[บทที่ 2 ]
//ฟ้าคืนนี้สงบผิดปกติ—ไม่มีเสียงสัญญาณเตือนภัย ไม่มีเสียงกรีดร้องของวิทยุสนาม ไม่มีเสียงโซ่เหล็กลากปืนใหญ่—มีเพียงลมอ่อน ๆ ที่พัดเอากลิ่นดินเปียกฝนผ่านแนวเต็นท์...คล้ายจะบอกว่า "คืนนี้ปลอดภัยแล้ว"
ในเปลไม้ไผ่ข้างเตียงพยาบาลสนาม ร่างเล็กของโซลนอนหลับตาพริ้ม
ข้างตัวเธอ มีตุ๊กตาไหมพรมตัวหนึ่งที่พยาบาลถักอย่างทุลักทุเลจากเศษเสื้อขาด ๆ
มือเล็กของเธอกำไว้แน่น…นิ้วจิ๋ว ๆ ขยับนิด ๆ ทุกครั้งที่ลมเย็นพัดผ่าน
“เด็กคนนี้มีพลังบางอย่าง...”
เสียงนายทหารเวรพูดขณะยืนคุยกับเพื่อนร่วมกะ
“หมายถึงพลังพิเศษเหรอ?”
“เปล่า...” เขาสูดลมหายใจยาว
“หมายถึงพลังที่ทำให้คนอย่างเรา...อยากมีชีวิตต่อไปว่ะ”
อีกมุมหนึ่งของค่าย
ชายผู้พาโซลกลับมา—ตอนนี้นั่งอยู่ลำพังหน้าเตาไฟชั่วคราว
มือหนึ่งยังถูปลอกแขนที่เปื้อนเลือดพ่อของเด็ก หัวใจเขาหนักอึ้ง...แต่สายตากลับนิ่งสงบ
พยาบาลสาวเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ส่งถ้วยน้ำร้อนให้เขา
“เธอหลับสบาย...เพราะนาย”
เขาไม่ตอบในทันที แค่จิบช้า ๆ แล้วพึมพำ...
“แต่พ่อของเธอ..ไม่มีโอกาสเห็นเลย”
“ไม่มีแม้แต่เวลาจะรู้ว่า เขาช่วยเธอไว้ได้จริง ๆ”
พยาบาลเงียบ—ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“ถ้างั้น...นายก็ต้องเล่าให้เธอฟัง”
“ให้เธอรู้ว่าเธอเกิดมาท่ามกลางอะไร...และมีใคร ‘ตายเพื่อให้เธอได้ลืมตาดูโลก’”
เขายิ้มเศร้า
“ฉันจะเล่า...จนกว่าเธอจะจำมันได้ด้วยตัวเอง”
คืนนั้น...
ไฟกลางค่ายยังส่องสว่างเบา ๆ
ทหารหลายคนยังนั่งเวียนรอบเปลของโซล สลับกันมาเฝ้า แม้จะไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน
บางคนเอาหนังสือภาพเก่า ๆ มาทิ้งไว้ข้างเปล
บางคนทำสายรัดข้อมือเล็ก ๆ จากสายรัดปืน
บางคน...แค่ร้องเพลงกล่อมเบา ๆ จากบ้านเกิดที่ไม่ได้ร้องมานานหลายปี
และในยามดึกที่สุดของค่ำคืนนั้น
โซลลืมตาขึ้นช้า ๆ
เธอไม่ร้อง ไม่ตื่นตกใจ
แค่เงียบ มองแสงไฟสลัวรอบตัวเธอ
ราวกับกำลัง "ฟัง" บางอย่างที่ไม่มีเสียง
...ก่อนที่เปลือกตาเล็กจะปิดลงอีกครั้ง
พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
นั่นคือรอยยิ้มที่เปลี่ยนค่ายทหารให้กลายเป็นบ้าน
เปลี่ยนทหารให้กลายเป็นครอบครัว
และเปลี่ยนสงคราม...ให้กลายเป็นความหวัง
นี่ไม่ใช่แค่การมีชีวิตอยู่
แต่มันคือการ “เริ่มต้นใหม่”...ของพวกเขาทั้งค่าย
เพื่อ "โซล"
เด็กหญิงคนเดียว...ที่เติบโตจากปาฏิหาริย์กลางสมรภูมิ.
//เช้าวันถัดมา...ฟ้าเปิดโล่งแสงแดดยามเช้าสาดลงมาบนผืนดินเปียกแฉะของค่ายสงคราม กลิ่นดิน กลิ่นเหล็ก กลิ่นควันไฟ...ยังไม่ทันจาง แต่เสียงปืนกลับเงียบไปแล้วหนึ่งวันเต็ม
...บางคนไม่เชื่อว่าสงครามจะยอมหยุด
แต่ทุกคนยอมรับตรงกันว่า—เธอทำให้ "เวลา" ช้าลงจริงๆ
โซลยังคงนอนอยู่ในเปลไม้ใต้ชายผ้าใบขาวสะอาด รอบตัวเธอแน่นขนัดไปด้วยของใช้จำเป็นที่ถูกส่งมาจากทุกหน่วยภายในวันเดียว ทั้งจากแนวหน้า หน่วยซัพพลาย ไปจนถึงนักบิน.
นมผงห่อใหม่ยังไม่แกะ
ผ้าอ้อมผืนสะอาดจากผ้าพันแผล
รองเท้าถักจากถุงมือเก่า
และ “ตุ๊กตาทหารหัวกลม” เย็บจากเสื้อทหารเก่า
“กูเพิ่งรู้ว่า...พวกเราทำอะไรได้เยอะกว่าการฆ่าคนอีกว่ะ”
เสียงทหารแถวโรงครัวพูดขำ ๆ ขณะกำลังบดข้าวต้มให้เหลวลงอีก
“จริง...แค่เห็นเธอกระดิกเท้านิด ๆ กูก็อยากไปฝ่าระเบิดหาจุกนมมาให้แล้ว”
ตรงเต็นท์บัญชาการ
รายงานลับกองทัพแจ้งข่าวว่า
> “ฝ่ายตรงข้ามถอนแนวรบชั่วคราว เหตุเพราะเข้าใจผิดว่าเรากำลังมีตัวประกันสำคัญ”
แต่นายพลเพียงปิดแฟ้มเงียบ ๆ แล้วพึมพำ
“หึ...ตัวประกันเหรอ?
ไม่ใช่หรอก
‘เธอ’ คือ ‘หัวใจ’..ของเราต่างหาก"
ใกล้เที่ยงวัน
โซลตื่นขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมใสกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะสบกับชายที่เคยแบกเธอกลับมา—เขาไม่พูดอะไร
แค่ยื่นนิ้วก้อยไปให้เธอ...
และโซล...ก็ยกมือจิ๋วๆ ขึ้นมาจับเอาไว้เบาๆ
ในวันแรกของสงคราม...พวกเขาสู้เพื่อเอาตัวรอด
แต่ในวันนี้...พวกเขาสู้ ‘มีชีวิต’ เพื่อรอดูวันที่เธอเติบโต
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร
เธออาจลืมทุกอย่างที่เคยเกิด
อาจเติบโตเป็นใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักสงคราม
แต่ที่แน่ ๆ คือ...
"เมื่อใดก็ตามที่เธอหกล้ม—จะมีทหารทั้งกองพันลุกขึ้นพร้อมกัน"
เพียงเพื่อพยุงเธอกลับมายืน
เพราะในโลกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ นี้
“โซล” ไม่ใช่แค่ทารก
แต่คือสิ่งที่ยืนยันว่า—พวกเขายังเป็นมนุษย์.
//บ่ายวันนั้น…ลมพัดเอื่อยพาเอาใบไม้ปลิวผ่านแนวลวดหนาม ปลิวข้ามเต็นท์พยาบาลที่กลายเป็นศูนย์กลางของทั้งค่ายโดยปริยาย ไม่ใช่เพราะมีอาวุธ ไม่ใช่เพราะมียุทธศาสตร์สำคัญ…
แต่เพราะ “เธอ” อยู่ที่นั่น
เด็กหญิงร่างเล็กที่ไม่แม้แต่จะพูดได้ ยังฟังไม่เข้าใจโลกนี้...แต่กลับกลายเป็นจุดศูนย์รวมของหัวใจทั้งค่าย
ภายในเต็นท์
โซลนั่งอยู่ในเปลไม้อีกครั้ง แข็งแรงขึ้นเล็กน้อยพอจะยกแขนปัดอากาศ พอจะขยับขาเตะเบา ๆ ในอากาศอย่างไร้จุดหมาย
ชายผู้แบกเธอกลับมานั่งอยู่ข้างเปลเงียบ ๆ
ในมือเขามีซองกระดาษเก่า ๆ ฉีกมาจากสมุดบันทึกสนาม เขาค่อย ๆ เขียนชื่อลงไป
> "ชื่อ: โซล
วันพบ: [12/11]
พิกัด: แดนตะวันตกแนวรบที่ 9
ผู้พบ:..."
เขาหยุดชั่วครู่ มองหน้าเด็กหญิงที่เงยขึ้นสบตาเขา
ก่อนจะเขียนต่อเบา ๆ ด้วยลายมือสั่น ๆ
> ผู้พบ: “ครอบครัว.”
ภายนอก
ในสนามว่างหลังแนวเต็นท์ มีเหล่าทหารนับสิบคนกำลังฝึกกล่อมเด็กอย่างลับ ๆ
“ไม่ ๆ อย่าเขย่าแรงเกิน เดี๋ยวคอเด็กหลุด!”
“เสียงกล่อมแบบนี้เหรอ?” เสียงทหารร้องเพลงกล่อมเด็กเสียงเขาแหบห้าว จนดูเหมือนขู่ศัตรูมากกว่ากล่อมเด็กหลับ
“กล่อมเด็กโว้ยย!! ไม่ใช่ขู่ให้กลัว!!“
บางคนพยายามทำของเล่นจากกระป๋องเปล่า
บางคนวาดภาพสัตว์ใส่ผ้าปูรองเปล
บางคนแค่ยืนถือขวดนมสำรอง แล้วบอกว่า "ถ้าเธอร้อง กูพร้อมทุกเมื่อ"
ตกเย็นวันเดียวกัน
เงาของเสาธงยาวทอดข้ามเปลไม้ของโซล ทาบร่างเล็กของเธอที่หลับปุ๋ยอีกครั้งหลังจากอิ่มนมและหัวเราะครั้งแรกในชีวิต แม้จะเป็นแค่เสียง "แอะ" เล็ก ๆ แต่ทุกคนในเต็นท์แทบจะร้องไห้..
ชายผู้อุ้มเธอกลับมา—ตอนนี้มีชื่อใหม่ในค่าย...
“ผู้คุมหัวใจ”
…ชื่อที่ทุกคนเรียกเขาโดยไม่ถามชื่อจริง
และค่ำคืนนี้…
พวกเขาไม่ได้วางแผนโจมตี
ไม่ได้เตรียมรถลำเลียง
ไม่ได้ตรวจนับกระสุน
แต่พวกเขาเตรียมสิ่งสำคัญกว่า
ขวดนมสำรอง 3 ขวด
ผ้าอ้อมใหม่
ปืนพร้อมยิงเฉพาะเพื่อ “คุ้มครอง”
และคำสาบานที่ไม่ได้พูดออกมา...
> ว่าถ้าเด็กคนนี้ร้อง…พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เธอ “ร้องคนเดียว”
เพราะแม้เธอจะพูดไม่ได้ แต่เธอกลับพูดกับใจพวกเขาได้ทุกคน
และ ณ ค่ายสงครามกลางแดนตะวันตก…
ค่ำคืนนี้ เงียบ...อบอุ่น...และ “มีชีวิต”
เพราะเด็กหญิงคนหนึ่ง
ที่ชื่อว่า “โซล”
ยังหายใจอยู่.
//คืนที่สองของโซล...สงครามยังไม่สิ้น แต่คืนคืนนี้ กลับมีอะไรบางอย่างที่ สงบกว่าเมื่อวาน
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว—ท่ามกลางโลกที่ขาดวิ่น เศษหิน เศษกระดูกและเสียงความตาย ดาวยังส่องอยู่เหมือนเดิม
โซลหลับไปนานแล้ว ร่างเล็กขดตัวใต้ผ้าห่มที่ทำจากเศษผ้าที่หาได้มันถูกเย็บต่อกันอย่างตั้งใจ.. ผ้าห่มที่อบอุ่นที่สุดในค่ายนี้ ตุ๊กตาที่เย็บจากเสื้อของทหารวางแนบข้างแก้มเล็ก
เธอหลับ...ราวกับไม่เคยรับรู้ว่าโลกที่เธออยู่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
ที่เวรยาม
นายทหารเวรยืนพิงปืน มองไปยังเต็นท์ของโซลที่มีแสงไฟอบอุ่นลอดออกมา
เสียงซุบซิบจากหน่วยลาดตระเวนข้างเคียงเริ่มดังขึ้น
“แกได้ข่าวมั้ย...แนวรบทางเหนือส่งสารมาขอรูปโซล”
“บอกว่าอยากแปะไว้ในโรงครัว ให้พวกที่นั่นได้เห็นว่าพวกเราสู้ไปเพื่ออะไร”
“ใช่...แม้แต่กองซ่อมยุทโธปกรณ์ยังส่งผ้าอ้อมมาให้เลยนะโว้ย มึงจะเชื่อมั้ย!?”
ภายในเต็นท์พยาบาล
พยาบาลหญิงคนเดิมนั่งจดบันทึกลงสมุดเล่มหนา
หน้าหนึ่งมีชื่อโซลติดไว้อย่างสวยงาม
> โซล – วันแห่งชีวิตใหม่
> • กินนม 2 ครั้ง
• หัวเราะ 1 ครั้ง
• ขยับเท้าแรงจนสะดุ้งเอง 1 ครั้ง
• หลับสนิทไปเองโดยไม่ร้องไห้
เธอวางปากกา แล้วยิ้ม
“ลูกเอ๊ย...แค่วันนี้ วันเดียว...เธอเปลี่ยนโลกของคนทั้งค่ายได้เลยนะรู้มั้ย...”
และที่ปลายเต็นท์
ชายผู้คุ้มกันเธอ ยังคงไม่หลับ
เขานั่งกอดเข่า มองหน้าโซลจากไกล ๆ ไม่พูด ไม่ขยับ ราวกับลมหายใจของเขาเชื่อมกับจังหวะหลับของเด็กน้อย
ก่อนที่เสียงบางเบาจากชายอีกคนจะดังขึ้นหลังเขา
“...นี่กูขอถามจริงจังนะ”
“ถ้าสมมติวันหนึ่งสงครามจบ...มึงจะพาเธอไปอยู่ที่ไหน?”
เขาไม่ตอบทันที
เขาแค่หลุบตามองเปล...
แล้วตอบช้า ๆ
“...ทุกที่ ที่ไม่มีเสียงปืน”
และในความเงียบ…
เสียงลมหายใจของโซลยังคงสม่ำเสมอ เสียงเล็กน้อยของผ้าห่มไหวเบา ๆ กับลมเย็น เสียงไม้เปลที่ลั่นทีละนิดเหมือนจังหวะกล่อม...
ชายผู้คุ้มกันเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแววตานิ่ง ลึก
เขาไม่ได้หลับเลยตั้งแต่คืนแรก
เขากลัว...กลัวว่าหากพลาดเพียงวินาทีเดียวเธอ อาจจะอาจจะหายไปจากเปล
แต่ตอนนี้...ไม่มีเสียงปืน ไม่มีระเบิด ไม่มีวี่แววของศัตรู
มีแค่เด็กน้อยในผ้าห่มบาง กับใจทหารที่เหนื่อยล้า
อีกฟากหนึ่งของค่าย
เสาธงยาวสูงตระหง่าน สะบัดเบา ๆ ใต้แสงจันทร์
ป้ายผ้าชั่วคราวผืนหนึ่งถูกแขวนไว้ด้านล่างของธงใหญ่
วาดมือด้วยดินสอ แทบจะมองไม่เห็นหากไม่เข้าใกล้
มันเขียนไว้ด้วยลายมือที่ไม่ค่อยมั่นคงนักว่า...
> “ถ้าคุณได้เห็นรอยยิ้มของเธอคุณจะไม่อยากทำร้ายใครอีกเลย”
เวลา: ตี 3
ทหารเวรผลัดเปลี่ยนอีกคู่เข้ามาเฝ้า
หนึ่งในนั้นแอบยื่นของบางอย่างให้ชายผู้คุ้มกันโซล
“ของฝากจากแนวเหนือ…พวกนั้นสละมาจากเสบียงตัวเอง”
ของในถุงนั้นคือ...นมผงรสวานิลลา
พร้อมกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนไว้ว่า:
> “ให้เธอได้ลิ้มรสชาติที่ดีกว่าสงครามเสียที”
เขามองถุงนั้น…ไม่พูดอะไร
แค่รับไว้แน่น…แล้ววางไว้ข้างเปลโซล
ตี 4:45
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอ่อน
เสียงไก่ป่าร้องแผ่ว ๆ จากแนวป่า
แสงแรกกำลังจะมา
เด็กหญิงในเปล...เริ่มขยับตัวเล็กน้อย
คิ้วเล็ก ๆ ขมวดนิด ๆ ตามประสาทารกที่ฝันถึงอะไรบางอย่าง
และเมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง...
เป็นรอบที่สามของชีวิตในค่ายนี้
...เธอมองไม่เห็นสงคราม
เธอเห็นแค่ชายคนหนึ่ง ที่ยื่นหน้าเข้ามายิ้มเบา ๆ พร้อมคำพูดแผ่วเบา…
“อรุณสวัสดิ์...โซล”
และในยามเช้านั้น...
ไม่ว่าใครจะพ่ายในสงคราม
ไม่ว่าโลกจะเหลือเท่าไหร่
แต่ในค่ายเล็ก ๆ แห่งนี้
พวกเขาชนะแล้ว
.
.
.
.
.
เพราะโซล…
“ ลืมตาอีกครั้ง. “
-----------------------------------------------------------------------
เสียงฝีเท้าของทหารเวรรอบค่ายค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พร้อมกับแสงสว่างที่กวาดไล่ความมืดไปทีละน้อย ทุกคนเริ่มวันใหม่ด้วยจิตใจที่หนักแน่นขึ้นกว่าเดิม
ที่สนามฝึก ทหารหลายคนตั้งใจฝึกซ้อม พร้อมหัวใจที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้สู้เพียงเพื่อสงครามอีกต่อไป แต่เพื่อ “ชีวิต” ที่เพิ่งเกิดใหม่
และในใจกลางของค่าย...
เด็กหญิงชื่อโซล นอนหลับสบายในอ้อมกอดของโลกที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่กำลังเริ่มมีความหวัง
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เรื่องราวของสงคราม ที่ไม่ได้มีแค่ความรุนแรง แต่มีความรัก ความเสียสละ และชีวิตที่สู้เพื่อพรุ่งนี้
สงครามอาจยังไม่จบ แต่ชีวิต...เพิ่งเริ่มต้น
และในใจของทุกคน
โซลไม่ใช่แค่เด็กน้อยผู้รอดชีวิต
เธอคือ “โซล”
จิตวิญญาณแห่งความหวัง
ที่กำลังเติบโตท่ามกลางสมรภูมิอันโหดร้ายนี้.
//ค่ำคืนในค่ายสงครามที่ไม่เคยหลับใหล
แต่คืนนี้...เสียงปืนเงียบลง
แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องเพลงกล่อมจากเหล่าทหารที่รวมตัวกันรอบเปลของโซล
ชายผู้คุ้มกันยังคงนั่งเฝ้าอยู่เคียงข้าง
มือเขากุมมือเล็กของเด็กหญิงเอาไว้แน่น
ดวงตาคมทอดมองไปยังเปลไม้ด้วยความอ่อนโยนและความหวัง
“ไม่ว่าสงครามจะยาวนานแค่ไหน...กูจะปกป้องเธอจนถึงที่สุด”
เสียงเขาเบาและแน่วแน่เหมือนคำสาบานที่ไม่มีวันหวนกลับ
เสียงเพลงกล่อมเบา ๆ จากปากทหารที่ไม่เคยร้องเพลง
คำกล่อมเต็มไปด้วยความหมาย...เป็นความหวัง เป็นคำสัญญา เป็นโลกใหม่ที่พวกเขาต่างปรารถนา
และในอ้อมแขนของชายผู้เฝ้าระวัง
โซลหลับอย่างสงบ พร้อมรอยยิ้มที่สว่างไสวที่สุด
สงครามอาจยังไม่จบ
แต่คืนนี้...พวกเขาชนะใจตัวเอง
และชนะสงครามในใจเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ ‘โซล’
//รุ่งเช้าวันที่สาม…
เสียงหวอเตือนภัยหายไปจากบรรยากาศ
ท้องฟ้าไม่แดงฉานด้วยเปลวเพลิงอีกต่อไป มีเพียงม่านหมอกจาง ๆ ที่ลอยคลุ้งอยู่เหนือเนิน
เหมือนทุกอย่างกำลังตั้งต้นใหม่…อย่างเงียบงัน
ในเต็นท์พยาบาลโซลตื่นขึ้นก่อนรุ่งอรุณ
เธอไม่ร้อง ไม่มีเสียงอ้อน
มีแค่ดวงตากลมใสที่เงยมองเพดานไม้สานเงียบๆ
มือเล็ก ๆ เอื้อมขึ้นรับแสงแรกของเช้า ที่ลอดผ่านผ้าผืนขาวเข้ามาอย่างอ่อนโยน
ชายผู้คุ้มกันเธอหลับพิงข้างเปล โดยมือยังจับมือเธอไว้แน่น
แต่ทันทีที่โซลกระดิกนิ้ว…เขาก็ลืมตาทันที ราวกับจิตสำนึกเชื่อมกับเธอโดยสมบูรณ์
เขาหัวเราะเบา ๆ
“ตื่นก่อนอีกแล้วนะ...เจ้าตัวจิ๋ว”
ก่อนจะโน้มหน้าลง จูบเบา ๆ ที่หน้าผากเล็ก ๆ นั้น
ณ ลานกลางค่าย
มีโต๊ะไม้ชั่วคราวตั้งขึ้น
มีกระดาษสีน้ำตาลปูไว้
และมีชื่อหลายร้อยชื่อจากแนวรบต่าง ๆ เขียนเรียงกัน
ทุกชื่อ…ส่งของมาให้โซล
เสื้อผ้า, ผ้าห่ม, ตุ๊กตา, นม, สารทักทาย
แม้กระทั่ง “บทกลอน” จากทหารปืนใหญ่ผู้หยาบกร้านที่สุดก็ยังปรากฏที่มุมกระดาษ:
> “เสียงหัวเราะเธอ...เบากว่าระเบิด
แต่ทำลายความสิ้นหวังได้ทั้งสนามรบ”
นายพลใหญ่ของค่าย
เดินมายังเต็นท์พยาบาลด้วยตัวเอง
ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่มีผู้ติดตาม
มีแค่มือเปล่า และใจหนักแน่น
เขาเงยหน้ามองชายผู้คุ้มกันโซล แล้วก้มลงมองเด็กหญิงตัวน้อยที่มองกลับมาแบบไร้เดียงสา
เขานั่งลงข้าง ๆ เปลอย่างเงียบ ๆ ก่อนพูดแผ่ว ๆ ว่า…
“ฉัน...เคยเสียลูกชายไปตอนวันที่สงครามเริ่มต้น”
“แต่วันนี้...ฉันกลับได้ ‘บางสิ่ง’ คืนมา”
เขายิ้มเล็ก ๆ ก่อนวางเข็มทหารประจำตัวของเขาไว้ข้างเปล
“จากนี้ไป…เธอเป็นพลเมืองของที่นี่แล้ว”
และตลอดทั้งวัน
ทหารทั้งค่ายผลัดเวรกันมา “เข้าเวรดูโซล” เหมือนเธอเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์
แต่ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครเบื่อ
กลับกลายเป็นเกียรติสูงสุดของวัน
> ผู้พันปืนกล – อาสาเล่านิทานให้เธอฟัง
พลวิทยุ – สอนเสียงสัตว์จากลำโพงจำลอง
พลแม่นปืน – แอบวาดรอยเท้าเล็ก ๆ ของเธอลงในสมุดพกข้างกาย
พยาบาล – ถักผ้าห่มลายดาวจากเศษด้ายของชุดพลาง
---
และในคืนนั้น
เด็กหญิงตัวน้อยยังคงนอนหลับอยู่ใต้แสงไฟสลัว
เสียงลมเย็นพัดผ่านแนวผ้าใบเบา ๆ
เสียงทหารเวรค่อย ๆ ร้องเพลงกล่อมโลกที่เคยป่วยให้เงียบลงอีกครั้ง
“นอนเถอะนะ โซล...คืนนี้โลกทั้งใบอยู่ข้างเธอ”
เพราะไม่ว่าเธอจะจำหรือไม่…
เพราะแม้จะเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ
แต่เธอได้เปลี่ยนสงครามครั้งนี้ไปตลอดกาล
และชื่อของเธอ…
จะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกเล่าใหม่…ทุกคืน
กลางสนามรบ
> เพื่อเตือนใจทหารทุกนายว่า
"เรายังมีเหตุผล…ที่จะมีชีวิตอยู่."
//วันที่สี่…
กลองสงครามยังเงียบอยู่—แม้ข่าวจากแนวหน้าแจ้งว่า ศัตรูเริ่มเคลื่อนกองกำลังอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครในค่ายนี้แสดงความตื่นกลัว
พวกเขา “ตื่นพร้อม” อยู่แล้ว—ไม่ใช่เพื่อสู้รบ
แต่เพื่อปกป้องชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งที่ทำให้พวกเขา กลายเป็นคนอีกครั้ง
เช้าตรู่
โซลถูกห่อตัวอยู่ในผ้าห่มใหม่ที่ถักด้วยมือ 17 คู่จาก 17 หน่วย
เธอยังนอนหลับอยู่ใต้เต็นท์พยาบาล แต่รอบตัวไม่เหมือนวันแรกอีกแล้ว
มีกล่องไม้ทำเป็นเปลใหม่
มีลำโพงเล็ก ๆ ที่เล่นเสียงคลื่นทะเลเบา ๆ
มีกรอบรูปเล็ก ๆ รูปแรกที่ทหารคนหนึ่งวาดใบหน้าเธอด้วยถ่านไม้
ชายผู้คุ้มกันนั่งเฝ้าอยู่เหมือนเคย
เขาไม่ได้หลับแม้แต่ชั่วโมงเดียวตลอด 3 วัน 3 คืนที่ผ่านมา
แต่สายตาเขากลับไม่เหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย
มันนิ่ง เย็น...และมั่นคง
"เธอจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว"
เขากระซิบเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะแก้มเล็ก ๆ นั่น
โซลยังไม่ตื่น...แต่เหมือนรับรู้ได้ นิ้วมือเล็กขยับควานหา จนกุมปลายนิ้วเขาไว้แน่น
ณ ศูนย์บัญชาการกลาง
โทรเลขเร่งด่วนเข้ามาถึงมือผู้บัญชาการใหญ่
ข้อความสั้นมาก แค่ไม่กี่คำ…
> “สภาพจิตใจทหารฐาน D-07 เปลี่ยนแปลงรุนแรง
ปฏิบัติงานเต็มประสิทธิภาพ
ขอให้คงสภาพ ‘สิ่งมีชีวิตพิเศษ’ ไว้ในความดูแลโดยไม่มีข้อจำกัด”
ผู้บัญชาการอ่านจบ…แล้วลงนามทันที
โดยไม่ต้องคิดซ้ำ
เย็นวันนั้น
เสียงร้องของโซลดังขึ้นเบา ๆ ครั้งแรก
ไม่ใช่เพราะเธอเจ็บ ไม่ใช่เพราะหิว
แต่เพราะเธอ “อยากให้ใครสักคนอุ้ม”
เสียงนั้นดังกังวานพอจะหยุดการฝึกของทหารหน่วยหนึ่งทั้งหน่วย
ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครรำคาญ
กลับมีคนมากกว่าสิบคนเดินตรงมาที่เต็นท์…พร้อมกัน
“ใครอุ้มได้คนแรก...เลี้ยงข้าวคนทั้งหมู่!”
เสียงหัวเราะดังขึ้น
แล้วเสียงหัวเราะนั้น…ดังก้องไปทั้งค่าย
และในวันนั้นเอง
โซลหัวเราะเสียงใส…ครั้งแรก
ไม่มีใครสามารถจำรายละเอียดเสียงนั้นได้ชัดเจน
แต่ทุกคนจำความรู้สึกตอนที่ได้ยินมันได้
มันเหมือนเสียงของ "บ้าน"
มันเหมือนเสียงของ "อนาคต"
เด็กหญิงตัวน้อยยังพูดไม่ได้
ยังเดินไม่ได้
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในโลกแบบไหน
แต่เธอกลับ “สอน” คนที่ฆ่าคนมาเป็นร้อย
ให้รู้จักการอดทนให้รู้จักรอและให้รู้ว่า...
> แม้แต่ในนรก—ก็มีเสียงหัวเราะของทูตสวรรค์
ถ้าเธอชื่อว่า…
“ โซล “
และท่ามกลางสงครามที่อาจปะทุขึ้นเมื่อใดก็ได้
เหล่าทหารทั้งหมดรู้ดีว่า:
“พรุ่งนี้…อาจไม่มีใครเหลือ”
แต่ถ้า “โซล” ยังยิ้มได้
พวกเขาก็พร้อมจะสู้…อีกวัน
เพื่อเธอ
เพื่อความหวังที่มีชีวิต.
//วันที่ห้า…
ฟ้ายังสว่าง เสียงวิทยุกระพริบแสงจาง ๆ รายงานข่าวการเคลื่อนกำลังของศัตรูห่างออกไปหลายกิโล
แต่ค่าย D-07 ยังคงนิ่ง ไม่มีคำสั่งอพยพ ไม่มีการตั้งแนวยิง
พวกเขา “ฟัง” มากกว่า “ตอบโต้”
เพราะตอนนี้ทั้งค่าย…มีบางสิ่งต้องปกป้อง
ณ จุดพักกลางค่าย
มีการตั้ง "เวรเฝ้าโซล" แบบไม่เป็นทางการขึ้น
ทหารแต่ละหน่วยผลัดเปลี่ยนกันเข้ามานั่งข้างเปล พูดคุยกันเบา ๆ เขียนข้อความลงสมุดเล่มเล็กที่วางไว้หน้าตะกร้า
> “วันนี้เธอกระพริบตาสองทีตอนฉันขยับปาก ฮ่าๆๆ เธอฟังฉันอยู่จริง ๆ ใช่ไหม โซล”
“ขอให้คืนนี้ฝันถึงที่ที่ไม่มีระเบิดนะ หนูจะได้รู้ว่าโลกมันเคยเงียบ…เงียบกว่านี้”
“พรุ่งนี้ฉันจะหานมสตรอว์เบอร์รีมาให้ได้ คอยดู!”
ภายในเต็นท์พยาบาล
โซลเริ่มพลิกตัวได้แล้ว—แม้จะช้าแต่แข็งแรงกว่าวันแรกหลายเท่า
เธอส่งเสียง “อ้อแอ้” พลางยกมือคว้าใบหน้าของชายที่เฝ้าเธอมาหลายคืนติด
เขาหัวเราะในลำคอ ยื่นนิ้วให้เธอกำเหมือนทุกครั้ง
แต่วันนี้…เธอ “ดึง” นิ้วเขาเข้าปาก
เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะ
“...ได้เวลาที่จะเรียนวิธีหัดเลี้ยงลูกจริง ๆ แล้วสินะ”
ด้านนอก เต็นท์บัญชาการ
ผู้บัญชาการค่ายออกมายืนกลางแดด
มองเหล่าทหารที่วันนี้ “วิ่งเร็วขึ้น”
“ยิ้มบ่อยขึ้น”
และ “ร้องเพลงมากขึ้นกว่าทุกวัน”
เขาถอนหายใจยาว...อย่างโล่งใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เรายังไม่ชนะสงคราม...”
เขากล่าวกับนายทหารข้างตัว
“แต่เราชนะ ‘ความตาย’ ที่กัดกินข้างในแล้ว”
เย็นวันเดียวกัน
มีการวาง “ของเล่นใหม่” หน้าระเบียงไม้ของเต็นท์โซล—ตุ๊กตาที่ทำจากเปลือกกระสุน
ใส่หมวกเหล็กเล็ก ๆ มีหน้าวาดยิ้ม
มีคนเขียนชื่อมันไว้ว่า:
> "พลแม่นปืนโซล – คนแรกในหน่วยรอยยิ้ม”
และในตอนกลางคืน
ไฟรอบค่ายยังคงสว่างอ่อน ๆ
ไม่มีเสียงปืน
มีแค่เสียงลม เสียงหายใจ และเสียงทหารพูดกันเบา ๆ ข้างเต็นท์
“เธอทำให้พวกเรารู้ว่าชีวิตมันมีค่ามากกว่าแค่รอด”
“เธอไม่ได้พูดเลยสักคำ…แต่มึงดูสิ—พวกเราทำงานเหมือนเธอเป็นนายพล”
ก่อนเที่ยงคืน โซลหลับสนิทในเปลที่ห่อด้วยผ้าสามสีจากธงสามประเทศ
เธอนอนหนุนตุ๊กตาทหา รอยยิ้มยังแต้มอยู่ที่มุมปาก
ชายผู้คุ้มกันนั่งพิงเต็นท์ เงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดเสียงเบา...
“ถ้าพ่อแม่เธอมองลงมาได้...เขาคงภูมิใจ”
…และไม่ว่าโลกจะพังทลายแค่ไหน
คืนนี้ ค่ายเล็ก ๆ กลางสนามรบแห่งนี้
ยังมีชีวิต
เพราะโซล
เด็กหญิงผู้ยิ้มสู้กับสงคราม
ด้วย “ใจ” เพียงหนึ่งดวง.
//วันที่หก...
เสียงปืนยังคงเงียบสงัดในค่าย
แต่ในใจทหารทุกคนกลับเต้นแรงกว่าเดิม
“โซล” กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสู้ต่อไป
ไม่ใช่เพียงเพื่อสงคราม แต่เพื่อชีวิตเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงนั้น
เช้าตรู่ในเต็นท์พยาบาล
โซลตื่นขึ้นด้วยเสียงทหารร้องเพลงกล่อมอย่างนุ่มนวล
เธอส่งเสียงร้อง “อ้อแอ้” และยิ้มกว้างกว่าทุกวัน
มือเล็ก ๆ ยกขึ้นโบกไหว้ทหารคนเฝ้า
ที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและคำสัญญา “ฉันจะปกป้องเธอเอง”
บริเวณค่าย
ทหารทุกหน่วยแบ่งปันเรื่องราวและของเล่น
พวกเขาต่างร่วมกันเขียนหนังสือเล่มเล็ก
ชื่อว่า “นิทานของโซล”
เรื่องราวของเด็กน้อยผู้กลายเป็น
“หัวใจกลางสงคราม”
กลางวัน
ผู้บัญชาการค่ายประกาศเปลี่ยนแผน
เน้น “ปกป้องชีวิต” เป็นหลัก
ทหารทุกคนลุกขึ้นพร้อมรับคำสั่ง
ด้วยจิตใจที่ไม่หวาดกลัว
แต่เต็มไปด้วยความหวัง
และในค่ำคืน
เสียงเพลงกล่อมเด็กยังคงดังขึ้น
เปลไม้ไผ่สั่นไหวใต้ลมเย็น
“โซล” หลับสบายกับรอยยิ้มสดใส
ท่ามกลางเงาสงครามที่ค่อย ๆ จางลง
“เราอาจยังไม่ชนะสงคราม”
ชายผู้คุ้มกันกระซิบ
“แต่เราชนะใจตัวเองและเธอแล้ว”
และท่ามกลางความมืด
มีเพียงแสงเล็ก ๆ แห่งความหวัง
ที่ไม่เคยดับลง...
เพราะโซล…
เด็กหญิงที่เป็นทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของค่ายนี้.
---------------------------------------------------------------------
//หลายเดือนผ่านไป
โซลเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากทารกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องไห้แทบตลอดเวลา กลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เริ่มพูดจาได้เป็นคำ ๆ และขยับตัวคล่องขึ้นทุกวัน
ในค่ายสงคราม
เสียงหัวเราะของโซลกลายเป็นเสียงประจำที่ทุกคนตั้งตารอ
แม้กลางเสียงระเบิดและกระสุน
แต่ค่ายกลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความหวังที่เธอนำมา
ชายผู้คุ้มกันยังคงเป็นเงาที่ไม่เคยห่างไกล
เขาสอนให้โซลรู้จักอาวุธอย่างอ่อนโยน ให้เธอเข้าใจความหมายของคำว่า “ปกป้อง”
แต่เหนือสิ่งอื่นใด…
เขาสอนให้เธอรู้จักหัวใจของมนุษย์ที่ไม่เคยยอมแพ้
วันหนึ่ง
โซลยืนอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ
มองไกลออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่ไม่แน่นอน
สายลมพัดผ่านผมและผ้าคลุมไหล่ตัวจิ๋วของเธอ
เด็กหญิงคนนั้นหันมายิ้มให้ชายผู้คุ้มกัน
“ฉันจะโตขึ้น เพื่อทุกคนที่นี่”
เสียงเล็ก ๆ ของเธอดังขึ้นอย่างหนักแน่น
และในใจของทุกคนโซลไม่ใช่แค่
“ เด็กผู้รอดชีวิต “
แต่คือสัญลักษณ์ของ
“ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้”
ท่ามกลางสงครามที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
“โซล…หัวใจของเรา”
ชายผู้คุ้มกันพูดเบา ๆ พลางมองไปยังอนาคตที่ยังไม่รู้จัก
แต่มั่นใจว่าจะเฝ้าปกป้องเธอ…จนกว่าจะถึงวันนั้น.
-----------------------------------------------------------------------
[จบบทที่ 2 ]
ขอบคุณที่อ่านนิยายของพวกเรา
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments