เวลา 22:48 น.
เมืองทั้งเมืองยังสว่างด้วยแสงนีออนของป้ายโฆษณาและไฟถนน แต่บนชั้น 49 ของตึกลู่ซิ่ว หลอดไฟทั้งหมดในห้องทำงานถูกปิดมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังค้างอยู่ในหน้าเอกสารเท่านั้นที่ให้แสงเงาอ่อน ๆ กับใบหน้าของประธานหญิงที่นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกสูง
อี้เจินหลานไม่ได้ทำงานแล้วจริงๆ
มือของเธอแตะแก้วไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งเบา ๆ นิ้วเรียวหมุนขอบแก้วอย่างไร้สติ ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแสงไฟในเมือง แต่ความคิดของเธอกลับหมุนไปไกลกว่านั้น
ความเงียบในห้องไม่ใช่สิ่งน่ากลัวที่สุด — แต่คือ “เสียงในใจ” ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันไม่มีระบบกล้องในห้อง
ทำไมเธอถึงรู้แม้กระทั่งจังหวะลมหายใจของฉัน
ทำไมฉันถึง…ปล่อยให้เธอรอดมาได้ทุกครั้ง
และที่สำคัญ…
ทำไมฉันถึงคิดถึงเธอจนไม่อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้น
เสียงประตูหลังห้องขยับเบา ๆ
ไม่มีเสียงเคาะ
ไม่มีเสียงแจ้งเตือน
แค่เพียงแรงบิดของมือคนหนึ่ง ที่ “รู้” ว่าระบบล็อกไม่ได้เปิดอยู่
เจินหลานหันขวับ — แต่ไม่มีอารมณ์โกรธบนใบหน้า
มีเพียงดวงตาเรียบนิ่ง…กับประกายบางอย่างที่เหมือนกำลังเตรียมใจรับอยู่ก่อนแล้ว
ซูเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น
ผมดำยาวปล่อยลงมาแทนที่จะรวบแบบทุกวัน ชุดนักศึกษาถูกถอดทิ้งไป มีเพียงเสื้อฮู้ดสีเทาเข้มกับกางเกงขาสั้น และดวงตาคู่นั้น ที่มองเธอเหมือนเคยมองมานานแล้ว
“ทำไมเธอถึงเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต”
เสียงของเจินหลานเรียบ แต่น้ำเสียงไม่มีความดุดันเลย
“เพราะหนูเคยอยู่ที่นี่มาก่อนค่ะ”
คำพูดนั้น ทำให้เธอชะงัก
“หมายความว่าไง?”
ซูเหยียนปิดประตูอย่างเบามือ
เดินเข้ามาใกล้ ไม่เร่ง แต่มั่นคงทุกก้าว
“เมื่อห้าปีก่อน…มีเด็กคนหนึ่งเคยหลงทางในงานอีเวนต์ของกลุ่มบริษัทนี้ ตอนนั้นฝนตก และเธอไปแอบอยู่ที่มุมหลังเวทีเพราะกลัว”
เจินหลานจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดสูทสีดำ สะพายไอแพดและมีตาเศร้ามาก…เดินเข้ามาหาเด็กคนนั้น แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้”
“เธอ…?”
ซูเหยียนยิ้มบางๆ
“หนูจำพี่ได้ตั้งแต่วันนั้น”
“แต่—”
“พี่จำไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนั้นพี่กำลังหาคำตอบเรื่องบริษัทในช่วงเปลี่ยนผ่าน หน้าพี่เครียดมาก เหมือนไม่ได้นอนมาเป็นอาทิตย์ แต่หนูกลับรู้สึกว่า…ไม่มีใครอบอุ่นกว่านี้อีกแล้ว”
เจินหลานนิ่งไป
เธอจำเหตุการณ์นั้นได้ — แต่ไม่ได้จำเด็กผู้หญิงคนนั้นเลย
เธอจำได้แค่…ฝนตก
เธอเหนื่อยจนตัวสั่น และไปเจอเด็กคนหนึ่งที่นั่งหลบอยู่หลังฉาก และเธอยื่นผ้าเช็ดหน้าให้โดยไม่คิดอะไร
แต่สำหรับเด็กคนนั้น…
“พี่คือคนแรกที่สังเกตเห็นหนูในตอนที่ไม่มีใครมองเลยด้วยซ้ำ”
“หนูเคยสาบานกับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งโตพอ หนูจะกลับมาหา…”
เสียงแผ่วลง
“…แล้วทำให้พี่ไม่มีทางลืมหนูไปได้อีกเลย”
เจินหลานหลับตาลง มือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเล็กน้อย
“แล้วตอนนี้ล่ะ…จะทำยังไงต่อ ถ้าเธอทำให้ฉันลืมเธอไม่ได้แล้วจริง ๆ”
ซูเหยียนเดินมาใกล้อีกก้าว
เธอวางมือบนหัวเข่าของเจินหลาน แล้วนั่งลงตรงหน้าช้าๆ เงยหน้ามองเธอเหมือนเด็กคนเดิมที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อห้าปีก่อน
“หนูไม่อยากเป็นแค่ความลับแล้วค่ะ…”
ฝ่ามือของเธอแตะลงบนข้อมือของเจินหลาน
แล้วลากเบา ๆ ขึ้นไปจนถึงไหล่ ช้า ๆ นุ่มนวล
“แต่ถ้าพี่บอกว่ามันจะพัง ถ้าหนูเปิดเผย…”
“งั้นหนูก็จะเป็นความลับที่ทำให้พี่สุขที่สุดก็ได้”
เจินหลานโน้มตัวลงช้าๆ
หน้าผากของทั้งสองสัมผัสกันเบา ๆ
ไม่มีคำพูดใด
ไม่มีคำอธิบาย
มีเพียงจังหวะลมหายใจที่ตรงกัน
และมือที่ประสานกันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นซูเหยียนก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ตเธออย่างช้า ๆ
ไม่ใช่เพื่อเร่ง
แต่เพื่อ “ขออนุญาต”
เจินหลานไม่หยุด
เธอเพียงยกมือขึ้นแตะแก้มอีกฝ่าย
“ฉันกลัวนะ…”
“หนูก็กลัวค่ะ แต่ถ้าพี่สั่น หนูจะเป็นมือที่กอดพี่ไว้เอง”
ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง
แต่ในเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยลมหายใจสองคน
พวกเธอไม่ต้องมีคำพูดว่ารัก
ไม่ต้องพูดว่าเป็นของกันและกัน
ร่างทั้งสองเพียงแค่ขยับใกล้กันช้าๆ
จูบกันอย่างเบาที่สุด
สัมผัสกันในระดับที่ลึกที่สุด
โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหนังใดเปลือย
ซูเหยียนพิงอยู่บนอกของเจินหลานที่นั่งพิงเก้าอี้ มือของเธอกอดรอบเอวอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนเด็กเล็ก
“คืนนี้…อย่าฝันถึงใครเลยนะคะ นอกจากหนูคนเดียว”
“อืม…”
และก่อนที่ทั้งสองจะหลับไป
เจินหลานเอ่ยออกมาเบา ๆ ราวกับฝัน
“ฉันจำเธอไม่ได้…แต่ใจฉันรู้ว่าเธอคือคนสำคัญ”
…
และโลกของเธอ ก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ห้องฝึกงานชั้น 47 ในช่วงสายของวันศุกร์เริ่มคึกคักกว่าปกติเล็กน้อย อาจเพราะใกล้สิ้นสัปดาห์ หรือเพราะวันนี้เป็นวันมอบหมายงานภาคสนามจากฝ่ายการตลาด ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกงานสามารถเลือก “ติดตามงานภาคปฏิบัติ” กับทีมบริหารได้โดยตรง
เสียงพูดคุยดังเบา ๆ ภายในห้องประชุมเล็ก
แต่ในมุมใกล้หน้าต่าง ร่างของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งยังคงนั่งสงบนิ่ง ก้มหน้าจดบันทึกอย่างไม่สนใจใคร
ซูเหยียนในวันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับปลายแขนเล็กน้อย กระโปรงดำเข้ารูป และผูกผมครึ่งศีรษะ ทำให้ดูเรียบร้อยแต่ก็มีเสน่ห์แปลกตาอย่างประหลาด
ชายหนุ่มในแผนกฝ่ายกลยุทธ์ที่เข้ามาเป็นแขกรับเชิญในห้อง แอบเหลือบมองเธอเป็นระยะ ๆ ระหว่างที่พูดถึงโครงการ
และตอนที่เขาเดินไปยืนข้างโต๊ะเธอเพื่อชี้กราฟที่ฉายบนหน้าจอ
ซูเหยียนก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย — แล้วยิ้มบาง ๆ
เป็นรอยยิ้มมารยาทธรรมดา
แต่ผู้ชายคนนั้นหน้าแดงทันที
และสิ่งที่เธอไม่รู้คือ…
มุมกล้องฝั่งขวาของห้องนั้น เชื่อมต่อกับห้องควบคุมชั้นบนสุดโดยตรง
เพราะเป็นห้องที่ประธานสั่งติดตั้งระบบสังเกตการณ์ไว้สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพทีมฝึกงานโดยเฉพาะ
และอี้เจินหลาน…กำลังนั่งไขว้ขาอยู่หน้าจอนั้น พร้อมกาแฟดำที่ยังไม่ถูกแตะ
เธอไม่ขยับ
ไม่พูด
แต่แววตาใต้ขนตายาวนั้นเย็นลงทุกวินาที
เธอเห็นสายตาผู้ชายคนนั้น
เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น
และที่เธอรู้สึกชัดที่สุดคือ — เธอไม่ชอบเลย
…
หกโมงเย็น
พนักงานทยอยกลับออกจากตึก
แต่ซูเหยียนยังอยู่
เธอได้รับข้อความสั้น ๆ จากผู้ช่วยประธานว่า “ให้นำรายงานต้นฉบับขึ้นไปส่งโดยตรงที่ห้องประธานก่อนกลับ”
ไม่มีชื่อผู้ส่ง
แต่เธอรู้ว่าใครสั่ง
เธอเดินขึ้นชั้น 49 ด้วยฝีเท้านิ่ง
และเมื่อเปิดประตูเข้าไป
ก็พบว่าห้องมืดเกือบทั้งห้อง มีเพียงแสงไฟจากโต๊ะทำงานของอี้เจินหลานที่เปิดไว้ และเจ้าของร่างสูงสงบกำลังนั่งไขว้ขา พิงเก้าอี้ หันหน้าออกไปทางกระจก
ซูเหยียนวางรายงานลงบนโต๊ะช้า ๆ
“พี่เรียกหนูมาเหรอคะ?”
ไม่มีเสียงตอบ
เธอเดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลังเบา ๆ
จนกระทั่งหยุดอยู่ข้างเก้าอี้
“…เป็นอะไรคะ?”
เจินหลานพูดช้า ๆ โดยไม่หันกลับมา
“เธอยิ้มให้เขา”
“…”
“ฉันเห็น”
ซูเหยียนหรี่ตาเล็กน้อย
ไม่ปฏิเสธ
แต่ก็ไม่พูดอะไร
“รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของฉัน”
เสียงนั้นเบา และไม่มีแววโกรธ แต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงทันที
ซูเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งแตะแผ่นหลังของเก้าอี้เบา ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้หูของอีกฝ่าย
“พี่หึงเหรอคะ?”
เจินหลานหันกลับมาในจังหวะนั้น
เร็ว
แน่น
และสายตา…เฉียบคมจนซูเหยียนแทบหยุดหายใจ
“เธอคิดว่าเธอควรเล่นแบบนี้กับฉันเหรอ ซูเหยียน?”
ยังไม่ทันได้ตอบ
ข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไว้แน่น — ร่างเธอถูกดึงลงไปกระแทกกับโซฟายาวด้านข้างห้องในชั่วพริบตา
เธอล้มลงนั่ง และอีกฝ่ายก็โน้มตัวตามมาอย่างเงียบ ๆ
เจินหลานยกมือขึ้น
ปลายนิ้วแตะที่คางของซูเหยียน
แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตากันตรง ๆ
“ครั้งหน้า…ถ้าคิดจะยิ้มให้ใครอีก — ก็เตรียมใจไว้ให้ดีว่าฉันจะทำยังไงกับเธอ”
เสียงกระซิบเบามาก
แต่แรงกดของมือกลับไม่เบาเลย
“หรือหนูจะลองตอนนี้เลยก็ได้นะคะ”
ซูเหยียนยิ้มบาง ๆ
ในแววตามีประกายบางอย่างที่เจินหลานคุ้นดี — ดื้อเงียบ
เธอลากฝ่ามือขึ้นจากเอวของอีกฝ่าย วางไว้ที่หน้าอกของเจินหลานตรงตำแหน่งหัวใจ
“มันเต้นแรงมากเลยนะคะ”
“พี่แสดงออกไม่ได้ แต่หนูรู้…”
เจินหลานยิ้มเย็น
“งั้นเธอควรรู้ด้วยว่าฉันจะลงโทษเธอยังไงเวลาหึง”
พูดจบ เธอก็โน้มตัวลงจูบอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นทันที
ไม่อ่อนโยน
ไม่รออนุญาต
แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บไว้มาทั้งวัน
ซูเหยียนไม่ขัด
กลับจูบตอบอย่างแนบเนียน
มือเธอเลื่อนไปที่ต้นคอของเจินหลานแล้วดึงอีกฝ่ายลงมาแนบชิดขึ้นอีก
จากนั้นเธอก็พลิกตัวขึ้นช้า ๆ จนกลายเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน
เจินหลานชะงัก
“ทำอะไรของเธอ…”
ซูเหยียนโน้มตัวลง จูบเบา ๆ ที่มุมปากอีกฝ่าย พร้อมกระซิบ
“เมื่อกี้พี่หึง…”
“ตอนนี้หนูก็หึงค่ะ เพราะสายตาผู้หญิงแผนกบัญชีคนหนึ่งมองพี่ตอนประชุมเมื่อเช้า หนูเห็น…”
เจินหลานเบิกตากว้าง
“เธอ…”
“แล้วหนูก็ไม่ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้นด้วยนะคะ มันเป็นรอยยิ้มมารยาท…”
“แต่กับพี่ หนูจะไม่ยิ้มเฉย ๆ หรอก”
เธอก้มลงแตะแนบริมฝีปากบนลำคออีกฝ่าย
ลากไล้ลงมาช้า ๆ จนถึงไหปลาร้า
แล้วกระซิบเสียงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน:
“เพราะหนูอยากให้พี่รู้ว่า ไม่มีใคร…มีสิทธิ์มองหนู หรือครอบครองหนู นอกจากพี่คนเดียว”
…
ห้องทั้งห้องเงียบงัน
มีเพียงลมหายใจที่ปะทะกัน
และความจริงที่พวกเธอ “ไม่กล้าพูดต่อหน้าใคร”
ทั้งหวง
ทั้งรัก
และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเสียอีกคนให้ใคร
แม้จะต้องกลายเป็นนักโทษในอ้อมแขนของกันและกัน
…
และเมื่อทุกอย่างจบลง
เจินหลานนอนอยู่บนโซฟา หอบเบา ๆ ขณะมองเพดาน
ส่วนซูเหยียนพิงอยู่ตรงอกเธอ มือเกี่ยวกันไว้แน่น
“คืนนี้…ไม่ต้องลงโทษหนูแล้วนะคะ”
“หึ…จะขึ้นเองยังกล้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ”
“พี่ก็ชอบไม่ใช่เหรอ…”
เจินหลานไม่ตอบ
แต่กอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นช้า ๆ
ไม่ใช่เพราะยอมแพ้
แต่เพราะ…เธอรู้ตัวดีว่าไม่มีทางหนีออกจากอ้อมแขนของเด็กคนนี้ได้อีกแล้ว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments