แคร้ง!
เสียงเครื่องที่เบาในโรงเก็บขนาดใหญ่ เรน กระชากคันโยกเดินเครื่องหุ่นด้วยแรงทั้งหมด แผงควบคุมเก่า ๆ สั่นระริก
ตูม! ตูม!
เครื่องปฏิกรณ์ควอนตาเซลล์แกนเดียวในอกของมันทำงานอย่างเชื่องช้าเหมือนคนชรา แต่เมื่อเวล่ผ่านไปก็ราวกับระเบิดพลังขึ้นมาในทันที เศษฝุ่นพวยพุ่งตามรอยต่อกลไก
พรึ่บ!
ไฟสีฟ้าส้มตรงตา" ทรงยาวของเบลฟอร์ซวาบขึ้นพร้อมเสียงสมองกลแหบพร่า
"BF-V3-0721... "ระบบทำงาน... ตรวจสอบสถานะ..." "พลังงานควอนตาเซลล์แกนเดียว: 98%... 🟢 เชื้อเพลิง: 100%... 🟢 ระบบหล่อเย็น: ปกติ... 🟢 ระบบอาวุธ: ปกติ... 🟢 โครงสร้าง: เสื่อมสภาพ 95%...🟢
ครืน... ครืน...
ร่างเหล็กสูง 17.5 เมตรขยับช้า ๆ เสียงข้อต่อลั่นระงม มอเตอร์ขับเคลื่อนที่ขาถีบพื้นเป็นจังหวะ
เรนกัดฟันแน่นก่อนยิ้มเย็น
"เอาล่ะ... เจ้ากระป๋องเก่า ถึงเวลาออกไปโค่นโลกซักที"
ด้านข้างในมุมมืดของโรงเก็บ ไอรีนขยับตัวขึ้นไปบนขาหุ่นสไนเปอร์ของเธอ นิ้วมือแตะสวิตช์เดินระบบทีละจุด
ฟึ่บ... ฟึ่บ...
ไฟสีฟ้าสว่างขึ้นตามแผงควบคุมอย่างเป็นจังหวะ เสียงคลื่นพลังงานเบา ๆ ดัง "หวือออ..." ก่อนที่ควอนตาเซลล์แกนเดียวจะเริ่มกระหึ่มในอกหุ่น
ติ๊ง!
ดวงตากลมสีฟ้าของลูเมียวาบแสงสว่างกลางความมืด เสียงสมองกลชัดเจน
> "ZT-X2-14..." "ระบบทำงาน... ตรวจสอบสถานะ..." "พลังงานควอนตาเซลล์แกนเดียว: 98%... 🟢 เชื้อเพลิง: 99%... 🟢 ระบบหล่อเย็น: ปกติ... 🟢 ระบบอาวุธ: ปกติ... 🟢 โครงสร้าง: เสื่อมสภาพ 97%...🟢
ครืน... ครืน...
ขาทั้งสองข้างของลูเมียขยับ มอเตอร์พิเศษสำหรับการทรงตัวเล็งระยะไกลส่งเสียงหึ่งแผ่วเบา
ไอรีนขยับแว่นหนาๆ บนใบหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ
"ถึงเวลาแล้วสินะ... สาวน้อย. ฉันจะตั้งชื่อเธอว่าลูเมีย
ลูเมียx-2
เสียงหุ่นสองตัวขยับก้องทั่วโรงเก็บ สนั่นเหมือนสัตว์เหล็กสองตัวกำลังฟื้นคืนชีพจากก้นบึ้งแห่งเหล็กกล้า...
เสียงฝีเท้าเหยียบขึ้นนั่งร้านเหล็กเก่า แกร๊ง... แกร๊ง... กร๊อบ! บางช่วงแทบจะหักในทุกย่างก้าว ไคลน์ปีนสูงขึ้นทีละขั้นจนถึงช่วงอกของแคปโดเซอร์ K-7 — ร่างยักษ์สีเทาด้านและบ้างจุดถูกสนิมไปแล้ว ที่เย็นชาและเงียบสงัดราวศพเหล็ก
มือเขากวาดฝุ่นออกจากแผ่นเหล็กก่อนเอื้อมไปบิดกลอน แกร๊ก! แล้วออกแรงดึง ครืดดดดด...! แผ่นเหล็กกลางอกเปิดลงมาด้วยเสียงหนักอึ้งจนฝุ่นเกาะปลิวกระจาย
ภายในค็อกพิตมีแผ่นเหล็กเปลือยเย็นยะเยือก ไม่มีเบาะ มีเพียงผ้าเก่าขาดวิ่นพับวางไว้รองนั่งกันก้นช้ำ ไคลน์ย่อตัวลงปีนเข้าไปข้างใน
ตึง!
เสียงเหล็กรับน้ำหนักเขาดังสะเทือนจนรอบข้างสะเทือนเบา ๆ
เขาคว้าแผงควบคุมด้านหน้า สัมผัสมันเต็มมือแล้วหมุนสวิตช์พลังงาน แกร๊ก!
ตึ่ด... ตึ่ด... ฟรึ่บบบ...!
เสียงไฟฟ้าวิ่งผ่านวงจรเก่า สนั่นในห้องแคบ ๆ พร้อมแสงไฟสีส้มบนแผงควบคุมกระพริบติด ๆ ดับ ๆ
ปึง! ปึง! ปึง!
เสียงกลไกโลหะตีกระทบข้างในเหมือนเครื่องจักรกำลังตื่นขึ้นจากฝันร้าย สมองกลเก่า ๆ เปล่งเสียงแหบพร่าผ่านลำโพง
"ระบบทำงาน... ตรวจสอบสถานะ..." "พลังงานนิวเคลียร์: 68%... 🟠 เชื้อเพลิง: 97%... 🟢 ระบบหล่อเย็น: ต่ำกว่ามาตรฐาน... 🔴 ระบบอาวุธ: ไม่ทราบ... ⚫️ โครงสร้าง: เสื่อมสภาพ 29%..."🔴
เสียงประกาศสถานะดังขึ้นแต่ละเำ ไคลน์ฟังจนตาเบิกกว้าง นิ้วขยับกำบังคับแน่น ความตื่นเต้นเอ่อล้นในอก
นี่เป็นครั้งแรก... ที่เขาได้ยินเสียงของมัน
เสียงของเพื่อนคนแรก และคนที่จะพาเขาออกไป... ออกจากนรกที่เหล็กและหินขังเขามานาน
"ตื่นแล้วสินะ เจ้ากองเหล็ก... ถึงเวลาพาฉันออกไปจากที่นี่แล้ว!"
แกร๊ก...
เสียงสวิตช์หมุนถูกกดลงอย่างหนักหน่วงใน. ค็อกพิตที่เย็นเฉียบ ไคลน์นิ่งหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเหยียดมือดันคันโยกพลังงานไปข้างหน้า
กึงงงง!!
ทั้งตัวหุ่นสะเทือนเคร่งครัด เครื่องยนต์เก่ากึกกักเหมือนสัตว์เหล็กที่ตื่นจากฝันร้าย อาการฝืดฝืนดังลอดเข้าหูเขาเหมือนเสียงร้องของเครื่องจักรที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน
วื้ดดดด... โครมมม!!
ในที่สุดเครื่องยนต์ก็ติด เสียงเหล็กกระแทกกันดังลั่นในตัวหุ่นพร้อมควันขาวพวยพุ่งออกจากท่อระบายหลังหัวไหล่สองข้าง
พรึ่บ! พรึ่บ!
ใบพัดระบายความร้อนขนาดใหญ่ด้านหลังเริ่มหมุน ค่อย ๆ เร่งรอบจนเสียงครางลั่นห้อง
ช่องระบายความร้อนเปิดแง้มตรงอกและ สะโพก ไอน้ำพ่นเสียง "ฟืดดดด!" ออกมาจากท่อเหมือนหุ่นกำลังหายใจด้วยปอดเหล็กที่สนิมกัดกิน
ติ๊ง...
ไฟสีเหลืองเข้มที่ "ดวงตา" ของแคปโดเซอร์สว่างวาบขึ้นในห้องมืดสลัว แสงนั้นสะท้อนควันขาวเป็นเงาแปลกตา
เขาหยิบสายรัดนิรภัยมารัดตัวเองแน่น กวาดตามองแผงควบคุมที่เต็มไปด้วยฝุ่นเก่าที่ไม่เคยใช้ ลูบมันเบา ๆ ราวกับปลุกปลอบ
"ตื่นแล้วสินะ เจ้ากระป๋องเก่า..."
"ได้เวลา... ไปเหยียบให้มันสะเทือนแล้ว"
เขากระชับมือกับคันบังคับ พลังงานเริ่มไหลผ่านเส้นเหล็กในตัวหุ่น ร่างแคปโดเซอร์ขยับไหล่ครืด ๆ ก่อนจะก้าวขาเหล็กแกร่งออกไปสู่ความมืดในโรงเก็บ
ครืน... ครืน...
เสียงฝ่าเท้าโลหะทุบกับพื้นคอนกรีตดังก้อง
ไคลน์ยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
อีกด้านในโรงเก็บ. เสียงเครื่องยนต์ยังครางต่ำๆ ขณะที่เบลฟอร์ซและลูเมียขยับตัวกระตุกๆ เหมือนร่างกายที่กำลังจะเริ่มก้าวเดินเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เรนนั่งบนเบาะใน ค็อกพิตของเบลฟอร์ซ แผงควบคุมเต็มไปด้วยปุ่มหลากสี ไฟเตือนขึ้นพรึ่บพรั่บแต่เขากลับหัวเราะในลำคอเบาๆ
"ฮ่า...เหมือนเจ้าแคปโดเซอร์เป๊ะ"
มือของเขาขยับจับคันควบคุม ดึงตามท่าที่ไคลน์เคยสอน
"ถ้าอยากขยับขาก็ขยับคันนี้ขึ้นทีละนิด...แล้วก็เหยียบแป้นซ้ายด้วย..."
แคร้ง...โครม...!
ขาข้างหนึ่งของเบลฟอร์ซขยับจนเหล็กเสียดสีกับพื้นประกายไฟแลบวาบ เรนเซถอยหลังไปนิดในค็อกพิต ก่อนจะกัดฟันลากคันบังคับอีกครั้ง
"โอเค...โอเค! ขาก้าวแล้ว...ทีนี้แขนล่ะ!"
เขาลองขยับคันโยกขวา แขนหุ่นกางออก ปืนกลเบาทั้งสองข้างหมุนวน "ฟวืดๆ" เสียงกลไกตอบรับแม้จะฝืดเคืองแต่ยังใช้งานได้
อีกด้านหนึ่ง ไอรีนนั่งนิ่งในค็อกพิตของลูเมีย เธอหลับตาสูดลมหายใจยาว ภาพความทรงจำย้อนกลับมา
"...ขยับนิ้วก่อน นิ้วคือปุ่มตรงนี้... แล้วก็ควบคุมขาด้วยเท้า... ลองทีละจังหวะ"
เสียงสอนของไคลน์ในโรงเก็บแคปโดเซอร์ยังชัดในหัว เธอลืมตาแล้วแตะปุ่มควบคุมนิ้วมือหุ่น
กึก...กึก...
นิ้วมือของลูเมียขยับทีละข้อเหมือนการกระดิกนิ้วเรียกเหยื่อ ปลายกระบอกสไนเปอร์ยกขึ้นช้าๆ จนแนบแน่นกับแขน
"ดี...ถ้าจะขยับต้องอาศัยแรงเหวี่ยง..."
ไอรีนเหยียบแป้นควบคุมขาเบาๆ หุ่นก้าวไปข้างหน้าอย่างเก้งก้าง แต่มั่นคง
ครืน... ครืน...
เรนมองลูเมียจากสายตาของเบลฟอร์ซแล้วหัวเราะ
"พวกเรานี่เหมือนเด็กหัดเดินเลยน้อ ฮ่าๆ"
ไอรีนกระตุกยิ้มบางๆ
"แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การซ้อมนะ...เราต้องรอดจริงๆ"
เสียงเครื่องยนต์ของทั้งสองดังกระหึ่ม พร้อมจะออกจากโรงเก็บ ไคลน์สอนไว้เพียงพื้นฐาน แต่ทั้งเรนและไอรีนรู้ดี บทเรียนจริงกำลังรออยู่ในสนามรบที่ไร้คำว่าสอนซ้ำ.
โครม...โครมม!!
เสียงฝีเท้าหนักอึ้งของแคปโดเซอร์ ดังสะท้อนทั่วอุโมงค์เก่า ฝุ่นควันปลิวฟุ้งเป็นทาง ไคลน์กดคันบังคับเร่งความเร็วเต็มที่ ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ครางดังกระหึ่ม
"อีกนิดเดียว...ข้างหลังนี่แหละ..." เขาพึมพำกับตัวเอง สายตาจับจ้องเส้นทางผ่านจอมอนิเตอร์ทั้งตรงหน้า
แต่แล้ว...
เสียงกรีดร้องกับเสียงปืนดังลั่นมาจากเบื้องหน้า เสียงกรีดร้องของพวกทาส!
ไคลน์ขบกรามแน่น พลันหยุดหุ่นจนพื้นสั่นสะเทือน เศษหินปลิวกระจาย เขาหันหัวหุ่นไปทางด้านขวาพร้อมกับกดซูมดู ภาพตรงหน้า...กลุ่มทาสสิบกว่าคนกำลังถูกยามสี่คนยิงกระหน่ำด้วยปืนกล พวกมันหัวเราะอย่างเลือดเย็น
ไคลน์ดึงคันบังคับหักเบนทิศ...
" เวรเอ้ย!"
ตึง! ตึง! ตึง!
แคปโดเซอร์พุ่งเข้าหา พื้นหินสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว ยามทั้งสี่หันขวับมาอย่างตกใจ ยังไม่ทันตั้งตัว...
ปึงงงง!!
แขนซ้ายข้างที่ติดสว่านยักษ์ถูกยกขึ้นอย่างแรง ก่อนจะ โครมม!! กระแทกลงไปบดขยี้ยามคนแรกแหลกคาพื้น เลือดและกระดูกป่นกลายเป็นเศษเนื้อ
ยามอีกสามคนหันวิ่งหนี ไคลน์ดันคันบังคับแขนขวา... ชกออก ตูม!!!
ดันร่างยามคนหนึ่งไปชนกำแพงจนกระดูกหักเสียงดังกร๊อบ ร่างนั้นไม่ทันได้ร้องลั่น
ส่วนยามอีกคนถูกมือขวาคว้าจับใว้
เพล้ง!!
นิ้วโป้งกับนิ้วชี้โลหะกระทบศีรษะยามจนกระโหลกแหลก เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนพื้น
ยามคนสุดท้ายยิงปืนกลใส่หุ่น เสียงกระสุนแฉลบเหล็กดังถี่
ปังๆๆๆ!
ไคลน์ขบฟัน หันคันบังคับ พุ่งเข้าใส่ด้วยขาเหล็กยักษ์
โคร้มม!!
เท้าขวาทุบลงบนร่างมันอย่างแรง จนเนื้อและกระดูกแตกกระจาย พื้นหินเปรอะเปื้อนด้วยเลือด
พวกทาสที่เหลือมองด้วยความตกใจ ปนหวาดกลัว
ไคลน์ ตะโกนเสียงดังออกมาจากค็อกพิต เสียงแหบต่ำดังออกจากลำตัวหุ่น
"รีบไป"
ทาสหลายคนยังยืนนิ่ง
"ไปสิวะ! ถ้ายังอยากรอด!"
เมื่อเสียงคำรามของไคลน์สิ้นสุดลง พวกทาสต่างวิ่งหนีกระจัดกระจาย ไคลน์มองพวกเขาวิ่งหนีไปจนสุดสายตา
เขาหักคันบังคับ หันหุ่นกลับ
"ต้องรีบไปต่อ...ก่อนที่พวกมันจะเสริมกำลังมาอีก..."
เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นอีกครั้ง พร้อมควันขาวที่พ่นออกมาไม่หยุด แคปโดเซอร์พุ่งทะลุอุโมงค์ต่อไป มุ่งหน้าไปยังทางออกด้านหลังเหมือง...
หุ่นจูปีเตอร์ของเอริน่า รอนลงกลางดาดฟ้าของเรือรบ
เสียงโลหะปะทะกันดังกึกก้องทั่วดาดฟ้าเรือรบที่กำลังสั่นสะเทือนเหมือนจะพังทลายได้ทุกเมื่อ!
เพล้งง!!
ปลายหอกยาวสีดำของ จูปีเตอร์ เสียบเข้าใส่โล่ของหุ่นศัตรูอย่างจัง แต่เสียงมันกลับดังแค่เหล็กครูดเหล็ก ไร้ซึ่งรอยร้าว
เบื้องหน้าคือ โซกาเรโอ หุ่นเกราะหนาหนักที่มีโครงสร้างแข็งราวป้อมปราการ หัวของมันเป็นสิงโตโลหะสีดำ ตาสีแดงวาววับแฝงความดิบเถื่อน
"มึงทะลวงเกราะกูไม่ได้หรอก!"
เสียงของ ไดลอส คนขับโซกาเรโอคำรามผ่านลำโพง ก่อนที่โล่ยักษ์ข้างซ้ายจะเหวี่ยงใส่จูปีเตอร์
ครืนนนน!!
จูปีเตอร์เบี่ยงหลบได้ทันแต่แรงปะทะก็ยังเฉียดจนเสียศูนย์ เอลิน่ากัดฟัน บังคับหุ่นให้ตั้งหลัก ปลายหอกหมุนคว้านเป็นวงก่อนพุ่งเข้าแทงเข้าไปที่ค็อกพิต
ตึงงง!!
แต่โซกาเรโอใช้ขวานยักษ์ปัดเบี่ยงหอกไปอีกทาง ก่อนจะเหวี่ยงกลับฟาดลงจากมุมสูง
หวืดดด!! โคร้มมม!!
ขวานโลหะปักลงดาดฟ้าเรือรบจนเหล็กแผ่นยุบยวบ เรือทั้งลำเอียงกระเท่เร่ ไอน้ำและควันพวยพุ่ง
"เรือรบมันจะคว่ำแล้ว!" เอลิน่ากัดฟันแน่น มองแผ่นดาดฟ้าที่เริ่มแยกออกเป็นรอยร้าว
โซกาเรโอ ชาร์จเข้ามาอีกครั้ง โล่หนาเบียดกระแทกอย่างไม่หยุดยั้ง
เอลิน่ากัดฟันดึงคันบังคับถอยหลัง พร้อมเร่งพลังขับดัน
"เร่งกำลังเต็มสูบ...!"
เครื่องขับดันสีฟ้าใต้ขาและหลังของจูปีเตอร์ลุกโชน ฟู่ววว!!
จูปีเตอร์กระโดดทะยานออกจากดาดฟ้าได้ทันที
ครืนนนน...!
เรือรบทั้งลำเอียงเสียหลัก ท้ายเรือยกสูง ก่อนจะ โครมมม!! พลิกคว่ำกลางทะเลทราย เสียงโครงสร้างเหล็กหักดังสะเทือน
เอลิน่าหอบหายใจ ในน่านฟ้า เธอมองลงไปเบื้องล่าง
ตูมมม!!
เศษเหล็กกระจาย เมื่อโซกาเรโอทลายซากเรือ เดินทะยานออกมาจากกองซากเรือรบ สีดำทะมึนของมันโดดเด่นในม่านควัน
"หนีไปไหนไม่ได้หรอก!"
ไดลอสคำรามโซกาเรโอเหวี่ยงขวานพาดบ่า เดินตรงมา สายตาสิงโตโลหะจับจ้องเป้าหมายบนฟ้า ขาขนาดใหญ่เหยียบลงทีพื้นก็สั่นสะเทือน
เอลิน่าขบฟันแน่น หอกยาวกระชับในมือ
"งั้นก็มาเลย ไอ้สิงโตดำ!"
เธอกระชับคันบังคับ พร้อมพุ่งลงมาเผชิญหน้าศัตรูอีกครั้งกลางท่าเรือที่กำลังลุกเป็นไฟ!
เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ของ แคปโดเซอร์ คำรามก้องในโพรงหินมืดทึบ ใบพัดระบายความร้อนที่หลังหมุนส่งเสียง
"วื้นนน...!" ควันขาวยังพ่นออกจากท่อระบายเป็นระยะ ไคลน์ขยับคันบังคับให้หุ่นเดินเร็วขึ้น ร่างเหล็กสูงสิบห้าเมตรขยับกึกกักในทางแคบ
“อีกนิดเดียว...” ไคลน์พึมพำกับตัวเอง แสงไฟสีเหลืองจาดส่วนหัวและอกของหุ่นส่องไกลออกไปเบื้องหน้า
แล้วร่างเล็กสองร่างก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากเงามืด ไคลน์หยุดหุ่นในทันที
"กึก!"
เสียงระบบข้อต่อของแคปโดเซอร์ดังหนัก ๆ ก่อนร่างสูงใหญ่จะหยุดนิ่ง
"ไคลน์!"
เรนร้องออกมาก่อนจะรีบวิ่งตรงมา ไอรินก็โผล่ตามมาติด ๆ ทั้งสองดูร้อนรนเล็กน้อย
"ไคลน์! กว่าจะมาได้..." เรนว่าพร้อมหอบหายใจแรง
"พวกนายเอาหุ่นไปซ่อนไว้ที่ไหน?" ไคลน์ถามพลางกดให้เครื่องหยุดทำงาน
เรนพยักพเยิดไปทางโพรงแคบอีกฝั่ง
"ข้างในนั่น...เราขับมันหลบเข้าไปในซอกหินใหญ่ กลัวพวกยามหรือไม่ทาสจะมาเจอ"
"ดี...แต่ต้องรีบไปต่อแล้ว พวกเรากำลังจะออกไปจากนรกนี่"
ไคลน์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะกดสวิตช์เปิดค็อกพิต แผ่นเหล็กกลางอกแคปโดเซอร์เปิดออกพร้อมเสียง "แกร๊งงง...!"
เขาค่อยปีนลงจากหุ่นมาจนเท้าแตะพื้น
"ไปเอาหุ่นของพวกเจ้ากลับมา เราจะออกทางหลังเหมือง"
เรนกับไอรินพยักหน้าทันที ทั้งคู่หันกลับไปวิ่งนำ ไคลน์ตามหลังไปอย่างไม่เสียจังหวะ
ไม่นานนัก ทั้งสามก็กลับมาที่โถงกว้างอีกฝั่ง ที่ซึ่ง เบลฟอร์ซ V3 กับ ลูเมียX-2นั่งหลบซ่อนอยู่หลังแท่งหินขนาดยักษ์ ร่างเหล็กทั้งสองตัวยังคงสงบนิ่ง
"รีบขึ้นเถอะ!" ไคลน์ตะโกน
เรนกับไอรินปีนขึ้นหุ่นของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ประตูค็อกพิตเลื่อนเปิดพร้อมเสียง "ครืดดดด!"
ไม่กี่อึดใจ หุ่นทั้งสองก็เดินเครื่องขึ้น ไฟตาของเบลฟอร์ซเปล่งแสงสีฟ้า ลูเมียมีแสงฟ้าสว่างวาบที่เลนส์ตา
ไคลน์รีบเดินกลับไปและปีนขึ้นแคปโดเซอร์อีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์ครางคำรามกลับมา
"วื้นนนน...!"
"ไปกันเถอะ เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน!"
เสียงฝีเท้าหนักของหุ่นทั้งสามเริ่มเคลื่อนตัวไปในเส้นทางแคบอีกเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าสู่อุโมงค์หลังเหมืองที่ถูกทิ้งร้าง แสงไฟจากตาหุ่นส่องนำทางสลับกับเสียงสะท้อนโลหะในถ้ำ
เสียงฝีเท้าหนักของหุ่นทั้งสามก้องสะท้อนทั่วอุโมงค์หินที่เย็นเยียบและเงียบงัน แคปโดเซอร์ เดินนำหน้าอย่างมั่นคง
แสงไฟสีเหลืองที่บนหัวกับ อกของหุ่นส่องไล่เงามืดบนผนังหินขรุขระ ขณะที่ เบลฟอร์ซ V3 กับ ลูเมียX-2 เดินเรียงแถวตามหลัง หัวของหุ่นแทบจะแตะเพดานถ้ำในบางช่วง
เสียงวิทยุแตกซ่าเล็กน้อย ก่อนเสียงของไคลน์ดังขึ้น
"เรน ไอริน...ระวังด้านหลังด้วย เราไม่รู้ว่าทางข้างหน้าโถงมันจะกว้างพอไหม"
เสียงเรนตอบกลับมาทางวิทยุด้วยเสียงขึงขัง
"รับทราบ ข้างหลังเคลียร์ ไม่มีอะไรตามมา"
ไอรินแทรกเสียงเข้ามาบ้าง เสียงเธอหนักแน่นแม้มีร่องรอยความตื่นเต้น
"ถ้าข้างหน้าแคบเกินไป บอกนะ เดี๋ยวฉันกับเรนจะช่วยขุดอีกแรง"
ไคลน์หัวเราะแผ่ว ๆ
"แค่เครื่องขุดของฉันเดียวก็พอแล้วมั้ง"
ขณะนั้นเอง แคปโดเซอร์หยุดชะงัก หน้าจอในค็อกพิตปรากฏหินปิดทางเบื้องหน้า
"หยุดก่อน...ข้างหน้ามีหินปิดทางเต็มไปหมด เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
ไคลน์กดสวิตช์ควบคุมแขนซ้ายของแคปโดเซอร์ สว่านขนาดยักษ์ยาวสามเมตรเริ่มค่อยๆ เลื่อนออกมา
จากแท่นบนแขนซ้ายและหมุนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นจนเกิดเสียงดัง "ฟวืนนนนนนน!!"
เขาผลักคันโยกส่งสว่านเข้าปะทะกับหิน
"ครืน! ครืน! ตึง! ตึง!"
เศษหินแตกกระจายร่วงลงมากระแทกพื้น เสียงหินบดขยี้กันสะท้อนทั่วอุโมงค์
เรนกับไอรินมองตามจากหน้าจอในค็อกพิต หินก้อนแล้วก้อนเล่าถูกเจาะทะลวงอย่างรวดเร็ว
จนในที่สุดแสงอ่อนสีส้มของโค้งฟ้าเบื้องนอกก็กระพริบลอดเข้ามาในโพรง
ไคลน์ยิ้มออกมา
"เจาะทะลุแล้ว!"
เรนตอบกลับทันควัน
"ดี! ไคลน์แกนี่มันมือหนึ่งจริง ๆ!"
"รีบออกไปกันเถอะ ก่อนที่ใครจะตามมาเจอ" ไอรินพูดเสียงเครียด
แคปโดเซอร์ลดสว่านลงก่อนจะก้าวเท้าใหญ่ ๆ ฝ่าเศษหินออกไปสู่ปากโพรง เบลฟอร์ซกับลูเมียรีบเคลื่อนตามอย่างไม่รีรอ
ทันทีที่พ้นปากถ้ำ แสงจากท้องฟ้าสีของยามเย็นก็สาดเข้าตา ทั้งสามหุ่นยืนเรียงกัน ทอดมองเส้นทางข้างหน้า พื้นที่รกร้างหลังเหมืองที่เต็มไปด้วยหินและทุ่งแห้งแล้ง
เสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นอีกครั้งในความเงียบ
"ไคลน์...เรารอดออกมาแล้วสินะ" เรนพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น
ไคลน์ตอบกลับเสียงจริงจัง
"แค่ก้าวแรกเท่านั้น ยังมีอีกไกล...แต่เราจะไปด้วยกัน"
ทั้งสามหุ่นขยับตัว เสียงข้อต่อโลหะดังกึกกัก พร้อมจะเคลื่อนที่ต่อไปในดินแดนไร้กฎหมายเบื้องหน้า...
โปรดติดตามตอนต่อไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments