเฉียงเหนือ"
ชายในเครื่องแบบสีดำ สัญลักษณ์วายุเหล็กที่ไหล่ขวา หรี่ตาพลางยิ้มเย็น
"ดี... สุดท้ายก็เดินออกจากรังจนได้... มีใครอยู่แถวนั้นบ้าง"
" รายงาน ห่างจากตำแหน่งล่าสุด 23 กิโลเมตร ผู้บัญชาการครับ"
"แจ้งให้ท่านทราบ"
"รับทราบ...!"
ยามค่ำคืนของทะเลทราย ความร้อนในยามกลางวันหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงอากาศหนาวเหน็บที่คืบคลานเข้ามาแทน
เสียงลมหวีดหวิว... พัดทรายกรวดกระทบเกราะเหล็กของหุ่นยนต์ที่ตั้งนิ่งอย่างเดียวดาย
ข้างกองไฟเล็กๆ ที่แทบให้ความอบอุ่นไม่ได้เลย เรนกับไอรีนต่างนั่งกอดเข่าชิดตัวเอง เสื้อผ้าเก่าขาดๆ ไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นได้แม้แต่น้อย
ไคลน์ที่นั่งเงียบมาตลอด ลุกขึ้นอย่างตัดสินใจ เขาก้าวขึ้นปีนบันไดเหล็กของแคปโดเซอร์ที่เย็นเฉียบ กึก...กัก...กึก... เสียงรองเท้าเหยียบบนโลหะสลับกับเสียงลมหวีด
เขาเปิดแผงค็อกพิตตรงอกออก เสียงกลไกครวญเบาๆ แกร๊ก...
ในนั้นยังคงมีผ้าเก่าๆ ที่เขาเอามารองนั่ง พับเป็นเบาะไว้ แม้มันจะเก่าขาดและเต็มไปด้วยฝุ่น ไคลน์ก็ไม่ลังเลจะหยิบออกมา
เขาสะบัดมันเบาๆ ฝุ่นฟุ้งออกมาเล็กน้อย ก่อนจะปีนกลับลงมาจากตัวหุ่น
"เอ้า...แค่นี้คงช่วยได้บ้าง"
ไคลน์เอ่ยเบาๆ พร้อมกับนั่งลงข้างกองไฟ เขากางผ้าผืนนั้นออก แม้มันจะเล็กไปหน่อย แต่ก็พอจะคลุมตัวทั้งสามคนได้บ้าง
เรนกับไอรีนมองหน้าไคลน์เล็กน้อยก่อนจะขยับตัวเข้ามาชิด พวกเขาเบียดตัวนั่งใต้ผ้าผืนเดียวกับไคลน์ ความอุ่นเล็กๆ จากร่างกายที่แนบชิดกันช่วยผ่อนความเย็นยะเยือกไปได้บ้าง
"ยังดี...ที่มีอย่างน้อย"
ไอรีนพึมพำ พลางห่อตัวแนบกับไคลน์ ส่วนเรนเองก็เอียงหัวพิงไหล่ไคลน์ไปอย่างเหนื่อยอ่อน
กลางเวหากว้าง ท้องฟ้าสีฟ้าใสมีเมฆขาวประปราย แต่นั่นไม่อาจบดบังร่างสีครามเข้มของ จูปิเตอร์ หุ่นคลาส B ตาเดียว
ที่กำลังแหวกอากาศด้วยความเร็วเต็มพิกัด เสียงเครื่องยนต์คำรามก้อง ฝุ่นละอองเบาบางถูกกรีดเป็นทางยาว
ด้านหลังห่างออกมาไม่ไกล หุ่นคลาส C สีเทาเงินอีกสองเครื่องกำลังเร่งเครื่องไล่ตาม ฝืนความเร็วเต็มขีด
แม้จะเทียบจูปิเตอร์ไม่ได้แต่พวกมันก็ไม่มีทางเลือก หากทิ้งระยะมากเกินไป คงตามไม่ทัน
ภายในค็อกพิต แสงแดดจากภายนอกลอดผ่านกระจกพาดผ่านใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของหุ่น จูปีเตอร์
เอลิน่า เวอร์ดีอุส
เธอนิ่งเฉย ดวงตาแดงเข้มยังคงจับจ้องแผงหน้าจอเรดาร์ แต่ในความนิ่งนั้น ความคิดบางอย่างแล่นวนกลับมา
ปู่ของเธอ ดอมินัส เวอร์ดีอุส ผู้บัญชาการสูงสุดของกองบัญชาการวายุเหล็ก ได้รับรายงานจากศูนย์กลางถึงการปรากฏตัวของ
BF-V3-0721 และ ZT-X2-14 หุ่นรบทั้งสองที่ถูกขโมยไปเมื่อหลายปีก่อนแม้ปู่จะมองว่า...
"แค่เศษซากของเทคโนโลยีเก่า อย่าได้เสียเวลา"
แต่สำหรับเธอแล้ว...มันไม่ใช่แค่ ของเก่ามันคือความท้าทายและโอกาส
ถึงแม้ ยศ รองผู้บัญชาการ จะดูใหญ่โตแต่เธอรู้แก่ใจดีว่ามันเป็นเพียงตำแหน่งชั่วคราว
ที่ปู่ของเธอมอบให้เล่นๆในการเดินทางมาดาวบ้านเกิดครั้งนี้
แท้จริงแล้ว...
เธอเป็นเพียงนักศึกษาในมหาวิทยาลัยการทหารอันดับหนึ่งของอาณาจักร
ชีวิตเต็มไปด้วยการเรียนและการฝึกในกรอบปลอดภัยจนเกือบลืมไปแล้วว่า ความเสี่ยงตายจริงๆ เป็นอย่างไร
ครั้งนี้... ปู่ของเธอเลือกลงมาบนดาวบ้านเกิดเธอจึงตามมาเอง เพราะอยากสัมผัสสนามจริง
เธอค่อยๆ คลี่ยิ้มบางขณะกุมคันควบคุมแน่นขึ้นเสียงเครื่องยนต์ที่โหยหวน ความเร็วที่ไต่ขึ้นทีละนิด และท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ทุกอย่างมันตื่นเต้น... จนร่างกายสั่นไหวไม่ต่างจากความหวัง
"ฉันจะลากสองเครื่องนั่นกลับมาให้ได้... แล้วแสดงให้ปู่เห็น ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง!"
เสียงเธอพร่ำเบาๆ ในค็อกพิตพร้อมแรงกดของข้อมือ
หอกยาวที่หลังของจูปิเตอร์สั่นสะเทือน เสียงอัลลอยด์บดขยี้ลมหอบอกเธอว่า การไล่ล่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น.
เสียงลมทะเลทรายหวีดหวิวปะทะโครงเหล็ก ขณะที่กลุ่มของไคลน์กำลังเคลื่อนผ่านช่องเขาแคบ เสียง “วูมมมม!”
แหวกอากาศดังกระชั้น สัญญาณเตือนกะพริบไม่หยุดในค็อกพิตของทั้งสองคน
"สัญญาณตรวจจับพลังงานความร้อน...!"
เรนร้องลั่นในวิทยุ แต่ไม่ทันไร หุ่นสีน้ำเงินตาเดียว จูปิเตอร์ ก็ตัดผ่านอากาศ พุ่งลงมาขวางเบื้องหน้า
พร้อมเสียง “ตึงงง!” เมื่อขาเหล็กมหึมากระแทกพื้นจนฝุ่นทรายตลบ
เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำของจูปิเตอร์ดังก้อง ใบหอกที่แบกอยู่ไหล่ขวาสะท้อนแสงแสบตา
ด้านหลังยังมีหุ่นคลาส C สีเทาเงินอีกสองตัวบินลงมาตามหลัง
สมองกลของจูปิเตอร์เริ่มทำงานทันที
"เริ่มสแกนโครงสร้าง: BF-V3, ZT-X2... และ... ตรวจพบโครงสร้างผิดมาตรฐาน ปริมาณพลังงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ย"
เอลิน่าในจูปิเตอร์กระตุกยิ้มมุมปาก "ของเก่าเอ๊ย..."
เธอสั่งการรวดเร็ว
"พวกนายสองนั้น ไล่ล่าเครื่องที่เหลือไป ฉันจัดการเครื่องขุดนั้นเอง!"
"ครับ"
หุ่น C ทั้งสองพุ่งออกขนาบซ้ายขวา แต่ทันใดนั้น
“แคร้งงงง!!”
สายสลิงสองเส้นพุ่งออกจากแขนขวาของ แคปโดเซอร์
ตะขอเหล็กปลายสายเกี่ยวเข้าที่ขาหุ่น C สองตัวแน่น
“อย่าเพิ่งไป!”
ไคลน์คำรามออกมาในค็อกพิต
“เรน ไอรีน หนีไป! ไม่ต้องหันกลับมา!”
“แต่—!”
เสียงเรนแทรกขึ้นแต่ไคลน์ตวาดสวน
“พวกนายไม่มีประสบการณ์ต่อสู้! อย่าทำตัวเป็นภาระ... วิ่งไปซะ!”
เสียงสายสลิงดัง “ครืดดด!!” เมื่อไคลน์กระชากไว้สุดแรง ทั้งสองหุ่น C พยายามต้านทาน พ่นไอพ่นเต็มกำลังแต่โดนเหนี่ยวรั้งไว้กับ กลางอากาศราวกับโดนโซ่ตรวนเหล็ก
เบลฟอร์ซ V3 กับ ลูเมีย X2 เหลือบมอง ก่อนจะบินหนีออกไปอย่างไม่เต็มใจ
เรนกัดฟันกรอดในวิทยุ
“ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา... ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเอง!”
เสียงเครื่องยนต์ของทั้งสองหุ่นดังไล่หลังหายลับไป เหลือเพียงแคปโดเซอร์ ที่เผชิญหน้ากับ จูปิเตอร์ ตรงหน้า
ภายในค็อกพิต ไคลน์กำมือแน่น ดวงตาทอแววแข็งกร้าว
“แคปโดเซอร์... ถึงจะหุ่นขุด แต่วันนี้ก็ต้องเป็นหุ่นรบให้ได้”
ขณะเดียวกัน จูปิเตอร์ยกหอกขึ้นตั้งการ์ด เสียงเหล็กเสียดสีกันดัง “เคี๊ยดดด...!”
เอลิน่าในค็อกพิตพึมพำเสียงเย็น
“หุ่นขุดกับของเก่าก็เหอะ... ฉันจะจับทั้งตัวไปทั้งอย่างนี้แหละ!”
เสียงของสมองกลจูปิเตอร์แทรกขึ้นมาในค็อกพิตของเอลิน่า พร้อมกับกราฟิกสามมิติเผยภาพโครงร่างหุ่นสีเทาสภาพทรุดโทรมที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
"เริ่มสแกนโครงสร้างกลไก... ตรวจจับวัสดุ: โลหะผสมระดับต่ำ... ตรวจพบรอยเชื่อมผิดธรรมชาติหลายจุด... ตรวจสอบหมายเลขชิ้นส่วน... การจับคู่ข้อมูลสำเร็จบางส่วน"
แสงสีฟ้าไหลผ่านจอแสดงผล สายตาเอลิน่าจับจ้องไปยังข้อความที่กำลังเด้งขึ้น
"ผลวิเคราะห์เบื้องต้น: โครงสร้างหลัก - Gravemarcher: เครื่องจักรขุดเหมืองขนาดกลาง (เลิกผลิต)"
"แขนขวา: โมดูลยิงสลิง - ดัดแปลง"
"แขนซ้าย: สว่านเจาะหิน - ใช้งานได้"
"ขา: เปลี่ยนชิ้นส่วนจากหุ่นซ่อมบำรุง"
"ระบบขับเคลื่อน: พลังงานนิวเคลียร์รุ่นเก่า ประสิทธิภาพต่ำ"
เอลิน่าขมวดคิ้ว มุมปากกระตุกยิ้มเย็น
"สภาพแบบนี้ยังกล้าจะหนีอีกเหรอ... ของเน่าในโกดังแท้ๆ"
สมองกลรายงานต่อด้วยเสียงไร้อารมณ์
"ระดับภัยคุกคาม: ต่ำมาก อัตราความเร็ว: ต่ำกว่า 20% ของมาตรฐานทหาร ระบบอาวุธ: ดัดแปลงใช้งานเฉพาะกิจ ไม่มีระบบป้องกันพลังงาน ไม่มีระบบบิน"
เอลิน่าเอนหลังพิงเบาะ ใบหน้ายิ้มอย่างสมเพช
"เฮอะ...หุ่นขุดสนิมเก่าๆ กับฝีมือสมัครเล่น... ฉันจะจับนายทุบเป็นเศษเหล็กเอง"
เธอกระชับมือจับ หอกยาวในมือหุ่นจูปิเตอร์เคลื่อนมาข้างหน้า ปลายหอกสะท้อนกับแสงอาทิตย์เหนือทะเลทรายราวกับขู่เหยื่อ
ภายในค็อกพิตของไคลน์ เขาเห็นหุ่นตรงหน้าเริ่มขยับเตรียมพุ่งเข้าใส่ ไคลน์กัดฟันแน่น มือกำคันบังคับทั้งสองข้าง
"แค่หุ่นขุด... แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นเหยื่อหรอก!"
เสียงเครื่องยนต์ของแคปโดเซอร์คำรามขึ้นอีกครั้ง ควันขาวพ่นออกจากช่องระบายที่หลัง ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายก่อนศึกจะระเบิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาที.
โปรดติดตามตอนต่อไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments