บทที่ III

เช้าวันใหม่

เหนือท้องฟ้าเมฆหมุนวนช้า ๆ และแสงตะวันจาง ๆ ผ่านช่องว่างเมฆตกกระทบผิวน้ำ ณ ลานโล่งกลางภูเขาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงไม้สูงและเงาร่มจากต้นสน อากาศเย็นจนแม้แต่ใบไม้ยังแทบไม่ไหวติง พื้นหินถูกกรีดด้วยรอยมากมายจากอาวุธนับสิบ บางรอยลึกถึงขั้นแตกกะเทาะ ในเวลานี้ ลานฝึกอึกทึกไปด้วยเสียงโลหะ

กลางลานกว้าง ร่างเล็กของเด็กหญิงยืนหยัดด้วยลำแข้งที่สั่นเทา ดวงตาคู่โตทอดมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า ทว่าภายในอกกลับสั่นสะเทือนยิ่งกว่าพายุโหมกระหน่ำ เธอหายใจหอบ เนื่องจากวอร์มร่างกายจากการวิ่งมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อเตรียมรับมือกับการฝึกวิชาในวันนี้

ข้าง ๆ ของเด็กสาวมีชายร่างสูงคนหนึ่งสะพายกระเป๋าขนาดกลางดูเก่าเหมือนกับว่าถูกแทะเป็นรูและลอกเป็นขุย

เสียงกลอนโลหะ “คลิก” เบา ๆ ดังขึ้น เมื่อเขาเปิดสายรัดกระเป๋าเปิดออกเผยให้เห็นภายในที่ลึกกว่าที่ควรจะเป็นกระเป๋าธรรมดา ด้านในไม่ใช่เพียงช่องใส่ของแต่เป็นเหมือนห้องคลังขนาดย่อส่วน เพียงแค่คิด สิ่งที่ต้องการจะออกมาจากกระเป๋าใบนั้น

และในเวลานี้คือชั่วโมงเรียนมันตราวุธ

เอริคหยิบของในกระเป๋า ดึงอาวุธแต่ละอย่างวางเรียงรายกันบนหินเรียบ

ดาบสั้น, ดาบยาว, ดาบสองมือ, หอกยาว, ขวาน, กระบอง, ปืนเวท, ทุกอันมีตราผนึกยันต์เวท และอาวุธอีกสารพัดเกินกว่าที่วาร์นจะฝึกได้ครบทั้งหมด ทุกชิ้นถูกจัดวางอยู่ตรงหน้าเธอ บางชิ้นยังเรืองแสงตามเส้นเวทของมันเอง แม้แต่แผ่นเกราะ สนับเข่า ถุงมือเวท และขวดน้ำยาสำรองยังมีวางไว้ครบเหมือนถูกเตรียมพร้อมสำหรับฝึกสนามรบเต็มรูปแบบ

“นี่มัน…ท่านจะฝึกข้าออกรบ ไฉนเอาอาวุธออกมาครบครันแบบนี้” วาร์นพูดออกมาทั้งดวงตาเบิกกว้างด้วยสัญชาตญาณ

“ข้าจะให้เจ้าเลือกอาวุธที่คิดว่าเจ้าถนัดที่สุด” เเรียบขาพูดเรียบ ๆ ขณะหยิบดาบเวทเล่มหนึ่งขึ้น มันสั่นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสมือเขาเหมือนดั่งว่ามันพร้อมรับใช้คนถือมันอย่างเต็มใจ

“พร้อมแล้วหรือยัง?”

วาร์นมองไปในกระเป๋าราวกับกำลังมองประตูมิติ คิดว่าต้องมีของอื่นที่น่าดึงดูดใจมากกว่าของมีคมเหล่านี้ แต่ก็ว่างเปล่า

เธอสละความคิดทิ้งแล้วเอื้อมแตะด้ามมีดสั้นแฝดคู่หนึ่ง ก่อนจะผละออก

“เจ็บ ๆ” เธอตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดบนฝ่ามือ

เขาเห็นแบบนั้นก็ได้แค่ยักไหล่ “มีดสั้นนั้นไม่ต้องการเจ้านะสิ มันถึงได้ปล่อยกระแสไฟฟ้าต้าน”

เขายื่นดาบยาวให้เธอ แต่เธอไม่รับ…

วาร์นพินิจตั้งแต่ดาบใหญ่ขนาดครึ่งตัวมนุษย์ ไปจนถึงตรีศูลคมกริบและหอกสองคม

“เจ้าคิดว่าถนัดอะไรก็หยิบมาสู้กับข้าได้เลย…ข้าพร้อมเสมอ”เขาให้เวลาเธอจับอาวุธจนเบื่อจะคอย“เร็วสิ! เลือกสิ่งที่เจ้าถนัด… อย่าบอกว่าไม่มีสักชิ้น”น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นโทนสูง

วาร์นเบ้ปาก เหลือบตามองอาวุธ สิ่งแรกที่เธอหยิบขึ้นมาคือ ดาบใหญ่ มันดูเท่ แต่เธอยังไม่ทันยกมันพ้นเข่า… ก็เซถอยหลังแทบล้ม

“เลือกแล้วสิน่ะ เข้ามาเลย!” เอริกตะโกน ตั้งท่าพร้อมสู้

วาร์นไม่สนคำพูดเขา สละดาบใหญ่ลงกับพื้นและหันไปหยิบอาวุธอื่นทันควัน ‘ลูกตุ้มหนาม’ เธอหยิบขึ้นมาลองหมุนได้แค่รอบเดียวก่อนมันเกือบฟาดเข้าตัวเอง ความเจ็บแสบตามผิวกายแพร่ซ่านเข้าลึกถึงกระดูก ทำให้เธอวางมันลงอย่างร้อนรน “พวกมันจะฆ่าฉัน!!”วาร์นตะโกนออกมาด้วยคำมนุษย์โลกของแอนนา

เอริคได้แต่มองเธอนิ่งๆ

วาร์นเข้าใจความคิดของเขา แต่สายตาจะเย็นชาแต่จิตใจกลับตั้งคำถามเงียบ ๆ กับเธอ ‘นางพูดอะไร’ แน่นอนว่าเขาต้องตั้งข้อสงสัยกับเธอแน่

วาร์นเบือนหน้าปทางอื่นหันเหเสียงที่ได้ยินในหัวเขา มองยังดาบสั้นคู่แล้วยกมันขึ้น เธอจับไม่ถนัดมือคล้ายจะหลุดทุกครั้งที่ลองแกว่งแม้จะบีบมันแน่นแค่ไหน มันก็เหมือนจะลื่นออกจากมือ

“เจ้าคงไม่เหมาะกับข้า”

เธอมองผ่าน ๆ กระบองสองท่อน ธนูเวท ลฯลฯ แต่ทุกชิ้นดูเหมือนจะไม่ใช่เธอเลยสักอย่างและสุดท้าย…วาร์นหันไปเห็นแสงแวววับ มันเป็นเวนเจนซ์ ด้านข้างสลักเวทมนตร์ “วิเศษมาก”

เอริกเหลือบตามองก่อนตอบ “ปืนเวนเจนซ์โฉมใหม่ข้าเรียกว่ามัน ‘แอสตร้าเบลด’ ยิงกระสุนเวทที่สร้างจากมานาของผู้ใช้ ปลายกระบอกสามารถกางคมมีดออกมาได้ด้วย เผื่อระยะประชิด”

วาร์นขออนุญาตหยิบมันมาดูใกล้ ทันทีที่มือเธอสัมผัสกับด้ามปืน พลังในตัวเธอก็ตอบสนอง เส้นแสงสีดำบางเบาวิ่งผ่านลายสลักไปตามกระบอกปืน เธอเล็งไปยังที่ว่างพิศอย่างระมัดระวัง เธอหันเหปลายกระบอกยิงใส่ต้นไม้ข้าง ๆ เสียง “ฟวึบ!” ดังขึ้นพร้อมแสงสีดำพุ่งเป็นเส้นโค้งแล้ว ตู้ม! เป้าไม้ระเบิด

วาร์นหัวเราะเบา ๆ อย่างตื่นเต้น “อันนี้… ข้าชอบ!”

เอริกมองเธอเงียบ ๆ แล้วพยักหน้า “งั้นก็เริ่มได้!” เอริกไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากความ เปิดฉากปะทะกับวาร์นทันที

“การต่อสู้กับศัตรูอย่าวอกแวก และพยายามอย่าใช้มามานาให้สิ้นเปลือง”

“ช้าก่อน!”

วาร์นก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ยกแอสตร้าเบลดขึ้นป้องแรงดาบจากเขาได้ทันแล้วผละออก เธอประทับเล็งพร้อมสู้กลับ แสงสีดำเรืองที่ปลายกระบอก ปลายนิ้วของเธอแตะไก

ฟวึบ!

กระสุนเวทพุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วสูง แสงสีดำทะลวงผ่านอากาศตรงเข้าหาเอริกอย่างแม่นยำ แต่ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวเขา…

เคร้ง!!

เสียงโลหะปะทะดังกึกก้อง เอริกตวัดดาบใหญ่ในมือขึ้นรับกระสุนเวทพอดิบพอดี แสงเวทแตกสะท้อนออกเป็นวง คล้ายคลื่นกระแทกกระจายกลางอากาศ

“ใช้ได้…แต่ยังแรงไม่พอ!”

ฟึ่บ!

เขากระโจนเข้าประชิดตัวในพริบตา ดาบใหญ่ในมือฟาดลงมาตรงแนวไหล่

วาร์นเบี่ยงตัวหลบฉิวเฉียด ขอบดาบเฉียดผ้าคลุมเธอจนขาดเป็นเส้น เธอกลิ้งหลบออกข้างแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างรวดเร็ว แล้วยิงสวนกลับอีกนัดทันที

ฟวับ! ฟวับ!

สองนัดพุ่งตามไล่ติดเอริก แต่เขากลับแค่หมุนตัวเบี่ยงหลบ แล้วยกดาบขึ้นเป็นโล่บังอีกลูกไว้ได้อย่างเฉียบขาด

“เจ้าเก่งใช้ได้เลยทีเดียวแต่ส่งพลังไปที่ปืนไม่เต็มที่ กระสุนจึงถูกป้องและดับครึ่งอย่างง่าย ๆ ”

วาร์นกัดฟันแน่น

“กระสุนทุกนัดมันผสานกับพลังของเจ้า จงปล่อยมันออกมาเหมือนตอนที่เจ้าโมโหสิ!”

“ข้าทำอยู่!”เธอเสียงดัง

“ข้าประเมินเจ้าได้เลยทันทีว่าพลังที่เจ้าส่งผ่านกระบอกปืนนั้นไม่ใช่พลังของเจ้า”

วาร์นจ้องเขาตาเขม็ง เสียงภายนอกจางหาย เหลือเพียงเสียงหัวใจของเธอกับเขาและแสงเรืองที่กรีดผ่านมือเธอเบา ๆ เธอประทับปืนอีกครั้ง… คราวนี้เธอตั้งใจจริง

“ท่านหมายความว่าไง ที่มันไม่ใช่พลังของข้า”

“ลองถามตัวเจ้าเองสิว่าเจ้าเป็นใคร”เอริคยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเริ่มตั้งท่าเตรียมสู้อีกครั้ง

“เข้ามาเลย!”

.

.

หลังจากการฝึกหฤโหดครั้งนี้

วาร์นก็เริ่มรู้สึกท้อ ทุกครั้งที่เธอยิง กระสุนเวทดูเหมือนจะไม่เสถียร เธอครุ่นคิดอยู่นาน…

เอริคเข้ามาใกล้เธอ“จะบอกอะไรให้ กระสุนที่เจ้ายิง เจ้ารู้ไหมว่าแค่เม็ดเดียว มันแรงพอจะทะลุร่างคนได้สามคนซ้อน เจ่าน่ะ แข็งแกร่งแต่… ดื้อ เจ้าเคยเป็นแบบนั้นและตอนนี้ก็ยังเป็นทรราชตัวน้อยอยู่”

"ตอนนี้ ท่านย่อมทราบดีแล้วว่าข้าไม่ใช่ 'วาร์น' " เธอเอ่ยเสียงแผ่วพลางทอดสายตาจับจ้องยังมือเล็ก ๆ ของตน

"เจ้าเป็นผู้เดียวที่เปลี่ยนโลกนี้ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าจะใช้พลังนั้นมันทำลายหรือสร้างใหม่ เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจเลือก" ถ้อยคำของเขานั้นตรงกับห้วงความคิดที่เธอเก็บซ่อนไว้ในใจ นับตั้งแต่แรกที่ได้พบ 'วาร์น' เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่า พลังที่ไม่ใช่ของเด็กหญิงที่เคยพบพานมาก่อน

เมื่อครั้งที่เขารู้ตัวว่าถูกอ่านใจ จึงกั้นลมหายใจและปล่อยให้ความว่างเปล่าเข้าครอบงำแทน

ในขณะนั้นเอง

เธอนั่งทรุดกายลงกับพื้น แขนขาสั่นเทาและหัวใจหนักอึ้ง น้ำตาไหลรินช้าๆ ราวกับเสียงในอกที่กำลังแตกสลายทีละน้อย

“เหตุใดจึงต้องเป็นข้า” เสียงเธอแผ่วเบาแทบเลือนหายไปกับสายลม เธอหลับตาลงพยายามข่มสะอื้นกลับคืนสู่ทรวง แล้วผ่อนลมหายใจยาวออกมา

“ข้าอยากรู้นัก…เหตุใดพระเจ้าจึงส่งข้ามาที่นี่ โลกใบนี้มันโหดร้ายเกินไป สำหรับคนสามัญอย่างข้า” เธอตัดพ้อกับเรื่องราวที่ตนเองได้รังสรรค์ขึ้นในโลกใบนี้ พระเจ้าที่เธอกล่าวถึงนั้น เมื่อหวนคิดดูแล้ว เธอเองต่างหากที่เป็นพระเจ้า เธอเรียบเรียงเรื่องราวในห้วงความคิดลงบนกระดาษขาวด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

“เจ้าอยู่ที่นี่ ทุกอย่างที่เจ้าคิด ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ…แค่เพียงเอ่ยปาก ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น”เอริคพูด

“หากจริงอย่างที่ท่านพูด ข้าคงไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ ข้าจะมีความสุขในอีกโลกของข้า”

“เรื่องนั้นมันมีเหตุผลที่เจ้ากลับโลกเดิมไม่ได้ แต่ข้าบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร ข้ายังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ข้าคิดถูกหรือผิดว่าเจ้ามาเพื่อคำขอจากลอร์ดไวร์เวนหรือใครกันแน่”

“ใครกันที่ต้องการข้า…เพื่ออะไร หากเพียงแค่ให้มาเปลี่ยนโลก ข้าก็พร้อมจะทำ”

“เจ้านี่ เข้มแข็งเหมือนท่านลอร์ดไวร์เวนจริงๆ”

“ดูสิ”

จู่ ๆ เงาดำก็เริ่มไหลจากปลายนิ้ว เพียงแค่คิดพร้อมจะสู้…พลังเวทก็ล่องลอยออกมาคล้ายหมอกควันในเงามืด มันค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า แล้วเริ่มบิดตัวแปรเปลี่ยนรูปร่างตามจินตนาการของเธอ

ครั้งหนึ่ง กลายเป็นใบมีดยาวเรียว อีกครา แส้เส้นยาวสะบัดในอากาศ ถัดไป หอกยาวที่ปลายคมกริบ ทุกครั้งที่จินตนาการมันจะแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธควันดำพลันเปลี่ยนตามใจนึกคิดของเธอ แต่ทว่ายังไม่มั่นคงนัก เพียงเธอขยับกาย หัวใจจดจ่อไม่คงที่ มันก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลีสีดำ แล้วปลิวหายไปในอากาศ แม้จะยังไม่เสถียร…แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็น ครั้งแรกที่ ‘เธอตื่นเต้น’…ครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าสิ่งที่สถิตอยู่ภายในตัวเธอนั้น รับฟังเธอ

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เอริคถามด้วยความสงสัย เมื่อเขาเห็นเธอปล่อยพลังออกมาสร้างเป็นรูปทรงอาวุธได้

วาร์นขมวดคิ้วแล้วกอดเข่าตัวเอง “ท่านบอกข้าเองว่าพลังของข้าสร้างได้ทุกอย่างตามที่ข้าต้องการ เพียงแค่คิด” วาร์นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เงาดำก่อตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คล้ายเป็นสนับมือมีหนามแหลมที่ฝ่ามือ แต่พอเธอลองกำหมัดแน่นแล้วต่อยอากาศข้างหน้า มันก็แตกเป็นฝุ่นดำในทันที

“เจ้าคิดจะต่อยข้างั้นรึ!?”เอริคตะโกนถาม

เธอถอนหายใจ “ก็คุณมันน่าหมั่นไส้นี่นา!”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”

“ข้าบอกว่าท่านเป็นคนที่น่าเบื่อจนอยากชกให้หน้าหัก” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจัง กึ่งล้อเลียน

เอริคคิ้วขมวดเข้าหากัน มุมปากกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากำลังพยายามเก็บงำอารมณ์ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้กับวาร์น “เจ้าคงอยากฝึกต่อ ข้าย่อมเป็นคู่ให้เจ้าได้ตลอดทั้งวัน เข้ามา!”

วาร์นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปยืนนิ่งกลางลานฝึก แววตาของเธอนิ่งแน่ว พลังเวทอัคคีทมิฬกำลังลุกโชนในกำมือ เธอกำหมัดแน่น ร่างกายโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ขาแยกออกจากกันเพื่อเตรียมรับแรงกระแทก “หากใช้อาวุธไม่เป็น…ถ้าอย่างนั้น…ก็สู้ด้วยมือเปล่า ข้าจะสร้างอาวุธด้วยมือสองข้างนี้เอง!” เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วปล่อยออกมา พร้อมกับเหวี่ยงหมัดไปข้างหน้า!

เปรี้ยง!!

เมื่อวาร์นปล่อยหมัดที่รุนแรงราวกับฟ้าผ่า เปลวเพลิงนิลปะทุออกมาจากกำปั้นอย่างมหาศาลจนฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ ต้องกระพือปีกกระจายหนีตาย เธอพุ่งเข้าใส่เอริค ทว่าเขากลับแยกขา ถอยห่างจากเธอได้ทันท่วงที พลังทำลายล้างรุนแรงจนต้นไม้ด้านหลังเขาระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เหลือเพียงโพรงขนาดใหญ่ที่ไหม้เกรียม เอริคถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะ “ใช้ได้!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นัยน์ตาฉายแววไฟลุกเป็นประกาย

“ระวังให้ดี” วาร์นเอ่ยขึ้นทั้งที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง

การปะทะเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด เอริคยิ้มกว้างอย่างนักสู้ที่ได้พบเจอคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ เขากวัดแกว่งมือคมดาบเวทมนตร์พลันปรากฏขึ้นในอากาศ แสงสีเงินวาววับสะท้อนประกายแดด เขาสับคมดาบลงหมายจะผ่ากลางลำตัวของวาร์น แต่เพียงพริบตา วาร์นก็ดีดตัวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงาเพลิงทมิฬ พุ่งออกจากฝ่ามือกลายเป็นโล่กำบังทรงกลม ต้านรับคมดาบของเอริคไว้ได้อย่างเฉียดฉิว เสียงปะทะกันดังสนั่นสะท้อนไปทั่วลานฝึก เศษดินและกรวดปลิวว่อน

เอริคไม่รอช้า เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง หอกเวทมนตร์ปรากฏขึ้นแล้วพุ่งตรงเข้าใส่หมายจะตรึงร่างของวาร์นให้ติดกับพื้น ทว่าวาร์นเร็วกว่า เธอหลบหลีกคมหอกได้อย่างคล่องแคล่ว พลางหมุนตัวพร้อมทำมือผสานสร้างเงาดำแปรเปลี่ยนเป็นแส้ สะบัดฟาดใส่เอริคราวกับอสรพิษร้าย แส้นิลตวัดรัดแขนของเขาไว้แน่น เอริคถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อถูกรัดจนรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่มหาศาล เขาพยายามดึงแขนออก แต่แส้ก็รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่เลวเลยนี่นา!” เอริคกล่าว น้ำเสียงยังคงเปี่ยมด้วยความสนุกสนานแต่ใบหน้านั้นแสดงความเจ็บปวด เขากำหมัดแน่น พลังเวทมนตร์สีทองระเบิดออกมาจากร่าง ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของแส้นิลได้อย่างง่ายดาย แส้สลายกลายเป็นควันดำจางหายไปในอากาศ

วาร์นยิ้มกริ่ม เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น เธอชูดมือขึ้นเหนือศีรษะ ก้อนพลังงานสีดำ ค่อยๆ ก่อตัวรวมกัน หมุนวนเป็นเกลียวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เอริคราวกับพายุทอร์นาโดสีดำ เขาไม่หลบแต่กลับยืนนิ่ง มือกำแน่นเช่นกัน ดาบใหญ่ขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นตรงหน้า ฟันผ่าก้อนพลังงานสีดำจนแตกกระจายไปรอบทิศทาง พลังงานที่แตกกระจายไปกระทบต้นไม้รอบๆ จนเกิดรอยไหม้เกรียมไปทั่ว

การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร อาวุธนับร้อยนับพันชนิด ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาและทำลายลงไปในพริบตา ทั้งคมดาบ เวทมนตร์ หอก ธนู หรือแม้กระทั่งโล่ป้องกัน ถูกเรียกใช้ตามใจนึกของทั้งสองราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พวกเขากระโดดหลบและหลีกเลี่ยงและตอบโต้ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหวราวกับอสนีบาตไม่หยุดหย่อน ลานฝึกในบัดนี้กลายเป็นสมรภูมิแห่งพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้

การปะทะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หากแต่จังหวะการโจมตีของทั้งสองก็เริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ ร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างว่องไวเมื่อครู่ เริ่มปรากฏความเหนื่อยล้า ลมหายใจของวาร์นหอบถี่ พลังสีดำที่เคยพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วก็เริ่มลดทอนความเข้มข้นลง เช่นเดียวกับเอริคที่แม้จะยังคงร่ายอาวุธเวทมนตร์ออกมาได้อย่างต่อเนื่องแต่แววตาของเขาก็ฉายชัดถึงความอ่อนล้า

“ข้าขอพักก่อนได้ไหม”วาร์นเอ่ยเสียงเบา ใบหน้ามีเหงื่อผุดพราย“ข้าเริ่มหิวแล้วด้วยสิ”

เอริคชะงักไปเล็กน้อย เขาเองก็รู้สึกหมดแรงไม่แพ้กัน แต่ด้วยความที่เคยเป็นอดีตนักรบ เขาย่อมอยากจะสู้ต่อ ทว่าเมื่อนึกถึงฐานะของเด็กสาวตรงหน้า ผู้เป็นถึงคุณหนูแห่งตระกูลรัตติกาล เขาก็ถอนหายใจยอมรับในที่สุด

“เอาเถอะ” เขากล่าวพลางลดอาวุธในมือลง พลังเวทมนตร์สีทองที่เคยล้อมรอบกายค่อยๆ จางหายไป “เจ้าฝึกมาเกือบทั้งวันแล้ว กลับปราสาทกันเถอะ”

วาร์นยิ้มกว้าง เธอไม่ปริปากบ่นเรื่องความเหนื่อยล้า แต่กลับเดินนำเอริคออกจากลานฝึกตรงไปยังปราสาทอย่างกระตือรือร้น

ณ ปราสาท

ยามตะวันจวนจะลับขอบฟ้า

คียาน่าห์ยืนต้อนรับวาร์นแล้วพาไปยังห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ที่อบอวลไปด้วยไอน้ำและกลิ่นหอมของดอกไม้ เธอช่วยชำระล้างร่างกายของวาร์นอย่างอ่อนโยน บรรจงขัดผิวและสระผมให้เธออย่างทะนุถนอม ราวกับเธอนั้นเป็นเพียงตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็เลือกชุดที่งดงามที่สุดมาสวมใส่ให้วาร์น จัดแต่งทรงผมและพาเธอไปยังห้องอาหารที่อบอุ่นและสว่างไสว

ในยามนั้นเอง…

ณ ห้องกว้างทอดยาวจรดระเบียงที่มีหน้าต่างบานใหญ่ ร่างสูงยืนอยู่ตรงนั้น เสียงฝีเท้าก้าวหลัก ๆ ใกล้เข้าหาร่างสูงนั้น แสงตะวันแดงเคลื่อนสาดส่องผ่านหน้าต่างเผยให้เห็นเป็นลอร์ดไวร์เวน เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง อีกร่างปริศนาหนึ่งที่สนทนาอยู่กับเขานั้นเสมือนเป็นเงาของลอร์ดไวร์เวน ทว่าเมื่อเอริคเดินเข้ามาทัก ร่างนั้นก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง

“ข้ามารายงานการฝึกวันนี้” เอริคเอ่ยขึ้น

“ว่ามา…” ลอร์ดไวร์เวนก้าวผ่านแสงยามค่ำ ปารกฏใบหน้าคมคายชัดเจน

“นางมีความสามารถอ่านความคิดได้ตามที่ท่านเคยบอกข้า และข่าวดีคือนางผ่านการฝึกต่อสู้แล้ว ข้ารับประกันฝีมือของนางได้ ต่อไปเจ้าจะให้ข้าฝึกอะไรนางต่อ?” เอริคกล่าว น้ำเสียงจริงจังแต่แฝงความนับถือ

“ไม่มีบทเรียนอีกแล้ว ข้าจะส่งนางไปที่นั่น” ไวร์เวนเอ่ยช้าๆ ดวงตาคมกริบ จับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างลึกล้ำ

เอริคสบตาผู้เป็นสหาย “เจ้าจะทำอย่างไร?” ความสงสัยฉายชัดในแววตา

“สงครามระหว่างตอนเหนือกับตอนใต้กำลังจะอุบัติขึ้น พรุ่งนี้จะมีแขกมาพบข้า ข้าจะให้คียาน่าห์รับมือกับนาง ส่วนเจ้า…เก็บความคิดนี้ให้ลึกอย่าได้ให้นางล่วงรู้ได้” น้ำเสียงของไวร์เวนราบเรียบ หากแต่ถ้อยคำกลับหนักแน่น

“น้อมรับคำบัญชา” เอริคตอบอย่างหนักแน่น

“เจ้าไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์กับข้าก็ได้ เพื่อนยาก” ลอร์ดไวร์เวนเอ่ยพลางคลี่ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก

เอริคพยักหน้าเบาๆ “รับทราบ”

ลอร์ดไวร์เวนไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากความนิ่งเงียบต่อไป เขาตวัดนิ้วเรียกสาวใช้ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล ในมือถือถาดน้ำชา

เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วจิบอย่างสงบ ราวกับทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

เอริคมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ค่อยๆ ห่างออกไป เขานึกถึงภาพเพื่อนสนิทกลางสนามรบซ้อนทับกับลอร์ดไวร์เวน ทว่าภาพในหัวนั้นทำให้เขารู้สึกปวดทั้วกระโหลก จึงส่ายหัวสละภาพอดีตให้ออกไป

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!