3

เวลา 22:48 น.

เมืองทั้งเมืองยังสว่างด้วยแสงนีออนของป้ายโฆษณาและไฟถนน แต่บนชั้น 49 ของตึกลู่ซิ่ว หลอดไฟทั้งหมดในห้องทำงานถูกปิดมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังค้างอยู่ในหน้าเอกสารเท่านั้นที่ให้แสงเงาอ่อน ๆ กับใบหน้าของประธานหญิงที่นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกสูง

อี้เจินหลานไม่ได้ทำงานแล้วจริงๆ

มือของเธอแตะแก้วไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งเบา ๆ นิ้วเรียวหมุนขอบแก้วอย่างไร้สติ ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแสงไฟในเมือง แต่ความคิดของเธอกลับหมุนไปไกลกว่านั้น

ความเงียบในห้องไม่ใช่สิ่งน่ากลัวที่สุด — แต่คือ “เสียงในใจ” ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

ทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันไม่มีระบบกล้องในห้อง

ทำไมเธอถึงรู้แม้กระทั่งจังหวะลมหายใจของฉัน

ทำไมฉันถึง…ปล่อยให้เธอรอดมาได้ทุกครั้ง

และที่สำคัญ…

ทำไมฉันถึงคิดถึงเธอจนไม่อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้น

เสียงประตูหลังห้องขยับเบา ๆ

ไม่มีเสียงเคาะ

ไม่มีเสียงแจ้งเตือน

แค่เพียงแรงบิดของมือคนหนึ่ง ที่ “รู้” ว่าระบบล็อกไม่ได้เปิดอยู่

เจินหลานหันขวับ — แต่ไม่มีอารมณ์โกรธบนใบหน้า

มีเพียงดวงตาเรียบนิ่ง…กับประกายบางอย่างที่เหมือนกำลังเตรียมใจรับอยู่ก่อนแล้ว

ซูเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น

ผมดำยาวปล่อยลงมาแทนที่จะรวบแบบทุกวัน ชุดนักศึกษาถูกถอดทิ้งไป มีเพียงเสื้อฮู้ดสีเทาเข้มกับกางเกงขาสั้น และดวงตาคู่นั้น ที่มองเธอเหมือนเคยมองมานานแล้ว

“ทำไมเธอถึงเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต”

เสียงของเจินหลานเรียบ แต่น้ำเสียงไม่มีความดุดันเลย

“เพราะหนูเคยอยู่ที่นี่มาก่อนค่ะ”

คำพูดนั้น ทำให้เธอชะงัก

“หมายความว่าไง?”

ซูเหยียนปิดประตูอย่างเบามือ

เดินเข้ามาใกล้ ไม่เร่ง แต่มั่นคงทุกก้าว

“เมื่อห้าปีก่อน…มีเด็กคนหนึ่งเคยหลงทางในงานอีเวนต์ของกลุ่มบริษัทนี้ ตอนนั้นฝนตก และเธอไปแอบอยู่ที่มุมหลังเวทีเพราะกลัว”

เจินหลานจ้องอีกฝ่ายนิ่ง

“แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดสูทสีดำ สะพายไอแพดและมีตาเศร้ามาก…เดินเข้ามาหาเด็กคนนั้น แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้”

“เธอ…?”

ซูเหยียนยิ้มบางๆ

“หนูจำพี่ได้ตั้งแต่วันนั้น”

“แต่—”

“พี่จำไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนั้นพี่กำลังหาคำตอบเรื่องบริษัทในช่วงเปลี่ยนผ่าน หน้าพี่เครียดมาก เหมือนไม่ได้นอนมาเป็นอาทิตย์ แต่หนูกลับรู้สึกว่า…ไม่มีใครอบอุ่นกว่านี้อีกแล้ว”

เจินหลานนิ่งไป

เธอจำเหตุการณ์นั้นได้ — แต่ไม่ได้จำเด็กผู้หญิงคนนั้นเลย

เธอจำได้แค่…ฝนตก

เธอเหนื่อยจนตัวสั่น และไปเจอเด็กคนหนึ่งที่นั่งหลบอยู่หลังฉาก และเธอยื่นผ้าเช็ดหน้าให้โดยไม่คิดอะไร

แต่สำหรับเด็กคนนั้น…

“พี่คือคนแรกที่สังเกตเห็นหนูในตอนที่ไม่มีใครมองเลยด้วยซ้ำ”

“หนูเคยสาบานกับตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งโตพอ หนูจะกลับมาหา…”

เสียงแผ่วลง

“…แล้วทำให้พี่ไม่มีทางลืมหนูไปได้อีกเลย”

เจินหลานหลับตาลง มือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเล็กน้อย

“แล้วตอนนี้ล่ะ…จะทำยังไงต่อ ถ้าเธอทำให้ฉันลืมเธอไม่ได้แล้วจริง ๆ”

ซูเหยียนเดินมาใกล้อีกก้าว

เธอวางมือบนหัวเข่าของเจินหลาน แล้วนั่งลงตรงหน้าช้าๆ เงยหน้ามองเธอเหมือนเด็กคนเดิมที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อห้าปีก่อน

“หนูไม่อยากเป็นแค่ความลับแล้วค่ะ…”

ฝ่ามือของเธอแตะลงบนข้อมือของเจินหลาน

แล้วลากเบา ๆ ขึ้นไปจนถึงไหล่ ช้า ๆ นุ่มนวล

“แต่ถ้าพี่บอกว่ามันจะพัง ถ้าหนูเปิดเผย…”

“งั้นหนูก็จะเป็นความลับที่ทำให้พี่สุขที่สุดก็ได้”

เจินหลานโน้มตัวลงช้าๆ

หน้าผากของทั้งสองสัมผัสกันเบา ๆ

ไม่มีคำพูดใด

ไม่มีคำอธิบาย

มีเพียงจังหวะลมหายใจที่ตรงกัน

และมือที่ประสานกันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

จากนั้นซูเหยียนก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ตเธออย่างช้า ๆ

ไม่ใช่เพื่อเร่ง

แต่เพื่อ “ขออนุญาต”

เจินหลานไม่หยุด

เธอเพียงยกมือขึ้นแตะแก้มอีกฝ่าย

“ฉันกลัวนะ…”

“หนูก็กลัวค่ะ แต่ถ้าพี่สั่น หนูจะเป็นมือที่กอดพี่ไว้เอง”

ห้องทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง

แต่ในเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยลมหายใจสองคน

พวกเธอไม่ต้องมีคำพูดว่ารัก

ไม่ต้องพูดว่าเป็นของกันและกัน

ร่างทั้งสองเพียงแค่ขยับใกล้กันช้าๆ

จูบกันอย่างเบาที่สุด

สัมผัสกันในระดับที่ลึกที่สุด

โดยไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหนังใดเปลือย

ซูเหยียนพิงอยู่บนอกของเจินหลานที่นั่งพิงเก้าอี้ มือของเธอกอดรอบเอวอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนเด็กเล็ก

“คืนนี้…อย่าฝันถึงใครเลยนะคะ นอกจากหนูคนเดียว”

“อืม…”

และก่อนที่ทั้งสองจะหลับไป

เจินหลานเอ่ยออกมาเบา ๆ ราวกับฝัน

“ฉันจำเธอไม่ได้…แต่ใจฉันรู้ว่าเธอคือคนสำคัญ”

และโลกของเธอ ก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ห้องฝึกงานชั้น 47 ในช่วงสายของวันศุกร์เริ่มคึกคักกว่าปกติเล็กน้อย อาจเพราะใกล้สิ้นสัปดาห์ หรือเพราะวันนี้เป็นวันมอบหมายงานภาคสนามจากฝ่ายการตลาด ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกงานสามารถเลือก “ติดตามงานภาคปฏิบัติ” กับทีมบริหารได้โดยตรง

เสียงพูดคุยดังเบา ๆ ภายในห้องประชุมเล็ก

แต่ในมุมใกล้หน้าต่าง ร่างของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งยังคงนั่งสงบนิ่ง ก้มหน้าจดบันทึกอย่างไม่สนใจใคร

ซูเหยียนในวันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับปลายแขนเล็กน้อย กระโปรงดำเข้ารูป และผูกผมครึ่งศีรษะ ทำให้ดูเรียบร้อยแต่ก็มีเสน่ห์แปลกตาอย่างประหลาด

ชายหนุ่มในแผนกฝ่ายกลยุทธ์ที่เข้ามาเป็นแขกรับเชิญในห้อง แอบเหลือบมองเธอเป็นระยะ ๆ ระหว่างที่พูดถึงโครงการ

และตอนที่เขาเดินไปยืนข้างโต๊ะเธอเพื่อชี้กราฟที่ฉายบนหน้าจอ

ซูเหยียนก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย — แล้วยิ้มบาง ๆ

เป็นรอยยิ้มมารยาทธรรมดา

แต่ผู้ชายคนนั้นหน้าแดงทันที

และสิ่งที่เธอไม่รู้คือ…

มุมกล้องฝั่งขวาของห้องนั้น เชื่อมต่อกับห้องควบคุมชั้นบนสุดโดยตรง

เพราะเป็นห้องที่ประธานสั่งติดตั้งระบบสังเกตการณ์ไว้สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพทีมฝึกงานโดยเฉพาะ

และอี้เจินหลาน…กำลังนั่งไขว้ขาอยู่หน้าจอนั้น พร้อมกาแฟดำที่ยังไม่ถูกแตะ

เธอไม่ขยับ

ไม่พูด

แต่แววตาใต้ขนตายาวนั้นเย็นลงทุกวินาที

เธอเห็นสายตาผู้ชายคนนั้น

เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น

และที่เธอรู้สึกชัดที่สุดคือ — เธอไม่ชอบเลย

หกโมงเย็น

พนักงานทยอยกลับออกจากตึก

แต่ซูเหยียนยังอยู่

เธอได้รับข้อความสั้น ๆ จากผู้ช่วยประธานว่า “ให้นำรายงานต้นฉบับขึ้นไปส่งโดยตรงที่ห้องประธานก่อนกลับ”

ไม่มีชื่อผู้ส่ง

แต่เธอรู้ว่าใครสั่ง

เธอเดินขึ้นชั้น 49 ด้วยฝีเท้านิ่ง

และเมื่อเปิดประตูเข้าไป

ก็พบว่าห้องมืดเกือบทั้งห้อง มีเพียงแสงไฟจากโต๊ะทำงานของอี้เจินหลานที่เปิดไว้ และเจ้าของร่างสูงสงบกำลังนั่งไขว้ขา พิงเก้าอี้ หันหน้าออกไปทางกระจก

ซูเหยียนวางรายงานลงบนโต๊ะช้า ๆ

“พี่เรียกหนูมาเหรอคะ?”

ไม่มีเสียงตอบ

เธอเดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลังเบา ๆ

จนกระทั่งหยุดอยู่ข้างเก้าอี้

“…เป็นอะไรคะ?”

เจินหลานพูดช้า ๆ โดยไม่หันกลับมา

“เธอยิ้มให้เขา”

“…”

“ฉันเห็น”

ซูเหยียนหรี่ตาเล็กน้อย

ไม่ปฏิเสธ

แต่ก็ไม่พูดอะไร

“รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของฉัน”

เสียงนั้นเบา และไม่มีแววโกรธ แต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงทันที

ซูเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มือข้างหนึ่งแตะแผ่นหลังของเก้าอี้เบา ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้หูของอีกฝ่าย

“พี่หึงเหรอคะ?”

เจินหลานหันกลับมาในจังหวะนั้น

เร็ว

แน่น

และสายตา…เฉียบคมจนซูเหยียนแทบหยุดหายใจ

“เธอคิดว่าเธอควรเล่นแบบนี้กับฉันเหรอ ซูเหยียน?”

ยังไม่ทันได้ตอบ

ข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไว้แน่น — ร่างเธอถูกดึงลงไปกระแทกกับโซฟายาวด้านข้างห้องในชั่วพริบตา

เธอล้มลงนั่ง และอีกฝ่ายก็โน้มตัวตามมาอย่างเงียบ ๆ

เจินหลานยกมือขึ้น

ปลายนิ้วแตะที่คางของซูเหยียน

แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตากันตรง ๆ

“ครั้งหน้า…ถ้าคิดจะยิ้มให้ใครอีก — ก็เตรียมใจไว้ให้ดีว่าฉันจะทำยังไงกับเธอ”

เสียงกระซิบเบามาก

แต่แรงกดของมือกลับไม่เบาเลย

“หรือหนูจะลองตอนนี้เลยก็ได้นะคะ”

ซูเหยียนยิ้มบาง ๆ

ในแววตามีประกายบางอย่างที่เจินหลานคุ้นดี — ดื้อเงียบ

เธอลากฝ่ามือขึ้นจากเอวของอีกฝ่าย วางไว้ที่หน้าอกของเจินหลานตรงตำแหน่งหัวใจ

“มันเต้นแรงมากเลยนะคะ”

“พี่แสดงออกไม่ได้ แต่หนูรู้…”

เจินหลานยิ้มเย็น

“งั้นเธอควรรู้ด้วยว่าฉันจะลงโทษเธอยังไงเวลาหึง”

พูดจบ เธอก็โน้มตัวลงจูบอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นทันที

ไม่อ่อนโยน

ไม่รออนุญาต

แต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่เก็บไว้มาทั้งวัน

ซูเหยียนไม่ขัด

กลับจูบตอบอย่างแนบเนียน

มือเธอเลื่อนไปที่ต้นคอของเจินหลานแล้วดึงอีกฝ่ายลงมาแนบชิดขึ้นอีก

จากนั้นเธอก็พลิกตัวขึ้นช้า ๆ จนกลายเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน

เจินหลานชะงัก

“ทำอะไรของเธอ…”

ซูเหยียนโน้มตัวลง จูบเบา ๆ ที่มุมปากอีกฝ่าย พร้อมกระซิบ

“เมื่อกี้พี่หึง…”

“ตอนนี้หนูก็หึงค่ะ เพราะสายตาผู้หญิงแผนกบัญชีคนหนึ่งมองพี่ตอนประชุมเมื่อเช้า หนูเห็น…”

เจินหลานเบิกตากว้าง

“เธอ…”

“แล้วหนูก็ไม่ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้นด้วยนะคะ มันเป็นรอยยิ้มมารยาท…”

“แต่กับพี่ หนูจะไม่ยิ้มเฉย ๆ หรอก”

เธอก้มลงแตะแนบริมฝีปากบนลำคออีกฝ่าย

ลากไล้ลงมาช้า ๆ จนถึงไหปลาร้า

แล้วกระซิบเสียงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน:

“เพราะหนูอยากให้พี่รู้ว่า ไม่มีใคร…มีสิทธิ์มองหนู หรือครอบครองหนู นอกจากพี่คนเดียว”

ห้องทั้งห้องเงียบงัน

มีเพียงลมหายใจที่ปะทะกัน

และความจริงที่พวกเธอ “ไม่กล้าพูดต่อหน้าใคร”

ทั้งหวง

ทั้งรัก

และต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเสียอีกคนให้ใคร

แม้จะต้องกลายเป็นนักโทษในอ้อมแขนของกันและกัน

และเมื่อทุกอย่างจบลง

เจินหลานนอนอยู่บนโซฟา หอบเบา ๆ ขณะมองเพดาน

ส่วนซูเหยียนพิงอยู่ตรงอกเธอ มือเกี่ยวกันไว้แน่น

“คืนนี้…ไม่ต้องลงโทษหนูแล้วนะคะ”

“หึ…จะขึ้นเองยังกล้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ”

“พี่ก็ชอบไม่ใช่เหรอ…”

เจินหลานไม่ตอบ

แต่กอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นช้า ๆ

ไม่ใช่เพราะยอมแพ้

แต่เพราะ…เธอรู้ตัวดีว่าไม่มีทางหนีออกจากอ้อมแขนของเด็กคนนี้ได้อีกแล้ว

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 5

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!