[บทที่ 3]
//ผ่านไปหลายเดือน…
ดินแดนที่เคยเป็นแค่สนามรบกลายเป็น “บ้าน”
เสียงระเบิดยังคงได้ยินไกล ๆ ในฟากฟ้า
แต่ในเขตรั้วไม้ของค่าย D-07…
โลกของโซลเต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียว ๆ ดอกไม้ป่าที่มีคนแอบปลูก และมือมากมายที่คอยรับเธอทุกครั้งที่เธอล้ม
โซล ในวัย 1 ขวบกว่า
เธอเดินได้แล้วแม้จะโซซัดโซเซ แต่มั่นคง
พูดได้หลายคำ ชอบคำว่า “ห้าม!” และ “ของหนู!”
ชอบปีนขึ้นตักทหารตัวใหญ่ ๆ อย่างไม่มีความกลัว
บางวันเธอนั่งกลางสนามยิงปืนแบบไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ทหารทั้งหมู่ยกเลิกการฝึกเพื่อ…ดูเธอ “กินกล้วยบด”
“ค่ายนี้แม่งกลายเป็นศูนย์เลี้ยงเด็กแล้วไอ้เวร!”
แต่ไม่มีใครบ่นจริงจัง
เสียงบ่นมักมาคู่กับเสียงหัวเราะ และการยื่นของเล่นให้
ชายผู้คุ้มกัน
เขาเริ่มแก่ขึ้นเล็กน้อย ผมเริ่มขึ้นสีขาวเริ่มขึ้นเล็กน้อยตรงขมับ
แต่แววตาเขาไม่ได้โรยลง
ตรงกันข้ามเวลามองโซล เขากลับดูเป็นคนที่มีชีวิตมากกว่าใครในค่าย
วันหนึ่งเขานั่งเงียบ ๆ กับโซลข้างเต็นท์
เธอเอาหัวซบที่อกเขา แล้วพูดว่าเบา ๆ
“พ่อ”
เขาชะงัก
เสียงปืนจากระยะไกลไม่ได้ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเท่านี้
“…พูดอีกทีสิ” เขาเอ่ยเบา ๆ
“พ่อ”
เด็กหญิงตอบซ้ำ พร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า
และในวันนั้นทหารทั้งค่ายรู้
ว่า “พ่อ” ไม่ใช่คำเรียกขาน
แต่มันคือคำประกาศชัยชนะของชีวิต
วันต่อมา
เธอเริ่มวิ่งได้เร็วขึ้น
เริ่มแอบขีดเขียนกำแพงเต็นท์
เริ่มเรียนรู้ชื่อทหารเกือบทั้งค่าย และจำได้อย่างน่าประหลาด
เธอเรียกพยาบาลว่า “แม่หมี”
เรียกจ่าปืนกลว่า “ตาลุงตะโกน”
และเรียกชายผู้คุ้มกันว่า “พ่อผู้ทนทุกอย่าง”
และในตอนค่ำ
โซลหลับในเปลไม้เดิม…ที่ขยายใหญ่ขึ้น
รอบเปลคือของเล่นและข้อความวาดมือจากแนวหน้า
มีรูปวาดฝีมือหยาบ ๆ ของทหารแนวเหนือ เขียนว่า:
> “โตขึ้นมาเถอะ…แล้วหยุดสงครามแทนพวกเรา”
โซลยังไม่เข้าใจคำว่า “สงคราม”
เธอไม่รู้จักคำว่า “ตาย”
แต่เธอกลายเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผู้ชายหลายร้อยคน
ไม่อยากทำลายโลกอีกต่อไป
เพราะเมื่อเธอยิ้ม…
ทุกอย่างมีความหมาย.
//เดือนที่สิบ…
โซลเริ่มพูดเป็นประโยคสั้น ๆ
เริ่มซักถาม เริ่มอยากรู้อยากเห็น
เริ่มปีนป่ายรั้วไม้เตี้ย ๆ รอบเต็นท์พยาบาลเพื่อ “ออกสำรวจโลก”
และทุกครั้งที่เธอก้าวออกไป…ทหารสองคนจะเดินตามแบบเงียบ ๆ โดยอัตโนมัติ ราวกับเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่ารบแนวหน้า
“โลกของโซล”
กลายเป็นชื่อเล่นที่ทหารใช้เรียกพื้นที่รอบเต็นท์เธอในรัศมี 20 เมตร
ในพื้นที่นั้นไม่มีเสียงด่าทอ ไม่มีคำหยาบ
ไม่มีปืนลั่น…มีแต่เสียงเล่านิทาน เสียงกล่อมเด็ก เสียงหัวเราะ
ทุกคน…เคารพ “เขตปลอดภัย” นี้อย่างไม่มีใครบังคับ
เพราะนั่นคือ โลกที่พวกเขาอยากอยู่
เช้าวันหนึ่ง
โซลเดินเตาะแตะมาหาชายผู้คุ้มกัน
ในมือเธอถือใบไม้แห้ง กับดอกไม้ป่าหนึ่งดอก
เธอยื่นให้เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า…
“ของขวัญสำหรับพ่อ!”
เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะคุกเข่าลง
รับมันจากมือเธอเหมือนกำลังรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์จากราชินี
มือหนา ๆ นั้นสั่นเล็กน้อยแต่น้ำตาหยดหนึ่ง กลับไหลเงียบ ๆ ลงบนหลังมือโซล
“ขอบใจนะ…ลูกพ่อ” เขาพูดเสียงแผ่ว
เย็นวันนั้น
เหล่าทหารรวมตัวกันรอบกองไฟ
ไม่ใช่เพื่อดื่ม
แต่เพื่อร้องเพลงกล่อมที่แต่งขึ้นจากชื่อของโซล
> “ดวงตะวันของสนามเพลาะ
เดินผ่านเปลวไฟไม่เคยร้องไห้
เธอคือลมหายใจกลางนรก
ที่พวกเรา...อยากใช้ชีวิตเพื่อปกป้อง”
โซลนั่งข้างเปล
กอดตุ๊กตาทหารไม้กระสุน
ยิ้มกว้าง เหงือกโผล่ ฟันน้ำนมขึ้นแล้วสามซี่
ค่ำคืนในเดือนที่สิบ
เธอหลับในอ้อมแขนของ “พ่อ”
รอบเปลมีสมุดบันทึก วาดรูปดินสอโดยทหารมือขาดหนึ่งคน
มีแคปซูลลูกปืนที่เจาะรูร้อยไหม กลายเป็นโมบายแขวน
มีเศษกระดาษขาด ๆ ที่เขียนไว้ด้วยลายมือหวัด:
> “ถึงจะเกิดกลางสงคราม
แต่เธอกำลังเติบโตในโลกที่กำลังเปลี่ยนเพราะเธอ”
และไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะยืดยาวไปอีกนานแค่ไหน
แต่ทุกคนรู้แน่หนึ่งสิ่ง....ตราบใดที่โซลยังยิ้ม
หัวใจของพวกเขา…จะไม่พัง.
//ความสงบ…เป็นเหมือนลมหายใจสุดท้ายก่อนพายุ
และในสงคราม—มันไม่เคยยั่งยืน
แม้ค่าย D-07 จะกลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิต รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของเด็กหญิงชื่อ “โซล”
แต่โลกภายนอก…ยังไม่หยุดหมุน
และสงคราม—ยังไม่ยอมแพ้
คืนหนึ่ง...
ฟ้าสีเทาสลัว ปราศจากดวงดาว
เสียงเครื่องยนต์ของข้าศึกดังจากระยะไกล—ต่ำ หนัก และชัดเจน
ในตอนแรกไม่มีใครกล้าพูด…
แต่เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม—ทั้งค่ายก็ “รู้” พร้อมกัน
พวกมันมาแล้ว
การเคลื่อนไหวฉุกเฉินเริ่มต้นทันที
ทหารทุกหน่วยเข้าแถว
กระสุนถูกแจก
คำสั่งถูกส่งผ่านลำโพงอย่างฉับไว
แต่ไม่มีใครหนี
เพราะไม่มีใครจะยอมทิ้ง “โซล” ไว้ข้างหลัง
ภายในเต็นท์พยาบาล
ชายผู้คุ้มกันยืนเงียบข้างเปลไม้
ในมือเขาคือปืนกลหนักที่ไม่เคยใช้มาเกือบปี
เขายืนมองหน้าเด็กหญิงที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย กำลังหลับสนิทพร้อมตุ๊กตาที่เธอตั้งชื่อว่า “ตาเหล็ก”
“ถ้าใครแตะเธอ…กูจะฆ่ามันทั้งหมด”
เขากระซิบกับตัวเองเบา ๆ
น้ำเสียงเย็นราวน้ำแข็ง แต่เต็มไปด้วยไฟที่ลุกท่วมอยู่ข้างใน
10 นาทีต่อมา
ผู้บัญชาการสั่งย้ายโซลทันที
"ไม่ใช่การหนีแต่เป็นการส่งต่อชีวิต"
เขาพูดก่อนจะออกคำสั่งให้กองพลลับสายฝ่าตัดวงล้อม 3 นายพาโซลหลบไปอีกฐานหนึ่งลึกในป่า
แผนมีเพียงหนึ่งข้อ:
“เธอ…ต้องรอด”
เสียงกระสุนลูกแรกตกห่างจากค่ายไปเพียง 300 เมตร
ทุกคนเงียบ
ก่อนจะมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ
“สู้...เพื่อโซล”
และเสียงนั้น…กลายเป็นไฟลุกโชนทั้งค่าย
สงครามกลับมาแล้ว
แต่ครั้งนี้…มันจะไม่พรากเธอไป
เพราะเธอไม่ใช่แค่เด็ก
เธอคือ หัวใจของคนทั้งกองพัน
และพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้หัวใจดวงนั้น…เต้นต่อไป.
//เสียงระเบิดลูกแรกปะทะพื้นดินห่างจากแนวรั้วไม่ถึงร้อยเมตร
แรงสั่นสะเทือนเขย่าทั้งค่ายจนเปลไม้ของโซลกระเพื่อม
ทหารทุกคนในค่ายขยับพร้อมกันราวกับมีหัวใจดวงเดียว
ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีความตื่นตระหนก
มีเพียงความเงียบที่แน่นขนัดป็นความเงียบของคนที่ รู้ว่าต้องยืนหยัด
ในเต็นท์พยาบาล
โซลสะดุ้งตื่นดวงตากลมโตมองไปรอบตัว
เสียงระเบิดถัดมาไกลขึ้นเล็กน้อย แต่ยังหนักแน่น
เธอกอดตุ๊กตาแน่น เงียบสนิท ไม่มีน้ำตา มีเพียงสายตาสับสนที่จับจ้องใบหน้าของชายผู้คุ้มกัน
เขาก้มลงย่อตัวเท่าระดับสายตา
ยื่นมือไปลูบศีรษะเธอ แล้วพูดเบา ๆ
“ฟังพ่อนะ...ตอนนี้หนูต้องไปกับพี่ ๆ สามคนนี้”
“หนูต้องไปที่ปลอดภัยก่อน”
เธอพยักหน้าช้า ๆ
ไม่ร้องไห้
ไม่ถาม
ไม่พูดว่า "ไม่ไป"
เพราะเธอ…เชื่อใจเขา
ชายทั้งสามที่ได้รับมอบหมาย
เป็นทหารฝีมือดีที่สุดของฐาน
แต่วันนี้…มือของพวกเขาสั่น ตอนรับเป้สะพายหลังที่ข้างในคือ “โลกทั้งใบ” ของค่ายนี้
โซลอยู่ในเป้อุ้มพิเศษที่หุ้มด้วยแผ่นกันกระสุนหลายชั้น
ผ้าห่มของเธอยังห่ออยู่
ตุ๊กตายังคงอยู่ในมือ
และบนกระเป๋า มีป้ายเล็ก ๆ เขียนว่า:
> “หากเธอมีรอยขีดข่วน…ให้ฆ่ากูได้เลย”
เขียนด้วยลายมือของพ่อเธอ
เมื่อขบวนลับลอบเคลื่อนตัวออก
ทหารทั้งค่าย…ยังไม่มีใครยิง
พวกเขา “คอยเวลา” และ “ยื้อเวลา”
ศัตรูกำลังใกล้เข้ามา
แต่คนที่นี่…ยอมแลกได้ทุกอย่าง
เพื่อให้เธอหลุดออกจากไฟนรกนี้
และเมื่อระเบิดลูกที่สิบดังขึ้น…
ชายผู้คุ้มกันก็ลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ
กระชับปืนบนไหล่
แล้วเงยหน้ามองทิศที่ลูกสาวของเขากำลังเคลื่อนไป
ไม่มีคำพูด ไม่มีน้ำตา
มีแค่ลมหายใจหนึ่งครั้ง…ลึก และเต็มไปด้วยไฟ
“ถ้ากูตาย...มันต้องหลังจากแน่ใจว่าเธอรอด”
เสียงปืนชุดแรกดังขึ้นจากแนวรั้ว
ค่าย D-07 เริ่มสู้เต็มกำลัง
ไม่มีใครเหลียวหลังกลับไปดู
เพราะไม่มีใครลังเลอีกแล้ว
คืนนี้ ค่ายนี้อาจแตกแต่หัวใจของพวกเขา…
กำลังเดินอยู่ในเป้สะพายหลังใบเล็ก ใกล้ขอบป่า
และหากวันใดที่โซลโตพอจะเข้าใจ…เธอจะได้รู้ว่า
คืนนี้ทหารนับร้อยคนต่อสู้จนหยดสุดท้าย
ไม่ใช่เพื่อชนะสงคราม
แต่เพื่อให้ เธอมีพรุ่งนี้.
//รุ่งสางของวันที่เจ็ด…
แสงอาทิตย์ลอดผ่านหมอกบางในหุบเขา
สายลมเย็นปะทะใบหน้าเหมือนปลุกโลกจากฝันร้ายเมื่อคืน
เงาร่างเล็ก ๆ ในเป้สะพายถูกวางลงช้า ๆ บนผืนหญ้านุ่มชื้น
เด็กหญิงคนนั้นลืมตาขึ้น รับแสงแรกของเช้าวันใหม่…ที่พ่อเธอไม่มีวันได้เห็นอีกต่อไป
ฐานลับ “เงานิ่ง”
สถานที่หลบภัยสุดท้ายของทหารบางหน่วยที่ยังหลงเหลือ
บังเกอร์เก่า ๆ ที่ฝังอยู่ในภูเขา—ไม่มีอะไรหรูหรา
แต่ในวันนี้...มันกลายเป็น "บ้านหลังใหม่ของโซล"
เสียงลั่นปืนจากฝั่ง D-07หยุดลงแล้ว
ไม่มีวิทยุคลื่นใดตอบกลับ
ไม่มีรหัสใดกระพริบสัญญาณ
และไม่มีชื่อของใครจากค่ายนั้นเหลืออยู่ในฐานข้อมูลศูนย์กลางอีก
เธอ…คือสิ่งเดียวที่รอด
ภายในบังเกอร์
มีห้องเล็ก ๆ ที่ถูกจัดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมง
เตียงสนาม เตาเล็กสำหรับอุ่นนม
มุมหนึ่งมีรูปถ่ายขาวดำที่ทหารหน่วยก่อนทิ้งไว้ เป็นภาพของเด็กอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยโตพอจะรอดเหมือนโซล
เธอนั่งนิ่ง ๆ มองมันอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันกลับมา
แล้วชี้ไปที่กระดาษนั้น
"เขา...ไม่อยู่แล้วเหรอ?"
ชายคนหนึ่งตอบไม่ออก
อีกคนกลืนน้ำลายแล้วพูดเบา ๆ
"ใช่...แต่เธออยู่ เธอต้องอยู่ต่อ"
คืนนั้น
โซลหลับไปในห้องแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟสนาม
รอบข้างเธอไม่ใช่เสียงเพลงกล่อมอีกต่อไป
แต่เป็นเสียงวิทยุ สัญญาณขาด ๆ หาย ๆ
เสียงลมหายใจของทหารที่ไม่เคยร้องไห้…แต่คืนนี้ตาแดงทั้งหมด
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นเงียบ ๆ จากที่นอน
เดินมานั่งข้างเธอ
มองใบหน้าเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบอย่างที่ไม่มีใครในค่ายเคยได้อีกเลย
เขาหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา
เขียนบรรทึกแผ่นแรกของหนังสือเล่มใหม่ที่พวกเขาเริ่มด้วยกันในค่าย D-07:
> “หน้าที่หนึ่ง
วันนี้พวกเราทุกคน ‘ตาย’ ที่เดิม
แต่เธอ...คือชีวิตที่เดินออกมา
เธอคือนิยามของคำว่า ‘แพ้ไม่ได้’
และตราบใดที่เธอยังหายใจ
เราจะไม่มีวันลืมว่าเราคือใคร”
คืนนี้…ไม่มีเสียงระเบิด
ไม่มีเสียงร้องไห้
มีเพียงแสงเทียนดวงเล็กในห้องใต้ดินลึก
และเสียงหัวใจของเด็กหญิงที่ชื่อว่า…
“โซล”
เต้นอยู่…ในความมืด
เพื่อนำพาโลกนี้…
กลับสู่ แสงสว่าง.
ทันใดนั้นเอง ...
//ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…
เสียงคลื่นแทรกเบา ๆ จากวิทยุสนามเก่ารุ่นเกือบล้มหายตายจาก
ท่ามกลางความเงียบในบังเกอร์ใต้ภูเขาเสียงนั้นดังขึ้นราวกับเสียงหัวใจเต้นครั้งแรกของคนตาย
ชายคนหนึ่งสะดุ้ง เผลอทำแก้วน้ำล้ม
อีกคนรีบกระโจนคว้าวิทยุขึ้น บิดคลื่นอย่างรวดเร็วด้วยมือที่เริ่มสั่น
> “…ฐานหลักยืนยัน…พบผู้รอดชีวิตจากค่าย D-07…”
“…กลุ่มรอดตาย 6 นาย…นำโดยอดีตหัวหน้าหน่วยพลซุ่มยิง…”
“…หนีออกมาทางอุโมงค์ย่อยก่อนระเบิดตก…”
“…ปลอดภัย…อยู่ในเขตป่าระหว่างชายแดนเหนือ…ขอจุดนัดพบเพื่อรับตัวกลับ”
สามทหารที่ปกป้องโซลหันมามองหน้ากัน
ไม่มีใครพูด…
แต่ในดวงตาของพวกเขา มีแสงที่ไม่เคยเห็นมานานนักแสงของคำว่า “ยังไม่จบ”
โซล
นั่งกอดตุ๊กตาอยู่บนเตียงผ้าขาวม้าเก่า ๆ
เธอเงยหน้ามองพวกเขา เหมือนรู้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
ชายผู้แบกเธอวันแรกเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ
แล้วยื่นวิทยุให้เธอฟัง
“เขายังอยู่…”
“…คนที่เธอเรียกว่า ‘พ่อ’ หน่ะ”
เด็กหญิงนิ่งไป
ดวงตากลมโตไหววูบหนึ่ง
ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาช้า ๆ
รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นตั้งแต่วันค่ายแตก
1 ชั่วโมงถัดมา
กระเป๋าเสบียงถูกแพ็ค
อาวุธถูกตรวจสอบ
จุดนัดพบถูกปักลงในแผนที่ด้วยมือที่ไม่สั่นอีกต่อไป
ไม่มีคำสั่งจากใคร
ไม่มีบันทึกภารกิจ
ไม่มีตราประทับบนเอกสาร
มีแค่ความตั้งใจเดียวร่วมกันของทั้งหน่วย:
“พาเธอ…กลับสู่อ้อมกอดของคนที่ยังไม่ตาย”
เส้นทางใหม่
เริ่มต้นขึ้นในรุ่งสางของวันที่แปด
ไม่ใช่เส้นทางหลบหนี
แต่คือ “ทางกลับบ้าน”
และครั้งนี้…
โซลจะได้เดินทาง ไม่ใช่เพื่อหนีตาย
แต่เพื่อ กลับไปสู่อ้อมแขนที่ยังรออยู่
เธอไม่ได้รอดมาแค่เพื่ออยู่ต่อ
เธอ…รอดมาเพื่อ พบกันอีกครั้ง.
//วันที่แปด — ยามเช้า
อากาศในป่าชื้นเย็น ละอองหมอกยังลอยคลุ้งเหนือยอดเฟิร์นและรากไม้
เสียงสายน้ำจากลำธารไหลเอื่อย
ใบไม้ไหวเบา ๆ จากลมที่พัดผ่าน…
ทุกอย่างเงียบสงบอย่างน่าประหลาด—
เงียบ…จนคนเคยอยู่ในสนามรบรู้สึกไม่ไว้ใจ
เส้นทางผ่านลำธาร
พวกเขาเดินในรูปขบวนกระชับ
โซลอยู่ตรงกลาง ปิดหน้าด้วยหมวกผ้าสีทหาร แขนเล็กโอบตุ๊กตาไว้แน่น
เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่โตเกินวัย เหมือนกำลัง “อ่าน” โลก
น้ำไม่เย็นพอจะทำให้เธอสั่น
เพราะสิ่งเดียวที่ยังทำให้เธออุ่น…คือไหล่ของคนที่แบกเธอไว้
> “เคยได้ยินเสียงปืนไม่หยุดตลอดเส้นนี้…”
เสียงชายด้านหลังเอ่ยเบา ๆ พลางเหลียวมองเงาต้นไม้
“แต่ตอนนี้แม่งเงียบชิบหาย…เหมือนทั้งโลกกำลังกลั้นหายใจ”
อีกคนตอบเสียงต่ำ
“หรือไม่ก็...มีอะไรที่รออยู่ข้างหน้า”
โซลเงียบ
เธอยังไม่พูดอีกนับตั้งแต่ได้ยินข่าว “พ่อ”
ไม่ใช่เพราะกลัว…
แต่เหมือนกำลังเก็บพลังทุกอย่างไว้สำหรับวินาทีที่เขากลับมาอยู่ตรงหน้า
บางที…เด็กหญิงคนนี้อาจ จำได้ทุกอย่างมากกว่าที่พวกเขาคิด
กลางป่า
พวกเขาหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยเป็นจุดปะทะเก่า
ยังเห็นเศษปลอกกระสุนฝังครึ่งหนึ่งในลำต้น
แต่ไม่มีศพ ไม่มีคราบเลือด
เหมือนที่นี่ เคยเกิดสงคราม…แต่ทุกสิ่งเลือกจะลืมมันไปแล้ว
โซลนั่งลงบนตักของชายคนเดิม
เธอก้มเก็บใบไม้รูปร่างประหลาดหนึ่งใบขึ้นมาดู
แล้วพูดเสียงเบา...
“ที่นี่เคยมีคนเจ็บใช่ไหม”
เขาชะงัก…ก่อนจะพยักหน้า
“ใช่…เยอะด้วย”
โซลนิ่งไปครู่หนึ่ง
แล้วพูดว่า…
“แต่ตอนนี้…ต้นไม้โตอีกแล้ว”
ประโยคนั้น…ไม่มีใครกล้าตอบ
ไม่มีใครรู้ว่าควรจะพูดอะไร
มีแต่ความเงียบที่คราวนี้ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนก่อนหน้า
เพราะพวกเขาเพิ่งตระหนักว่า...
เด็กหญิงคนนี้ ไม่ได้เป็นแค่ผู้รอดชีวิต
แต่เป็น ผู้เห็นความงามแม้ในร่องรอยของความตาย
เสียงนกตัวหนึ่งร้องขึ้น
ลมเริ่มพัดแรง
และข้างหน้าคือเนินสุดท้ายที่จะมองเห็นเขตปลอดภัย
…ที่นั่น
เขาอาจยืนรออยู่
คนที่โซลเรียกว่า “พ่อ”
คนที่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด
แต่เธอเชื่อ
และทุกย่างก้าวของเธอ…คือการเดินไปหา หัวใจของตัวเอง.
การพบกันอีกครั้ง…
กำลังใกล้เข้ามา.
//เนินเขาโล่งกลางพรมแดนจุดนัดพบที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
หญ้าแห้งไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว แต่ไม่มีเสียงฝีเท้า
ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงที่เธอคุ้นเคย
โซลถูกอุ้มลงจากแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา
สายตาเล็ก ๆ คู่นั้นจ้องตรงไปยังแนวขอบฟ้า…
ที่ควรจะมีใครบางคนยืนรออยู่
…แต่กลับว่างเปล่า
แล้วกลุ่มทหารหกนายก็ปรากฏตัว
ในสภาพอิดโรย เสื้อขาดรุ่งริ่ง บางคนมีเลือดแห้งกรังเต็มแขน
พวกเขาเดินตรงเข้ามาช้า ๆ
ในมือไม่มีอาวุธ
แต่บางคน…ถือสิ่งของบางอย่างที่พันด้วยผ้าสีซีด
ชายคนหนึ่งก้าวออกมา เขาคือหัวหน้าหน่วยซุ่มยิงที่รอดชีวิต
เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าโซล
…และร้องไห้ทันทีโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
> “เขาช่วยพวกเราฝ่าระเบิดลูกสุดท้าย…”
น้ำเสียงสั่นเครือหลุดออกมาจากอีกคน
“เขาผลักเราทุกคนลงอุโมงค์ แล้ว…เขาปิดฝาไว้…จากข้างนอก”
“เขา…เขายังยิ้มให้เราก่อนที่มันจะระเบิด…”
โซลยืนนิ่ง
เธอฟังทุกคำ
แต่ไม่ร้อง
แค่ก้าวเดินช้า ๆ ไปข้างหน้า
เธอก้มลง หยิบสิ่งของที่ถูกห่อผ้าในมือของชายคนนั้น
มันคือ…กล่องเหล็กบุบ ๆ
ที่เขาเคยใช้ซ่อนชิ้นส่วนของตุ๊กตา
และด้านใน…
มีแผ่นกระดาษยับ ๆ พร้อมลายมือหยาบ ๆ ที่เขียนไว้ด้วยหมึกซีด
> “ให้เธอ…ถ้าฉันไม่อยู่”
“อย่าเป็นเหมือนพ่อ…ที่เคยเผาทุกอย่างจนไม่เหลืออะไร”
“จงเป็นแสง…แม้ในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
“เธอคือโลกใบสุดท้ายที่ฉันยอมตายเพื่อให้มันอยู่ต่อ”
โซลยืนนิ่ง มือเล็ก ๆ กำกล่องแน่น
สายตาจ้องไปยังขอบฟ้าที่เขาเคยบอกว่า
“ถ้าเรารอด เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”
เธอเงยหน้าขึ้น
น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาช้า ๆ
แต่มุมปาก…กลับยิ้ม
“พ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้…แต่พ่ออยู่ทุกที่ที่หนูมองเห็นแสง”
ทหารทุกคนเงียบ
ไม่มีใครพูด
ไม่มีใครกล้าสบตาเด็กหญิงคนนี้อีกต่อไป
เพราะเธอ…ไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิต
เธอคือ ผู้สูญเสียอย่างกล้าหาญ
เธอก้าวไปนั่งบนเนินหญ้า
หยิบกล่องขึ้นแนบอก
มองดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นช้า ๆ จากฟากฟ้า
แสงสีทองอบอุ่นนั้น…
คือคำกอดสุดท้ายของเขา
คือคำว่า “ลูกต้องไปต่อ” ที่เขาไม่ทันพูด
และโซล…ก็ไปต่อได้จริง ๆ
แม้จะไม่มีมือใหญ่ ๆ ของพ่อมาจูงเธออีก
แต่หัวใจของเขา
จะเต้นอยู่กับเธอ…ทุกย่างก้าว
ตราบที่เธอยังมี ลมหายใจ.
//ลมหายใจแรกในเช้าวันนั้น หนักแน่น…แต่เจือด้วยความว่างเปล่า
โซลนั่งอยู่กลางลานหญ้า มือกอดกล่องเหล็กแนบอกแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อย…เขาจะจากไปอีกครั้ง
เธอไม่ได้พูดอีก
ไม่ได้ร้องไห้อีก
เธอเพียงนั่งนิ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้าเหมือนเด็กที่โตขึ้นในชั่วข้ามคืน
ทหารรอบตัวเธอ
ยังคงก้มหน้า บางคนสะอื้น บางคนกัดฟัน
พวกเขาเคยผ่านสงคราม…
แต่ไม่เคยผ่านการสูญเสียที่ “ลึก” ขนาดนี้มาก่อน
เพราะครั้งนี้…
มันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมรบที่ตาย
แต่คือ “พ่อของใครบางคน”
ที่เลือกตาย…เพื่อให้เธอ มีโอกาสได้ใช้ชีวิต
หนึ่งในทหารเอ่ยขึ้นเบา ๆ
เสียงแหบพร่าราวกลืนควันมาเป็นปี
> “เขาไม่เคยร้องไห้เลยตลอดที่อยู่ในค่าย…
แต่ก่อนจะปิดฝาอุโมงค์ เขาพูดกับกล้องวงจรตัวสุดท้ายไว้คำเดียว…”
> “ฝากลูกฉันด้วย”
คำพูดนั้น…
ทำให้ชายทุกคนที่ยืนอยู่ ณ จุดนัดพบ
ต้องหันหน้าหนี
เพราะไม่มีใครกล้าทนสบตากับความกล้าหาญระดับนั้นได้เต็ม ๆ
โซลค่อย ๆ ลุกขึ้น
เธอหันไปมองพวกเขาทีละคน…ก่อนจะเอ่ยคำที่สั่นไหว
“หนูยังอยู่ค่ะ…หนูจะโตขึ้นให้พ่อเห็นจากฟ้า”
“แล้ววันหนึ่ง…หนูจะเป็นคนปกป้องคนอื่น…แบบที่พ่อเคยทำ”
มันไม่ใช่คำสัญญาแบบเด็ก ๆ
แต่มันคือคำสัตย์จากใจที่ผ่านไฟสงครามมาแล้วตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด
เวลาต่อมา
โซลถูกอุ้มขึ้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้…เธอไม่ได้หันกลับไปมองอีก
เธอกอดกล่องนั้นไว้แน่น
แหงนหน้ามองฟ้า
เธอไม่พูดถึงคำว่า “พ่อ” อีกเลย…
เพราะเธอรู้แล้วว่า เขาไม่ได้อยู่ข้างหลัง
แต่ อยู่ข้างใน
ในสมุดบันทึกสงครามของศูนย์บัญชาการ
มีบรรทึกสั้น ๆ ที่ลงไว้หลังเหตุการณ์ค่าย D-07
> “ผู้รอดชีวิต: เด็กหญิงหนึ่งคน”
“สิ่งที่ได้รับการปกป้องมากที่สุด: หัวใจของทหารทุกนาย”
“ชื่อของเธอ: โซล”
“สถานะ: ยังมีชีวิตอยู่”
และโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม…
จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะ เด็กหญิงคนหนึ่ง…รอดมาเพื่อเปลี่ยนมัน.
--------------------------------------------------------------------
//แปดปีผ่านไป…
โลกที่เคยแหลกสลาย…ค่อย ๆ ฟื้นตัว
เสียงระเบิดที่เคยเป็นเพลงกล่อมของผืนดิน—เงียบไป
กลิ่นเขม่าควันจางหาย…แทนที่ด้วยกลิ่นฝนบนหญ้าใหม่
และในโลกใหม่นั้นเด็กหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยรอดจากไฟสงคราม
กำลังเดิน…วิ่ง…หัวเราะ
ภายใต้ท้องฟ้าเดียวกัน
ในวัย 8 ขวบที่แข็งแกร่งเกินเด็กทุกคนในรุ่นเดียวกัน
ฐานเก่า…กลายเป็นหมู่บ้านใหม่
สถานที่ที่เคยเป็นสนามรบ
ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ศูนย์ฟื้นฟูผู้รอดชีวิต”
เต็นท์ทหารกลายเป็นห้องเรียนไม้
แท่นปืนกลกลายเป็นชิงช้า
ซากรถหุ้มเกราะกลายเป็นสวนดอกไม้
และตรงกลางของที่แห่งนั้น…คือโซล
เธอ…
กลายเป็น “ลูกของกองพัน”
ไม่ไดมีพ่อคนเดียว แต่มี พ่อหลายร้อยคน
ทุกคนเลี้ยงเธอด้วยมือเปื้อนบาป
แต่พวกเขาพยายามลบมันออก
ด้วยการให้เธอ “เติบโต”
ในแบบที่ โลกควรให้กับเด็กทุกคนมาตั้งแต่ต้น
-----------------------------------------------------------------------
โซลในวัย 8 ขวบ
ผมยาวถึงบ่า ถักเปียครึ่งหัวด้วยตัวเอง
ฟันน้ำนมเริ่มหายไปบางซี่
พูดเก่งขึ้นมากจนบางวันทหารต้องแอบหลบไปพักหู
ฉลาด แสบ เลอะเทอะ และ…กล้าหาญแบบที่ไม่มีใครกล้าห้าม
เธอชอบแกล้งเอาหินยัดรองเท้าทหารตอนพวกเขาหลับ
ชอบวาดรูป “พ่อ” ในสมุด แล้วเอาไปแปะตรงหน้าศาลาใหญ่
ทุกภาพของเขา เธอวาดยิ้ม
เพราะเธอ “จำเขาได้แค่ตอนยิ้ม” เท่านั้น
เย็นวันหนึ่ง
เธอนั่งบนบันไดไม้หน้าบ้านพัก
บนตักเธอ…คือกล่องเหล็กบุบ ๆ ที่พ่อเคยทิ้งไว้
ด้านในมีรูปเขา
เศษผ้าขาดจากชุดทหารของเขา
และคำสัญญาที่เธอยังท่องอยู่เสมอ…
“หนูจะเป็นแสงในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
เด็กหญิงที่มาจากสงคราม…
กลายเป็นเด็กหญิงที่ นำความสงบกลับมาให้ใจของคนรอดชีวิต
เธอไม่ใช่เพียง "ลูกของสนามรบ"
แต่เธอป็น "ผู้เริ่มต้นใหม่ของโลกหลังสงคราม"
และโลกใบนี้…
จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก
เพราะตอนนี้ มันมีแสงหนึ่ง
ชื่อว่า…
โซล.
//ตอนเช้าวันใหม่ในหมู่บ้านสงบ
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านใบไม้ส่องกระทบใบหน้าของโซลที่กำลังวิ่งเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ
เสียงหัวเราะก้องกังวานไปทั่วบริเวณที่เคยเป็นสนามรบมาก่อน
แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหวัง
โซลยืนพักเหนื่อยข้างลำธารใกล้หมู่บ้าน
มือเล็ก ๆ กำลังกรวดหินขาวใสในน้ำ
เด็กสาวคนนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่สายตาในดวงตากลับยังคงมีประกายที่ไม่เคยจาง
ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาใกล้
พวกเขาเป็นทหารเก่าแก่ที่เคยดูแลโซลตั้งแต่วันแรก
มีทั้งที่หัวเราะเฮฮาและบางคนที่ยืนเงียบแบบคิดมาก
หนึ่งในนั้นพูดเบา ๆ กับโซล
“โซล…ถึงเวลาที่หนูต้องเรียนรู้เรื่องของโลกอีกครั้งแล้วนะ”
โซลมองพวกเขาด้วยความสงสัย
แต่ก็รู้สึกถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น
เธอไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป
และโลกที่เคยสงบสุข…กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทหารคนนั้นหยิบแผนที่เก่าที่พับไว้ออกมา
ชี้ไปยังพื้นที่ที่ยังคงมืดมนจากสงครามที่ยังไม่ยุติ
“เราไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไปในนี้…โซล”
“บางที…เธอคือแสงที่โลกนี้ต้องการเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน”
โซลถอนหายใจลึก
เธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นหนักหน่วง
แต่ในใจยังมีเปลวไฟเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างอยู่เสมอ
เปลวไฟของ ‘ความหวัง’ ที่พ่อของเธอสอนให้เธอมี
“พ่อบอกหนูว่า…หนูต้องเป็นแสงในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
“แล้วตอนนี้…หนูพร้อมแล้ว”
เส้นทางใหม่ของโซลเริ่มต้นขึ้น
ท่ามกลางเสียงเรียกของโลกภายนอกที่ยังไม่สงบ
และเด็กหญิงคนหนึ่ง…
ที่เติบโตขึ้นจากความมืดมน…
จะกลายเป็นแสงไฟนำทาง…
ให้กับทุกชีวิตที่ยังรอความหวัง
“แสงสว่าง…ของโลกใบนี้…คือโซล.”
//เมื่อโซลก้าวออกจากหมู่บ้านไปยังโลกกว้าง
เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ใหญ่คล้ายพัดพาความหวังใหม่
ท้องฟ้าเปิดกว้าง…เหมือนชักชวนให้เธอเดินไปข้างหน้า
ข้างหน้า…คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
แต่โซลไม่หวั่นไหว
เพราะในหัวใจของเธอ…
มีเสียงกระซิบของพ่อที่ดังไม่หยุด
“จงเป็นแสง…แม้ในที่ที่ไม่มีใครกล้ามองมัน”
เธอเดินฝ่าผืนดินที่เคยเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
แต่วันนี้…มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นปกคลุม
และแม้จะมีเงามืดของอดีตคอยตามหลอกหลอน
โซลก้าวไปข้างหน้า…ด้วยความมั่นใจในหัวใจ
ในทุกก้าวที่เธอเดินผ่าน
มีเสียงเรียกจากผู้คนที่เฝ้ารอแสงแห่งความหวัง
เด็กหญิงที่รอดมา…จะไม่ปล่อยให้ความสูญเสียครั้งนั้นไร้ค่า
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนาน
เรื่องราวของ “โซล” เด็กหญิงแห่งสงคราม
ที่เปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นแสงสว่าง
และส่องนำทางให้กับโลกที่ยังไม่ลืมเธอ
-----------------------------------------------------------------------
[จบบทที่ 3]
ขอบคุณที่อ่านนิยายของพวกเรา
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
Felix
ยิ้ม
2025-07-12
1