วันสอบใกล้มาถึงแล้ว
อีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้ว การสอบเป็นสิ่งที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความพร้อม สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวเดินไปบนเส้นทางของความเป็นนักศึกษา
เป็นเหมือนเครื่องมือกรองและเก็บผลผลิตจากการลงมือปลูกต้นไม้ของการเรียนมาแล้วเป็นเวลาร่วมปี คงจะได้เห็นความก้าวหน้าหรือความคืบหน้าของตนเองบ้างว่า ระหว่างทางที่เดินผ่านมาและผ่านเลยไปนั้นเก็บอะไรได้บ้าง ภาษาอังกฤษ ภาษามาระธี ภาษาฮินดี ใส่พกใส่ห่อมาได้บ้างหรือเปล่า
การศึกษาจึงเป็นผลผลิตของความสุข ความสำเร็จ ความสมหวัง สมความปรารถนา ในสิ่งที่ตนต้องการจะไขว่คว้านำมาใช้และพัฒนาชีวิต จากการทุ่มเทเดินเข้าเดินออกในห้องสมุดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดึกดื่น ค่อนคืน ก็ขอให้มันรู้ไปเลยว่า จะตายเพราะสอบตก อยากจะรู้ในเชิงประจักษ์ว่า มันเป็นเพราะความหลอกลวงในอารมณ์ความรู้สึกตนหรือมันเป็นเพียงแค่เหตุผลเพราะคิดถึงบ้าน
การสำรวจตัวเองเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะจะได้เตือนตน บอกตัวเองได้ และพบจุดบกพร่องของตัวเอง ฉันยอมรับความจริงว่า ตัวเรานั้นจะต้องสร้างกำลังใจ ปลุกปลอบตัวเอง ให้ลุกขึ้นมาลงสนามของการต่อสู้และการแข่งขัน ในเวทีชีวิตที่เป็นความจริง ไม่ใช่การเล่นละคร ตายแล้วตายเลย เกิดแล้วเกิดตลอดไปชั่วชีวิต
ต้องสู้ สู้ สู้ อย่าได้คิดเห็นหน้าสาวแขก ที่หมดจดสดใสงดงาม ผ่องกระจ่างขาวสะอาด คิ้วโค้งดุจดังคันศรพระราม ดวงตาสีดำกลมโตดุจปีกแมลงทับ ขนตางอนดุจดังเส้นสายธนูยามขึ้นศรของพระนารายณ์ จมูกโด่งโค้งงามรับกับใบหน้า ที่มีแผ่นริมฝีปากบาง ๆ รองรับ ด้วยปลายคางที่มนกลม กับร่างกายที่พลิ้วบาง ยามเยื้องย่างด้วยจังหวะร่ายระบำ ส่ายสะโพกโยกเอว สะบัดสไบส่าหรี่ ดั่งเทพอัปสรสวรรค์ ด้วยลีลาฟ้อนระบำขับดนตรี ตามทำนองบทสวดมนต์สรรเสริญอ้อนวอน ที่เร้าอารมณ์ด้วยมนตราร่ำร้อง เพื่อขอพรอันศักดิ์สิทธิ์จากพระผู้เป็นเจ้านามว่า พระศิวะของบรรดาเหล่าสาวแขก ที่ขนานนามวรรณะของตนว่า “พราหมณี”ทั้งปวงเลย สาธุ..สาธุ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องเตือนตัวเองว่าเราคือใครมาทำอะไรที่นี้เพื่อวัตถุประสงค์สิ่งใดก็คือบทกวีที่ฉันได้เขียนเอาไว้บนที่นอนของหัวเตียง ๒ บทคือ
ลุกจุดแสงไฟในราตรี
พี่น้องของฉันยังรออยู่
ลุกขึ้นมาต่อสู้อย่าหลับใหล
ตื่นเถิดตื่นเถิดลุกขึ้นมาเร็วไว
ลุกขึ้นมาจุดแสงไฟยามราตรี
พี่น้องของฉันคงรอท่า
เมื่อไหร่หนาข้าจะหวนนครศรี
คงเฝ้าพร่ำเช้าค่ำถ้อยวจี
ให้ข้านี้รีบจบกลับเร็วไว
ลุกขึ้นเถิดลุกขึ้นเถิดลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้
เจ้าจะนอนหลับคดคู้อยู่ไฉน
กี่ปีกี่เดือนแล้วที่เจ้าจากมาไกล
คนอยู่หลังยังอาลัยและรอคอย.
กฤษนันท์ แสงมาศ
ห้องนอนนักศึกษาคนยาก(บ้านนอก)
มหาวิทยาลัยนาคปูร์รัฐมหารัชตะ อินเดีย
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
๐๓.๐๐ นาฬิกา
สองปีที่จากนครมา
สองปีที่ได้จากจรนครมา
เพื่อสรรสร้างพัฒนาชีวิตใหม่
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ารักต้องร้างไกล
ห้วงน้ำตารินไหลใจอาวรณ์
ภาพพิมพ์พักตร์ของมารดาที่ข้ารัก
ยังประจักษ์ตรึงดวงใจมิถ่ายถอน
อีกถ้อยคำจำนรรจาที่เว้าวอน
ใจรอนรอนแทบขาดบรรลัยไป
มีรอยยิ้มพิมพ์ภาพของคนรัก
ประไพพักตร์ผุดผ่องดั่งทองไสว
เห็นน้ำตาหยดร่วงสู่พวงแก้มของยาใจ
ให้เจ็บลึกสู่ทรวงในใจระทม
กี่วันกี่เดือน กี่ปีที่จรจาก
มาจำพรากใจอ้างว้างสุดขื่นขม
คิดถึงคนรัก มารดา วิปโยคแสนโศกตรม
เจ็บระบมสุดเยี่ยวยารักษาหาย
โอ้..ดาวเดือนลาเลื่อนลับลงสู่เหลี่ยมโลก
ให้ซึมโศกหวนถวิลมิสิ้นสลาย
ทุกเช้าคำ ทุกข์ธาราซับใจกาย
แทบวางวายด้วยจากไกลนาคารามา.
กฤษนันท์ แสงมาศ
ห้องนอนนักศึกษาคนยาก(บ้านนอก)
มหาวิทยาลัยนาคปูร์รัฐมหารัชตะ อินเดีย
๑๔ มีนาคม ๒๕๓๓
๐๒.๓๐ นาฬิกา
เป็นบทกวีที่ฉันเขียนคิดให้กำลังใจแก่ตัวเองเพื่อขับไล่ความเกียจคร้านหรือความขี้เกียจออกไป แม้จะไม่ได้เป็นนักกวีซีไรท์โดดเด่นดัง แต่ก็เป็นบทกวีที่สอนใจตัวเอง อย่าให้อ่อนแอ อย่าท้อแท้ อย่าถอยหลัง อย่าร้องไห้เสียใจ จงมุ่งมั่นก้าวเดินไปข้างหน้า แม้มันจะอยู่ท่ามกลางป่าเปลี่ยว ดงดิบแห่งป่าหิมะ ในระหว่างวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา แนวจารีต ขนบปฏิบัติ ที่ต่างกันก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่เราจะขยันหรือว่าขี้เกียจ สู้ไหม..สู้ไหม ..สู้..สู้
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments