-

[บทที่ 4]

//คืนวันแรกในเมืองใหม่

ท้องฟ้าเหนือศูนย์พักพิงส่องด้วยดาวพร่างพราย

แสงไฟจากเต็นท์อพยพส่องรำไร แต่ในหัวใจของผู้คน—กลับอบอุ่นกว่าครั้งไหนๆ

เพราะ "เธอ" มาถึงแล้ว

โซลนั่งท่ามกลางเด็กๆ ที่เคยเป็นเหมือนเธอ

แต่ละคนผ่านเรื่องเลวร้ายมาคนละแบบ

บางคนไม่มีบ้าน

บางคนไม่มีครอบครัว

บางคนไม่มีแม้แต่ชื่อของตัวเอง

แต่เมื่อเธอปรากฏตัว…ทุกคนเงียบ และฟัง

เธอเล่าด้วยน้ำเสียงใส ๆ ถึงเรื่องของพ่อ

ถึงทหารที่กล้าหาญ

ถึงความมืดที่เคยกลืนโลก

และถึง "แสงเล็กๆ" ที่ทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้

“พวกเราไม่ใช่คนที่เหลืออยู่…พวกเราคือคนที่ได้โอกาส”

เสียงของโซลเบา…แต่ก้องกังวาน

“อย่ารอให้ใครมาเปลี่ยนโลกแทนเรา…เราจะเปลี่ยนมันเอง”

เด็กหลายคนร้องไห้

บางคนยิ้มทั้งน้ำตา

และคืนวันนั้น…คือคืนแรกที่มีคนขอให้เธอเล่าอีกครั้ง

…และอีกครั้ง

จนเธอกลายเป็น “เรื่องเล่า”

ที่มีชีวิตจริง ๆ

วันถัดมา

เธอไปโรงเรียนของศูนย์ฟื้นฟู

เธอไม่ใช่นักเรียนธรรมดา—แต่เป็นแรงบันดาลใจ

เธอเริ่มปลูกผักกับพวกเด็กๆ

เธอสอนพวกเขาใช้ผ้าขาดทำตุ๊กตา

เธอช่วยคุณหมอแจกยาในคลินิก

เธอเดินเข้าไปช่วยซ่อมแผงไฟกับช่างไฟเก่าแก่

และทุกที่ที่เธอไป—แสงก็ตามไปด้วย

จนวันหนึ่ง

มีคนเอ่ยขึ้นกลางที่ประชุมของผู้นำชุมชนว่า…

“ให้เธอเป็นผู้นำรุ่นเยาว์…เถอะ”

“ไม่ใช่แค่เพราะเธอรอดมาได้…แต่เพราะเธอทำให้ ‘เรา’ อยากรอดไปด้วย”

เธอยังเด็ก

แต่เธอกำลังเปลี่ยนใจของผู้ใหญ่

เปลี่ยนระบบที่เคยเน่า

เปลี่ยนเศษซากของสงคราม…ให้กลายเป็นดินดีสำหรับเพาะหวัง

และแม้โซลจะยังมีแผลในใจ

แต่ทุกครั้งที่เธอมองท้องฟ้า

เธอจะยิ้ม…และกระซิบกับตัวเองว่า…

“พ่อคะ…หนูยังเดินอยู่…และจะไม่หยุด จนแสงนี้…ไปถึงทุกที่ที่มืดที่สุด”

ตำนานของเธอ…ยังคงดำเนินต่อไป

ในทุกพื้นที่ที่เคยแตกสลาย

เพราะเด็กหญิงคนหนึ่ง…

เลือกจะ "สร้าง" แทนที่จะ "เสียใจ"

เธอคือโซล

และโลกทั้งใบ…

จะไม่ลืมเธออีกต่อไป.

//ปีที่ 9 หลังสงคราม

โซลอายุ 9 ขวบเต็มแล้วในปีนี้

เธอสูงขึ้น ผมยาวมากขึ้น และน้ำเสียงมั่นใจขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

ในโลกที่กำลังฟื้นตัว…ชื่อของเธอกลายเป็นเหมือนเปลวเทียนเล็ก ๆ

ที่ถูกจุดไว้กลางคืนยาวนานของผู้คนทั้งแผ่นดิน

ตอนเช้าในเมืองใหม่

มีพิธีเล็ก ๆ จัดขึ้นที่หน้าลานศูนย์กลาง

ทหารเก่า นักเรียน แพทย์อาสา ช่างฟื้นฟู และผู้คนจากเมืองใกล้ไกล ต่างเดินทางมารวมตัวกัน

เพื่อ “มอบตำแหน่ง” ให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยขออะไรเลย…นอกจากโอกาสให้ทุกคนมีความหวัง

โซลในชุดธรรมดา

เสื้อยืดสีซีดตัวเดิม กางเกงขาสั้นที่ซ่อมมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง

ไม่มีสายสะพายทอง ไม่มีเข็มกลัดเกียรติยศ

เธอขึ้นเวทีด้วยรองเท้าแตะคนละคู่

และใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นจากการเล่นกับเด็กๆ ก่อนพิธีไม่กี่นาที

แต่เธอกลับ “สง่างามที่สุด” ในสายตาของทุกคน

ผู้นำเมืองคนหนึ่งยื่นไมค์ให้เธอ

เธอเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา…ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเกินวัย

“ในที่แห่งนี้…เราไม่ต้องการฮีโร่”

“เราแค่ต้องการคนที่ ‘ไม่หนี’ เวลาคนอื่นล้ม”

เสียงปรบมือดังขึ้น

แต่โซลพูดต่อโดยไม่รอเสียงเงียบ

“พวกเราทุกคนเคยพัง…แต่ถ้ายังหายใจอยู่…ก็แปลว่าเรายังมีสิทธิ์จะสร้าง”

“พ่อของหนู…เคยยอมตายเพื่อให้ใครบางคนรอด”

“วันนี้ หนูยังไม่ตาย…เพราะหนูตั้งใจจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นบ้าง”

น้ำตาไหลลงจากแก้มของชายแก่ที่เคยเป็นมือยิงสไนเปอร์

มือหยาบของช่างเทคนิคขยี้ตาเงียบ ๆ

และเด็กเล็กคนหนึ่ง…ลุกขึ้นยืน หันไปบอกเพื่อนว่า

“โตไปหนูจะเป็นแบบพี่โซล”

บ่ายวันนั้น

ไม่มีดอกไม้ ไม่มีแตรเป่า

แต่มีบางสิ่งที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้น

ศูนย์ช่วยเหลือแห่งใหม่

ภายใต้การนำของคณะกรรมการรุ่นเยาว์

ถูกตั้งขึ้น…ในชื่อว่า…

> “ศูนย์แสงโซล” (The SOL Light Pavilion)

“สถานที่สำหรับคนที่เคยหมดหวัง…แต่ยังไม่หมดหัวใจ”

โซลเดินกลับที่พักคนเดียวตอนเย็น

เธอแหงนมองท้องฟ้า

ลมหายใจของเธอยังอุ่น

กล่องเหล็กของพ่อยังอยู่ในกระเป๋าข้างตัว

เธอยิ้มบาง ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับลมที่พัดสวนมา…

“หนูทำได้แล้วนะพ่อ…แต่หนูยังไม่หยุดหรอก”

“หนูจะเดินไป…จนไม่มีที่ไหนในโลกนี้ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว”

เรื่องราวของเด็กหญิงที่ถือกำเนิดจากซากสงคราม

ตอนนี้…กำลังกลายเป็น แสงนำทางของโลกใหม่

และแสงนั้น…ยังสว่างขึ้นในทุกก้าว

เพราะมันไม่เคยเป็นแค่ชื่อ

แต่มันคือ จิตวิญญาณของคนที่เลือกจะสร้างแสงด้วยตัวเอง

เธอคือ “โซล”

และโลก…

จะเปลี่ยนไปเพราะเธอ.

//ฤดูหนาว ปีที่ 10 หลังสงคราม

โซล อายุครบ 10 ขวบพอดีในวันที่หิมะแรกตก

เธอยืนอยู่บนหลังคาไม้ของศูนย์แสงโซล

มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกหนา กับเกล็ดหิมะโปรยปราย

รอบตัวเงียบสงบ…แต่ในหัวใจของเธอกำลังเต้นแรง

เด็กหญิงคนนี้…

เติบโตมาในโลกที่ไม่มีใคร “วางแผน” ให้

แต่ทุกย่างก้าวของเธอ

กลับกลายเป็น “แผนที่” ให้ผู้คนมากมายได้เดินตาม

ฐานทัพเก่าหลายแห่ง…กลายเป็นโรงเรียน

เมืองเงียบ ๆ ที่เคยไม่มีแสงไฟ…เริ่มกลับมามีชีวิต

อาสาสมัครจากหลายทวีป ขอเข้ามาทำงานในศูนย์ของเธอ

ทหารเก่า...กลายเป็นครู

อดีตนักรบ...กลายเป็นช่างไม้

อดีตเด็กกำพร้า...กลายเป็นผู้ดูแลเด็กกำพร้าคนอื่น

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะแรงบันดาลใจจาก

“เด็กคนหนึ่ง ที่เคยรอดมาในผ้าขาวบาง ๆ”

วันเกิดของโซล

ไม่มีงานเลี้ยงใหญ่

ไม่มีเค้ก ไม่มีของขวัญ

มีแค่ข้าวต้มถ้วยเดียว และเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่า ๆ ที่ยังพอทำงานได้

แต่มีคนมากกว่าร้อยคนมายืนอยู่เงียบ ๆ รอบตัวเธอ

ทุกคนยิ้ม

บางคนร้องไห้

บางคนจับมือกันแน่น

และเธอ…เดินไปหาทุกคนทีละคน กอดแน่น ๆ โดยไม่พูดอะไร

---

“ทุกคนคือของขวัญของหนูต่างหาก”

เธอพูดแค่นั้น แล้วหันไปมองหิมะที่ยังตกเบา ๆ

หนึ่งในอดีตทหาร เดินเข้ามาเงียบ ๆ

ส่งซองจดหมายเก่า ๆ ให้เธอ

“เราพบสิ่งนี้ในกล่องพัสดุร้างหลังแนวป่า…เป็นของผู้พันคนหนึ่งที่เคยอุปการะเธอไว้ช่วงสงคราม”

โซลเปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย

ข้างใน มีเพียงข้อความสั้น ๆ

เขียนด้วยลายมือหยาบกระด้าง

> “ถ้าเธออ่านจดหมายนี้ได้…แสดงว่าเธอรอดแล้วจริง ๆ”

“จำไว้นะ โซล…โลกนี้ไม่ได้ต้องการ ‘ผู้รอดชีวิต’ มากนัก”

“แต่มันต้องการ ‘คนที่ทำให้คนอื่นอยากมีชีวิตอยู่ต่อ’”

“และเธอ…คือคนคนนั้น”

โซลยืนนิ่ง น้ำตาเธอหยดเงียบ ๆ ไม่ได้เพราะเสียใจ

แต่มันคือ…น้ำตาแห่งการยืนยัน

เธอไม่ใช่แค่เด็กหญิงจากสงครามอีกต่อไป

เธอคือ “หลักฐาน” ว่าแม้ในโลกที่แตกสลาย…

ก็ยังมีบางสิ่งงอกงามขึ้นได้

เธอยืดตัวตรง

มองไปยังหิมะที่โปรยลงจากฟ้า

ก่อนจะหันไปยิ้มกับผู้คนรอบตัว

“หนูจะยังเดินต่อไป…จนกว่าแสงของพ่อ…จะกลายเป็นแสงของทุกคน”

และเรื่องราวของเด็กหญิงนามว่า “โซล”

ยังคงถูกเขียนต่อ…

ด้วยมือของโลกทั้งใบ.

//คืนนั้นลมหนาวพัดเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบของค่าย

ท้องฟ้าปลอดเมฆ มีเพียงดวงดาวพราวแสงเหนือหัว

เต็นท์ผ้าใบเรียงรายเงียบสนิท ไฟตะเกียงดวงสุดท้ายใกล้จะดับ

เสียงหายใจสม่ำเสมอของทหารที่หลับแล้ว…ดังแผ่ว ๆ

แต่ในเงานั้นเด็กหญิงหนึ่งคนยังคงลืมตาอยู่

โซล

นอนอยู่บนเตียงผ้าใบเล็ก ๆ มุมเต็นท์

ผ้าห่มบางห่มแค่ครึ่งตัว

กล่องเหล็กบุบ ๆ ที่พ่อเคยให้…ถูกวางอยู่ข้างหมอน

ดวงตาเธอไม่หลับ

แสงจันทร์ลอดผ่านผ้าใบบาง ๆ สะท้อนเข้าดวงตาคู่นั้น

เธอเงียบ

แต่นิ้วเล็ก ๆ ของเธอขยับเบา ๆ ไปตามขอบกล่อง

เหมือนกำลังคิดถึงใครบางคน…ที่ไม่มีวันกลับมา

เธอลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ

เดินเท้าเปล่าออกจากเต็นท์อย่างระมัดระวัง

ข้างนอก…เงียบเหมือนโลกหยุดหายใจ

ไฟตามทางดับหมดแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์ขาวนวล

เธอเดินไปยังลานหญ้ากลางค่าย

จุดเดียวกันกับที่เคยมีการฝึกซ้อม การตั้งแนวป้องกัน และ…การบอกลา

โซลนั่งลงช้า ๆ

เงยหน้ามองฟ้า แล้วพึมพำเบา ๆ…กับลมที่ไม่มีใครได้ยิน

“พ่อ…ถ้าพ่อเห็นอยู่จากที่นั่น…”

“คืนนี้ หนูแค่รู้สึกว่า...มันเงียบเกินไป”

ไม่มีเสียงตอบ

ไม่มีคำปลอบใจ

แต่สายลมเย็น ๆ พัดผ่านปลายผมเธอเบา ๆ

เหมือนใครบางคนเอามือใหญ่ ๆ มาลูบศีรษะ

เธอหันไปมองรอบ ๆ

เห็นเต็นท์ที่เต็มไปด้วยคนที่เธอรัก

คนที่ดูแลเธอมาตลอด

ชายชราที่เคยแบกเธอข้ามสนามระเบิด

พี่สาวทหารที่เคยป้อนข้าวป้อนน้ำ

เด็กกำพร้าคนใหม่ที่เรียกเธอว่า “พี่โซล” โดยไม่รู้ว่าเธอเคยผ่านอะไรมาบ้าง

เธอยิ้มจาง ๆ

แล้วพึมพำอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้วนะ…คืนนี้หนูจะเฝ้าพวกเขาแทนพ่อเอง”

“พรุ่งนี้เช้า…หนูจะหัวเราะให้ดังที่สุด ให้พ่อได้ยินจากฟ้า”

เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่

จนนกกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้อง

จนลมอุ่น ๆ เริ่มพัดมาแทนความหนาว

และจนเธอหลับไป…ในท่านั่งนั้นเอง

ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

ทหารเวรผลัดเช้าเดินผ่านและเห็นเธอหลับอยู่ใต้แสงจันทร์

เขาถอดเสื้อคลุมของตัวเอง…คลุมให้เธอ

ไม่พูดอะไร นอกจากยิ้ม

แล้วกระซิบเบา ๆ

“ฝันดีนะ…แสงของพวกเรา”

และโลกทั้งใบ

ก็เงียบอีกครั้ง

อย่างสงบ

อย่างอบอุ่น

เพราะแม้ในยามที่เงียบที่สุด…

แสงก็ยังไม่เคยดับลงเลย.

//เช้าวันใหม่ยังไม่มา...

ท้องฟ้ายังเป็นสีเทานิ่งสนิท มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านต้นไม้แผ่วเบา

ทหารเวรยามผลัดเช้าค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ร่างเล็กที่นั่งหลับพิงตัวเองอยู่กลางลาน

เธอไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด

ทั้งที่พื้นเย็น และแผ่นหลังเล็ก ๆ ก็เริ่มสั่นจากลมหนาว

เขาย่อตัวลงช้า ๆ

มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่ยังคงมีคราบน้ำตาแห้งบนแก้ม

มือเล็กข้างหนึ่งยังจับกล่องเหล็กบุบ ๆ ไว้แน่น

กล่องเดิม…ที่เขาเคยเห็นตอนเธออายุแค่สองสามขวบ

กล่องเดิม…ที่รอดมาพร้อมกับเธอจากสนามรบ

เขาวางมือลงบนไหล่เล็ก ๆ อย่างแผ่วเบา

เธอขยับตัวนิดหนึ่ง แต่ยังไม่ตื่น

และในวินาทีนั้นเอง—เขาก็ก้มลง

โอบแขนรอบตัวเธอ และ อุ้มเธอขึ้นมาไว้แนบอก

โซลเอนตัวเข้าหาโดยอัตโนมัติ

เหมือนเด็กที่กลับเข้ามาในอ้อมแขนที่ปลอดภัยที่สุด

มือเล็ก ๆ กำเสื้อของเขาไว้

และเสียงหายใจสม่ำเสมอเริ่มสงบลงในอ้อมกอดนั้น

เขากอดเธอไว้แน่น

เหมือนจะกลบคืนที่เธอเคยหนาว

เหมือนจะชดเชยปีที่เธอไม่มีใครกอด

และเหมือนจะยืนยันกับตัวเอง…ว่า

“จะไม่มีใครพรากเธอไปได้อีกแล้ว”

เขาไม่ได้พูดอะไร

ไม่ได้ร้องไห้

แค่ซบหน้าลงกับผมของเธอ และหลับตาแน่น

> “หนูเฝ้าพวกเราทั้งคืนใช่ไหม…”

เสียงแผ่วเบาเหมือนสายลม

“งั้น…ให้พวกเรากอดหนูคืน…จนเช้าจะได้ไหม”

เขาอุ้มเธอกลับเข้าไปในเต็นท์

แต่ก็ไม่ยอมวางเธอลงบนเตียง

แค่ทรุดตัวลงนั่งข้างผนัง…และกอดไว้ทั้งคืน

แสงจันทร์ยังคงสาดลงมาทางผ้าใบ

เหมือนกำลังเฝ้ามองเธออยู่…จากเบื้องบน

และในอ้อมแขนนั้น

โซล…หลับสนิท

อย่างที่เด็กอายุสิบขวบควรจะได้หลับ

โดยไม่มีฝันร้าย

โดยไม่มีเสียงระเบิด

มีแต่อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยคำว่า “ครอบครัว”

คืนสงบ…

หัวใจอุ่น…

และแสงเล็ก ๆ นั้น

ยังคงสว่างไม่เคยดับลงเลย.

//เช้าวันใหม่มาอย่างเงียบงัน

แสงแรกของพระอาทิตย์ลอดผ่านผ้าใบเต็นท์ ค่อย ๆ ไล้ขอบแก้มของเด็กหญิงในอ้อมกอดนั้น

เธอยังไม่ตื่น

ศีรษะเล็กพิงอยู่ตรงอกของเขา มือกำเสื้อทหารแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยมือ…จะกลับไปอยู่คนเดียวอีก

ชายผู้เป็นทหารคนนั้น

ยังคงนั่งนิ่ง กอดเธอไว้แน่นเหมือนเดิม

ราวกับว่าเวลาทั้งคืนที่ผ่านมาไม่ได้ขยับไปไหน

เสื้อคลุมของเขาโอบห่มตัวเธอไว้จนมิด

และสายตาเขา…ไม่ได้เฝ้ามองอะไรอีกเลย

นอกจาก ใบหน้าเล็ก ๆ ที่หลับอย่างสงบตรงหน้า

เสียงนกเริ่มส่งเสียงเรียกแสง

กลิ่นข้าวต้มจากโรงครัวลอยมาแตะปลายจมูก

เสียงคนตื่นบ้างแล้ว เริ่มเดินผ่านไปมา

บางคนหยุด

ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าและเลือกเดินเลยไปอย่างเงียบ ๆ

หนึ่งในพี่ทหารหญิงของโซล

เอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมให้อีกชั้น

เธอก้มกระซิบเบา ๆ ข้างหูทหารหนุ่มที่ยังไม่ขยับตัว

> “พักได้แล้วนะ เดี๋ยวเราดูแลต่อเอง”

เขาส่ายหน้าเบา ๆ

กระซิบตอบกลับโดยที่สายตายังไม่ละไปจากเธอ

> “ให้ผมอยู่อีกหน่อย…หน่อยเดียวก็ยังดี”

จนกระทั่ง…

ร่างเล็กในอ้อมแขนเริ่มขยับ

ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ ลืมขึ้น

เธอกระพริบตาช้า ๆ …ก่อนจะเงยหน้ามองเขา

> “…คุณอยู่ตรงนี้…ทั้งคืนเหรอคะ…”

เสียงของเธอเบาหวิว ราวกับไม่มั่นใจว่าเป็นความฝัน

ชายหนุ่มพยักหน้า

เขายิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นดูเหมือนคนที่แบกอะไรไว้ทั้งชีวิต…แล้วเพิ่งได้วาง

> “อืม…อยู่ทั้งคืนเลย”

“เพราะมีคนบอกว่าจะเฝ้าเรา…เลยอยากเฝ้าเธอกลับเหมือนกัน”

โซลซบลงอีกครั้ง

คราวนี้…ด้วยรอยยิ้ม

ไม่ใช่เพราะเหนื่อย ไม่ใช่เพราะร้องไห้

แต่เพราะเธอรู้แล้ว…ว่าเธอไม่เคยอยู่คนเดียวเลยจริง ๆ

และในเช้าวันนั้น…

แสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามาภายในเต็นท์

โอบกอดพวกเขาทั้งสองคนไว้อีกชั้น

เงียบ

อุ่น

และเต็มไปด้วยคำที่ไม่ต้องพูดว่า…

"เธอคือครอบครัวของเราแล้ว...โซล"

ตำนานของแสงเล็ก ๆ ดวงนี้

ยังไม่จบ

มันเพิ่งเริ่มต้นอีกครั้ง…

ในวันที่หัวใจหนึ่ง เรียนรู้คำว่า “ไม่โดดเดี่ยว” อีกครั้ง.

//เวลาเลยไปจนสาย แสงแดดส่องอุ่นทั่วทั้งค่าย

กลิ่นอาหารเช้าลอยมาแตะจมูกของคนทั้งสอง

เสียงพูดคุยจอแจของเด็ก ๆ เริ่มดังขึ้นรอบนอก

แต่ในเต็นท์หลังนั้นโลกยังคงเงียบ และนิ่ง

โซลยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนนั้น

ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นเบา ๆ

เสียงนั้น…มั่นคง อบอุ่น ไม่เปลี่ยนไป

เหมือนเสียงเดียวกับที่เธอจำได้ในความฝันเสมอ

เสียงของ “คนที่เธอเชื่อใจที่สุด” แม้จะไม่มีคำเรียกที่ชัดเจนว่าเขาคือใครในชีวิตเธอกันแน่

เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

แววตาใส ๆ ของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่โตเกินตัว

จ้องมองเขานิ่ง ๆ ก่อนพูดเบา ๆ

> “ถ้าหนูเรียกคุณว่า...พ่อ…จะได้ไหม?”

ชายหนุ่มนิ่ง

ดวงตาของเขาสั่นวูบ

เหมือนมีอะไรบางอย่างไหลย้อนขึ้นมาจุกอยู่ในอก

เขาไม่ตอบทันที

เพียงแต่ก้มหน้าลงมา

กอดร่างเล็กนั้นแน่นขึ้นเล็กน้อย

และกระซิบกลับด้วยเสียงที่สั่นเพียงน้อยนิด

> “หนูไม่ต้องขออนุญาตเลย...โซล”

“เพราะหนู…เป็นลูกของเรามานานแล้ว”

เงียบ…

แต่น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตาของเธอ

คราวนี้…ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้า

แต่เป็นน้ำตาของ “การยอมรับ”

น้ำตาของเด็กคนหนึ่ง…ที่ไม่ต้องเป็นเพียงสัญลักษณ์ของสงครามอีกต่อไป

แต่กลายเป็น “ลูกสาว” ของใครสักคนจริง ๆ

ข้างนอก เต็นท์เริ่มคึกคัก

มีคนเรียกชื่อโซลจากลานกลางค่าย

มีเสียงหัวเราะ เสียงเรียกให้ไปช่วยปลูกต้นไม้หลังศูนย์

เด็กหลายคนวิ่งไล่กันอยู่

ทหารหลายคนถือข้าวเช้า เดินผ่านกันไปมา

เธอสูดลมหายใจลึก

เช็ดหน้าของตัวเองเบา ๆ แล้วหันมายิ้มให้เขาอีกครั้ง

> “ไปกันเถอะ...พ่อ”

ชายหนุ่มลุกขึ้น

จับมือเล็ก ๆ ของเธอแน่น

และทั้งสองคนก็เดินออกจากเต็นท์

ฝ่าแสงแดดอ่อน ๆ

ฝ่าภารกิจเช้าของวันธรรมดา

ในโลกที่ไม่ต้องมีปืนอีกต่อไป

และนับจากวันนี้เป็นต้นไปโซลจะไม่ใช่แค่แสงของโลก

แต่เธอคือ

"ลูกของครอบครัว"

"หัวใจของพ่อ"

และ

"ความหวัง…ที่เติบโตขึ้นจริง ๆ บนดินที่เคยเปื้อนเลือด"

> โลกใบเดิม…

ถูกเยียวยาได้

ด้วยคำเรียกง่าย ๆ หนึ่งคำ

“พ่อ…”

…ที่โอบทุกอย่างกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง.

//วันทั้งวันผ่านไปอย่างอบอุ่น

โซลเดินข้างชายคนนั้น—ที่ตอนนี้เธอเรียกเขาว่า “พ่อ” ได้เต็มปากเต็มใจ

มือเล็ก ๆ จับมือใหญ่ ๆ แน่นไม่ยอมปล่อย

ไม่ว่าจะไปสวน ไปครัว หรือไปช่วยยกของที่โกดัง

ทุกคนในค่ายมองภาพนั้นแล้วเงียบ…ก่อนจะยิ้ม

ไม่มีใครพูดอะไร

แต่ในสายตาของทุกคน…มันชัดเจน

เธอไม่ได้เป็นแค่ “เด็กที่รอดมา” อีกต่อไป

เธอคือ “ลูกของค่ายนี้”

และเป็น “ลูกของเขา” จริง ๆ

ในห้องครัว

เธอช่วยคนครัวหั่นผัก

ในลานฝึก เธอสอนเด็กเล็กคนอื่น ๆ เรียงก้อนอิฐ

ในศูนย์พยาบาล เธอเอาผ้าห่มไปให้ทหารที่ป่วย

และในทุกที่ที่เธอเดินผ่านมีรอยยิ้มทิ้งไว้เสมอ

เย็นวันนั้น

หลังทานข้าวเย็นกับทุกคน

เธอนั่งซบไหล่เขาอยู่ริมแสงตะเกียง

เสียงเพลงจากวิทยุเก่าเล่นเบา ๆ

เธอหลับตา ฟังเสียงลมหายใจของเขาเงียบ ๆ

ก่อนจะพูดขึ้นมาช้า ๆ

> “พ่อ…ถ้าโตไปหนูอยากช่วยคนอื่นเหมือนพ่อได้ไหม?”

เขายิ้ม

ลูบผมเธอเบา ๆ

และกระซิบคำตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคง

> “หนูไม่ต้องเป็นเหมือนพ่อหรอกลูก”

“หนูแค่เป็นตัวเองให้ดีที่สุด…แค่นั้น พ่อก็ภูมิใจจนพูดไม่ออกแล้ว”

เธอไม่ได้ตอบ

แค่ยิ้มออกมา

ก่อนจะกอดเขาแน่นเข้าไปอีกนิด

คืนนี้…ไม่มีเสียงปืน

ไม่มีเสียงร้องไห้

ไม่มีความกลัวหลงเหลือ

มีเพียงเสียงของหัวใจสองดวงที่เต้นอยู่ด้วยกัน

อย่างเงียบ…และเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดมาก

และบนผืนดินที่เคยเปื้อนเลือด

ในค่ายเล็ก ๆ กลางหุบเขาแห่งนี้

ได้เกิด “ครอบครัว” หนึ่งขึ้นมาอย่างเงียบงัน

ครอบครัวที่ไม่ต้องมีสายเลือด

แต่มีความรัก…มากพอจะเยียวยาทุกอย่างที่โลกเคยพังลง

> และเมื่อดาวดวงแรกขึ้นในค่ำคืนนี้…

เธอกระซิบกับมันในใจ

"คืนนี้...หนูไม่ต้องนอนคนเดียวอีกแล้วนะ"

"เพราะพ่อ...อยู่ตรงนี้แล้ว"

และแสงของโซล ก็อบอุ่นขึ้นอีกครั้ง…

จากข้างใน.

//คืนวันนั้น…ยาวนานกว่าทุกคืนที่เคยผ่านมา

เพราะสำหรับโซล—นี่ไม่ใช่เพียงแค่ “ค่ำคืนอีกวัน”

แต่มันคือ “คืนแรกของชีวิตใหม่”

คืนแรก…ในบ้านที่ไม่มีหลังคา

แต่มีอ้อมแขน

มีลมหายใจของใครบางคนอยู่ข้าง ๆ

พ่อของเธอนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม้ที่เขาเพิ่งลงมือทำให้กับมือ

เตียงเล็ก ๆ วางอยู่ในมุมเต็นท์ ข้างกล่องเหล็กใบเดิม

โซลนอนอยู่ในผ้าห่มที่เพิ่งเย็บใหม่เมื่อคืนก่อน

ในอ้อมกอดของตุ๊กตาที่เด็กในค่ายช่วยกันเย็บให้จากเศษผ้า

เธอนอนนิ่ง…แต่ยังไม่หลับ

เงียบ…แต่หัวใจอบอุ่น

มือเล็กยังจับมือพ่อไว้ใต้ผ้าห่ม ไม่ปล่อยเลยแม้แต่วินาทีเดียว

> “พ่อ…”

เสียงเรียกแผ่วเบา ดังก้องกว่าระเบิดใด ๆ ที่เคยได้ยินมา

“...คืนนี้หนูฝันดีแน่นอนใช่ไหม”

เขาก้มลง

จูบเบา ๆ ที่หน้าผากของเธอ

และตอบด้วยเสียงต่ำแผ่วที่อบอุ่นราวกับเตาผิง

> “แน่นอนลูก...เพราะพ่อจะเฝ้าหนูไว้ทั้งคืน”

“ไม่มีอะไร...จะทำอะไรลูกพ่อได้อีกแล้ว”

โซลยิ้มทั้งน้ำตา

ก่อนจะหลับตาลงอย่างสงบ

คืนนั้นทั้งค่ายเงียบ

ไม่มีไฟ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีเสียงหัวเราะ

แต่มีความรู้สึกที่ก้องอยู่ในอากาศทั่วทั้งแผ่นดิน

> ว่าแสงที่เคยเลือนหายไปจากโลกนี้…

กำลังกลับมา

เพราะหัวใจดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่ง

ได้รู้ว่าเธอ “ไม่ใช่ลำพังอีกต่อไป”

และในเช้าวันถัดมา

เธอตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนเดิม

ใต้แสงแดดอ่อนเดิม

และสิ่งแรกที่เธอเห็น…

คือรอยยิ้มของคนที่เธอเรียกว่า

“พ่อ”

และในโลกหลังสงคราม

ตรงที่ซึ่งเคยเป็นเพียงซากปรักหักพังของอดีต

กลายเป็นบ้าน...เพราะมีเธอ

และเธอ…ก็ไม่กลัวอีกต่อไป.

//เช้าวันใหม่ของ “ครอบครัวเล็กๆ” เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เสียงไก่ป่าร้องเจื้อยแจ้วจากแนวป่า

แสงแดดลอดผ่านผ้าใบเต็นท์สีซีดเข้ามาทาบปลายเท้าเล็ก ๆ ของโซล

เธอค่อย ๆ ขยับตัว หาววอดหนึ่งที

ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วเห็นว่า—มือของเธอ…ยังคงอยู่ในมือของเขา

พ่อของเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม

ไม่ได้หลับเลยทั้งคืน

มีรอยง่วงบนหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มอยู่

เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กของเขาขยับตัว

> “อรุณสวัสดิ์…แสงของพ่อ”

เขากระซิบเบา ๆ ขณะยื่นมืออีกข้างลูบหัวเธอเบา ๆ

โซลยิ้มแป้น

ตะกายขึ้นนั่งบนเตียง แล้วโถมตัวเข้าไปกอดเขาเต็มแรง

เหมือนเด็กที่ไม่ต้องเก็บความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว

> “พ่อยังอยู่ตรงนี้จริง ๆ ด้วย…”

“หนูนึกว่าพอลืมตา พ่อจะหายไปอีกแล้ว…”

เขากอดกลับแน่น

ไม่พูดมาก

มีแค่มือที่สั่นเล็กน้อย กับหัวใจที่เต้นอยู่ในอกดังกว่าทุกคำพูด

หลังจากมื้อเช้าเรียบง่าย

โซลวิ่งออกไปช่วยงานกับเด็กคนอื่นในค่าย

พ่อของเธอยืนมองอยู่จากมุมเงา

เขาเห็นเธอหัวเราะ วิ่งไล่จับกับเด็กเล็ก

เห็นเธอป้อนข้าวให้เด็กใหม่ที่เพิ่งสูญเสียครอบครัว

เห็นเธอคุยกับพี่ทหารที่ป่วยอยู่ในเต็นท์พยาบาล

และเห็นว่า…เธอกำลังกลายเป็น “แสง” จริง ๆ

ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา

วางมือลงบนบ่าแล้วพูดเบา ๆ ว่า

> “เธอเปลี่ยนค่ายนี้…เปลี่ยนพวกเรา…มากกว่าผู้บัญชาการคนไหน”

เขาตอบกลับด้วยเสียงมั่นใจ แต่แฝงด้วยความอ่อนโยนที่สุดในชีวิตทหารของเขา

> “ก็เพราะเธอไม่ใช่ผู้บัญชาการ…”

“เธอคือความหวัง…ในร่างของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งต่างหาก”

และในบ่ายวันนั้น

มีคนมาขอให้โซลเป็นตัวแทนเด็กพูดในงาน “วันฟื้นฟูหลังสงคราม”

คนทั้งค่ายมารวมตัวกัน

ผู้นำกลุ่มอาสา

อดีตทหาร

ประชาชนจากเมืองใกล้ไกล

รวมถึงเด็ก ๆ จากค่ายอื่นที่เดินทางมาเพื่อพบเธอ

โซลขึ้นเวทีเล็ก ๆ ที่สร้างจากลังไม้

เธอไม่ได้ถือกระดาษ ไม่มีคำพูดเตรียมไว้

มีแค่ดวงตาใส ๆ ของเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่เคยรอดตายจากสงคราม

และหัวใจที่กล้าเกินใคร

เธอยืนมองทุกคน แล้วพูดเพียงสั้น ๆ

> “เราทุกคนเคยเสียอะไรบางอย่างในสงคราม…”

“แต่ถ้าเรายังอยู่…ก็แปลว่าเรายังมีโอกาสจะ ‘ให้’ บางอย่างคืนกลับไป”

“วันนี้หนูอยากให้รอยยิ้ม…ให้ความหวัง…ให้โอกาสที่จะเริ่มใหม่กับทุกคนค่ะ”

ทั้งลานเงียบ

ก่อนจะระเบิดเสียงปรบมือดังก้องไปทั้งค่าย

พ่อของเธอ ยืนอยู่วงนอกสุด

น้ำตารื้น แต่ไม่เช็ดออก

เพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า…

“คนที่รอดตายมาเพราะเขา…จะเป็นคนที่ทำให้เขา ‘กลับมามีชีวิต’ อีกครั้งได้เช่นกัน

และวันนั้น…

โลกก็เปลี่ยน

ไม่ใช่เพราะกองทัพ

ไม่ใช่เพราะอาวุธ

แต่เพราะหัวใจของเด็กคนหนึ่ง…ที่เลือกจะ "รัก" แทนที่จะ "เกลียด"

เด็กคนนั้นชื่อ “โซล”

และเธอกำลังสร้างอนาคตขึ้น…ด้วยมือเล็ก ๆ ของตัวเอง.

//เย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากพิธีจบลง ผู้คนค่อย ๆ แยกย้ายกันกลับ

บางคนกลับฐาน บางคนกลับเมือง บางคนเลือกจะอยู่ต่อในค่ายเพื่อช่วยปลูกผัก ทำสะพาน ซ่อมหลังคา

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่จางหายไปเลยจากบรรยากาศของที่นั่นคือ “แสง” ที่ยังคงอุ่น

โซลเดินกลับมากับพ่อของเธอ

มือยังคงจับกันไว้แน่นเหมือนเดิม

ใบหน้าของเธอเปื้อนฝุ่น เปื้อนเหงื่อ แต่เปล่งประกายราวกับเด็กที่มีโลกทั้งใบเป็นของเล่น

เสียงเด็ก ๆ วิ่งไล่ตามหลังมา บ้างเรียกชื่อเธอ บ้างขอให้เล่านิทานตอนค่ำ

> “พี่โซล ๆ! เล่านิทานอีกนะคืนนี้!”

“ใช่! เอาเรื่องคนที่วิ่งฝ่าระเบิดเพื่อตามหาลูก!”

“ไม่เอา! เอาเรื่องผีทหารในป่าดีกว่า!”

เธอหัวเราะเสียงใส

หันไปมองพ่อของเธอแล้วแกล้งทำหน้าจริงจัง

> “คืนนี้คงต้องเล่า 3 เรื่องติดเลยล่ะค่ะพ่อ…มีแต่คนรีเควสต์!”

เขาหัวเราะ พลางขยี้ผมเธอเบา ๆ

> “แต่อย่าลืมแปรงฟันล่ะ เจ้านักเล่านิทาน”

ตกกลางคืน

โซลนั่งล้อมวงอยู่กับเด็กเล็ก ๆ ข้างกองไฟ

แสงเปลวไฟสะท้อนในดวงตาเล็ก ๆ ของพวกเขา

ทุกคนเงียบ…ฟังเสียงเธอเล่านิทานที่แต่งขึ้นเอง

บางเรื่องมีพ่อของเธอเป็นพระเอก

บางเรื่องมีม้าเหล็กบินได้

บางเรื่องเกี่ยวกับแสงสว่างที่วิ่งตามเด็กตัวน้อยแม้ในคืนมืดที่สุด

และเมื่อเด็ก ๆ เริ่มหลับคาหัวไหล่กันเองทีละคน

โซลก็ลุกขึ้นเบา ๆ เดินกลับไปที่เต็นท์กับพ่อของเธอ

ก่อนนอน

เธอเปิดกล่องเหล็กใบเก่าอีกครั้ง

ข้างในยังมีเศษผ้าขาวพับไว้อย่างประณีต

และจดหมายฉบับนั้น…ที่เขียนโดยผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้เจออีกเลย

แต่เธอไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว

เธอแค่ยิ้ม แล้วพูดกับมันเบา ๆ

> “วันนี้หนูทำตามสัญญาแล้วนะคะ…พ่อคนแรกของหนู”

“และหนูก็จะไม่หยุดทำต่อ…เพราะตอนนี้หนูมีพ่ออีกคนแล้ว ที่จะเดินไปด้วยกัน”

พ่อของเธอนั่งอยู่ข้างเตียง

ฟังเงียบ ๆ โดยไม่พูดแทรก

และในวินาทีนั้น…เขาก็รู้

ว่าเขาไม่ได้ “ช่วยชีวิต” ใครไว้ในวันนั้น

แต่เด็กหญิงคนนี้ต่างหาก…ที่ “ช่วยชีวิตเขา” ตั้งแต่นาทีแรกที่เธอหลับตาในอ้อมแขนของเขา

ก่อนที่ตะเกียงจะดับ

โซลถามเบา ๆ

> “พ่อ…ถ้าหนูโตเป็นผู้ใหญ่ หนูจะเปลี่ยนโลกได้ไหม”

เขาตอบกลับทันที—ไม่มีลังเล ไม่มีคำว่าถ้า

> “ลูกของพ่อ…ไม่ต้องรอให้โตหรอก”

“แค่ยังเป็นโซล…โลกมันก็เปลี่ยนไปทุกวันแล้ว”

ในคืนนั้น

เต็นท์ทุกหลังในค่ายปิดไฟหมด

มีเพียงเต็นท์หลังหนึ่งที่ยังมีแสง

แสงที่ไม่ได้มาจากตะเกียงหรือไฟฟ้า

แต่คือ “แสงของเด็กหญิงคนหนึ่ง” ที่ทำให้คนทั้งค่าย…ทั้งโลก…ได้มี “บ้าน” อีกครั้ง

เธอไม่ได้เป็นทหาร

ไม่ได้ถือปืน

ไม่ได้ออกคำสั่ง

แต่เธอเป็น…

“คนที่ทำให้พวกเขาอยากอยู่รอด…เพื่อเห็นเธอเติบโต”

และนั่น…เปลี่ยนทุกอย่าง.

-----------------------------------------------------------------------

[จบบทที่ 4]

ขอบคุณที่อ่านนิยายของพวกเรา

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 5

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!