เธอเป็นความลับของฉัน

เธอเป็นความลับของฉัน

1

บทนำ

พื้นที่ชั้นบนสุดของตึกกระจกสูงตระหง่าน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยม่านทึบและความเงียบ

ห้องทำงานประธานใหญ่แห่งบริษัทยักษ์ระดับประเทศ กำลังมีใครบางคนทรุดเข่าลงข้างโซฟาหนังแท้

เสียงซิปถูกรูดขึ้นอย่างแผ่วเบา

“ถ้ารุกขนาดนี้อีกครั้ง ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอกลับไปเรียนอีกแน่”

เสียงหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ย ดวงตานิ่งสนิท แต่ในนั้นมีรอยสะท้อนของเปลวไฟที่เธอไม่กล้าดับ

และอีกเสียงหนึ่ง—สดใส ติดจะเย้าแหย่แต่ดื้อรั้น—เอ่ยขึ้น

“ถ้าพี่ไม่ให้ไปเรียน งั้นหนูก็ลาออกแล้วมาอยู่กับพี่ทุกวันดีมั้ยคะ?”

มือเล็กวางบนหน้าขาเธอเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม

เธอเป็นแค่ “นักศึกษา”

แต่กลับทำให้ “ประธานบริษัท” อย่างฉัน—หยุดไม่อยู่แม้แต่นาทีเดียว

ตอนที่ 1: ความลับใต้แสงไฟ

เสียงส้นรองเท้าสะท้อนก้องในลิฟต์กระจก เมื่อประตูเปิดที่ชั้นสูงสุด หญิงสาวในชุดสูทสีดำสนิทก้าวออกมาอย่างมั่นคง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอชัดเจน สงบ และแฝงอำนาจ

ชื่อของเธอคือ “อี้เจินหลาน” ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ในสายเทคโนโลยี อายุเพียง 31 ปี แต่กลับสร้างอาณาจักรที่มีมูลค่าเกินแสนล้าน

เธอไม่ใช่หญิงที่ใครจะเข้าถึงได้ง่าย

แต่เย็นวันนี้ เธอกลับเดินไปหยุดที่ประตูด้านในสุด

กดรหัสลับ ก้มลงถอนหายใจ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องพักส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่

บนโซฟา—มีหญิงสาวอีกคนกำลังนั่งไขว่ห้าง แสงไฟสีส้มนวลจากโคมตั้งพื้นส่องให้เห็นแววตาเป็นประกายอย่างดื้อรั้น

“พี่เลิกงานซะที” เสียงเธอหวานปนล้อเลียน

ชื่อของเธอคือ “ซูเหยียน” นักศึกษาปีสี่คณะนิเทศศาสตร์ อายุ 22 ปี

เธอไม่ควรอยู่ในห้องนี้ ไม่ควรอยู่ในชีวิตของอี้เจินหลาน

แต่กลับอยู่…ลึกยิ่งกว่าผู้บริหารคนใดเสียอีก

“เธอข้ามเส้นแล้วรู้ตัวไหม?”

“พี่เป็นคนดึงหนูข้ามมาเองนะคะ”

เจินหลานไม่ตอบ เพียงถอดสูทออกแล้วนั่งลงข้างกัน

บรรยากาศในห้องเงียบเกินไป แต่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าที่พุ่งพล่านระหว่างสองสายตา

ไม่มีใครรู้…

ไม่มีใครเห็น…

แม้แต่ทีมงานส่วนตัวของประธาน ก็ไม่รู้ว่านักศึกษาคนหนึ่งคือคนที่ประธานยอมให้จูบกลางโต๊ะทำงาน

สามเดือนก่อน…

ห้องสัมภาษณ์ฝึกงานของบริษัท “ลู่ซิ่วกรุ๊ป” ยังคงเงียบ แม้เวลาจะเลยบ่ายสองไปแล้ว

หญิงสาวในชุดนักศึกษาสีครีมเรียบสะอาดนั่งหลังตรง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องตรงไปที่ประตูด้านหน้าอย่างไม่หวั่นไหว

เธอชื่อ ซูเหยียน

นักศึกษาปีสี่ที่หลายคนเคยสบประมาทว่าไม่มีทางได้เข้าสัมภาษณ์บริษัทระดับชาติ

แต่ในวันนี้—เธอคือผู้เข้ารอบสุดท้ายเพียงคนเดียว

ประตูไม้บานใหญ่เปิดออกช้าๆ เสียงส้นรองเท้าสีดำแตะพื้นหินอ่อนทีละก้าว—มั่นคง เย็นชา และแฝงแรงกดดันไม่รู้จบ

คนที่เดินเข้ามาคือเธอ—อี้เจินหลาน

ในชุดสูทสีดำเนื้อเงา ท่าทางไม่รีบแต่กลับทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที

เธอไม่ได้พูดอะไร

เพียงนั่งลงด้านหน้าหญิงสาวคนนั้น เหลือบตามองแฟ้มประวัติบางๆ บนโต๊ะ แล้วเปิดอ่าน

ห้องทั้งห้องเงียบสนิท เหมือนเวลาหยุดนิ่ง

“คุณเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยกลุ่ม A และไม่มีเส้นสายภายใน…ทำไมคุณถึงยังกล้ามาสมัคร?”

คำถามแรกของประธานบริษัท ไม่ได้เป็นคำถามทั่วไป แต่เป็นแรงกระแทกกลายๆ

แต่ซูเหยียนกลับยิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่รอยยิ้มหวาน แต่เป็นรอยยิ้มที่มั่นใจในตัวเอง

“เพราะฉันเชื่อว่าคนเก่งน่ะ ต่อให้ไม่มีพื้นฐาน ก็สามารถไปให้ถึงได้—ถ้ามีคนเปิดโอกาส”

ประธานหญิงเลิกคิ้ว

หญิงสาวตรงหน้ากล้าสบตาเธอตรงๆ โดยไม่หลบแม้แต่น้อย

เธอปิดแฟ้มในมือลงเบาๆ ก่อนพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย

“กล้าแสดงออกดี…แต่ที่นี่ไม่ใช่เวทีแสดงความฝัน บริษัทของฉันไม่รับเด็กที่ทำตัวเป็นนางเอกนิยาย”

คำพูดของเธอเรียบ เหมือนตบหน้าเบาๆ โดยไม่ต้องยกมือ

แต่ซูเหยียนกลับตอบทันควัน โดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า

“แล้วประธานเคยเจอ ‘นางร้าย’ ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าใกล้คนที่ตัวเองสนใจไหมคะ?”

เสียงในห้องเงียบลงอีกครั้ง

คราวนี้อี้เจินหลานชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที

ก่อนจะเปลี่ยนจากเรียบเฉยเป็นสบตานิ่งด้วยแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก

…สนใจ?

เด็กคนนี้กล้าพูดอะไรแบบนั้นกับเธอ?

“เธอรู้ไหม ว่าคำพูดแบบนั้นทำให้ฉันไม่อยากรับเธอเข้าทำงานเลย”

“แต่พี่จะรับอยู่ดี”

“เพราะพี่อยากรู้ว่าฉันจะ ‘กล้า’ แค่ไหน…ใช่ไหมคะ?”

ความเงียบระหว่างทั้งสองขยายออก

แต่มันไม่ใช่ความอึดอัดอีกต่อไป—มันคือแรงดึงดูด

สายตาของทั้งสองปะทะกันอย่างเปิดเผย ราวกับสนามประลองที่ใช้คำพูดแทนดาบ

ในตอนนั้นเอง

อี้เจินหลานวางแฟ้มลง

โน้มตัวไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป

“เธอรู้ไหม ว่าฉันไม่ชอบเด็กที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร”

“โดยเฉพาะ…เด็กที่ทำให้ฉันหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง”

ซูเหยียนยิ้ม

สายตาเธอสะท้อนบางอย่างที่ลึกล้ำเกินกว่านักศึกษาทั่วไป

“แต่พี่ก็มองอยู่…ใช่ไหมล่ะคะ?”

หลังสัมภาษณ์

ไม่มีใครรู้ว่าซูเหยียนได้รับการตอบรับจากประธานโดยตรง

ไม่มีอีเมล ไม่มีลายเซ็นบนเอกสารใด

แต่หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เธอได้รับบัตรผ่านเข้าเขตพิเศษของบริษัท พร้อมข้อความสั้นเพียงหนึ่งประโยค:

“ถ้าเธอกล้าเข้ามา ก็อย่าหวังจะถอยได้อีก”

เวลาห้าโมงเย็น — ผู้คนทยอยออกจากออฟฟิศ

ชั้น 49 ของตึก “ลู่ซิ่วกรุ๊ป” เงียบสงัด ราวกับถูกตัดออกจากโลกทั้งใบ

ไฟสีขาวในห้องทำงานใหญ่ยังสว่างอยู่

ประธานหญิงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้เข้ม มือเรียวไล้ไปตามเอกสารชุดสุดท้ายที่เซ็น

แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นจากโซฟามุมห้อง

“พี่เลิกงานแล้วใช่ไหมคะ?”

อี้เจินหลานเหลือบตาขึ้น

เด็กคนนั้นยังอยู่

ซูเหยียน—ในชุดนักศึกษาชุดเดิมจากเช้า แต่ผมที่ถูกรวบไว้กลับปล่อยลง และกระโปรงที่เคยยาวถึงเข่าถูกพับเล็กน้อยขณะเธอนั่งไขว่ห้าง

“เธอเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้ว”

“พี่ก็ไม่เคยล็อกประตูนะคะ”

น้ำเสียงของซูเหยียนมีรอยยิ้ม

และในขณะที่อี้เจินหลานกำลังจะดุอีกครั้ง

หญิงสาวตรงหน้ากลับลุกขึ้น เดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกลิ่นแชมพูจางๆ

ซูเหยียนหยุดยืนตรงข้ามโต๊ะ

ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แนบแน่น

“หนูรู้ค่ะ ว่าพี่พยายามควบคุมทุกอย่าง…”

“แต่เวลาพี่มองหนู…มันไม่เหมือนตอนที่พี่มองพนักงานคนอื่นเลยสักนิด”

อี้เจินหลานชะงัก มือหยุดเซ็นกลางคัน

สายตาเธอเฉียบคมขึ้น ราวกับจะกางกำแพง

แต่ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากไล่

“เธอคิดว่าคำพูดแบบนั้นจะทำให้ฉันสนใจ?”

“เด็กฝึกงานไม่ควรทำตัวล้ำเส้น”

“งั้น…ถ้าหนูไม่ใช่เด็กฝึกงานล่ะคะ?”

“ถ้าหนูเป็นคนที่พี่เองก็หยุดคิดถึงไม่ได้ตั้งแต่วันแรก?”

จบคำพูดนั้น—ซูเหยียนโน้มตัวข้ามโต๊ะเล็กน้อย มือหนึ่งวางบนแฟ้มงาน

ระยะห่างระหว่างใบหน้าทั้งสองแค่ไม่กี่เซนติเมตร

เสียงนาฬิกาดัง “ติ๊ก… ติ๊ก…”

เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

“ออกไป”

อี้เจินหลานพูดเสียงเบา

แต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำสั่ง—มันคือเสียงที่สั่นเล็กน้อย และเจือปนด้วยความลังเล

“หรือจะให้หนูอยู่จนพี่ทำอะไรบางอย่างกับหนู?”

“ถ้าพี่ควบคุมไม่ได้…หนูก็ยินดีนะคะ”

ประธานหญิงหลับตาลงช้าๆ ราวกับกำลังกลั้นบางอย่างไว้ในอก

ก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ แต่ชัดเจน

“มานี่”

ซูเหยียนยิ้มมุมปาก เดินอ้อมโต๊ะมาช้าๆ จนมายืนข้างเก้าอี้

ทันใดนั้น อี้เจินหลานคว้าแขนเธอลงนั่งบนตักอย่างไม่ให้ตั้งตัว

มือเย็นเฉียบวางบนแผ่นหลัง เปลือกตาเปิดขึ้นช้าๆ

สายตานิ่งสงบ แต่ลึกจนยากหยั่งถึง

“ถ้าคิดจะเล่นกับไฟ…ก็อย่าหวังจะหนีตอนมันเริ่มไหม้”

“พี่จะเผาหนูก็ได้…”

คืนนั้น—แสงไฟในห้องทำงานถูกปิดลงแล้ว

แต่ห้องพักส่วนตัวที่เชื่อมต่อด้านหลังยังเปิดไฟสลัวๆ จากโคมข้างเตียง

อี้เจินหลานนั่งพิงหัวเตียง ชุดสูทยังไม่ถอด เพียงปลดกระดุมท่อนบน

สายตาของเธอทอดมองออกไปนอกกระจก ที่สะท้อนแสงเมืองเบื้องล่าง

เธอไม่ได้ขยับ

เหมือนกำลังรอฟังเสียงบางอย่างจากอีกด้านของห้อง

เสียงเปิดประตูห้องน้ำเบาๆ ดังขึ้น

แล้วร่างของ ซูเหยียน ก็เดินออกมาช้าๆ

เธอสวมเพียงเชิ้ตสีขาวของประธานหญิง

ชายเสื้อยาวคลุมขาอ่อน แต่ยังเผยผิวขาวสะอาดใต้แสงโคมไฟ

หยดน้ำบางๆ ยังเกาะตามปลายผม

“พี่ไม่อาบน้ำเหรอคะ?”

เสียงเธอนุ่ม เหมือนกำลังถามเล่น ๆ แต่ทุกคำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดเกินพอดี

อี้เจินหลานไม่ตอบ

เพียงมองเด็กสาวตรงหน้า ที่เดินเข้ามาใกล้ แล้วขึ้นนั่งข้างเธอบนเตียงอย่างไม่ลังเล

กลิ่นสบู่จางๆ ลอยแตะปลายจมูก

“กลับบ้านซะ ซูเหยียน”

เสียงของเธอเบาลงกว่าทุกครั้ง เหมือนคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจมน้ำ แต่ยังฝืนพูดให้มั่นคง

“กลับไป แล้วอย่าทำแบบนี้อีก…”

ซูเหยียนไม่ตอบ

เพียงเอนตัวเข้ามาช้าๆ ฝ่ามือเล็กวางลงบนมือของประธานที่ยังวางอยู่บนตัก

เธอไม่พูดคำรัก

ไม่แม้แต่จะขอจูบ

เธอแค่นั่งเงียบ แล้วกอดแขนอีกฝ่ายแน่นจากด้านข้าง

“แต่พี่…ไม่ได้ผลักหนูออกนี่คะ”

เสียงนั้นเบา

แต่แฝงแรงมากพอจะสั่นใจใครได้ทั้งโลก

อี้เจินหลานเม้มปาก ดึงสายตากลับมา

เธอไม่เคยปล่อยให้ใคร “เข้ามา” ได้ขนาดนี้

ไม่เคยเปิดห้องนี้ให้ใคร

ไม่เคยปล่อยเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้ใครสวม…

แต่คืนนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

และมันเลยเถิด—อย่างเงียบงัน

เธอเอื้อมมือไปจับมือของซูเหยียนไว้เบาๆ

นิ้วเรียวค่อยๆ ประสานกัน ราวกับยอมรับ

โดยไม่ต้องมีคำใด

“เธอรู้ใช่ไหม ว่าหลังจากนี้—เราจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีก”

“หนูไม่อยากกลับไปแล้วค่ะ”

“ต่อให้พี่ไม่เรียกชื่อหนูเลย…หนูก็จะอยู่ตรงนี้”

คำพูดนั้นเหมือนจะอ่อนโยน

แต่สำหรับอี้เจินหลานแล้ว—มันคือพันธนาการ

เธอปล่อยให้ซูเหยียนเอนหัวลงบนไหล่

ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งข้างกัน จับมือตนไว้แน่น

และปล่อยให้คืนนี้—ผ่านไปโดยไม่มีคำว่า “รัก”

ไม่มีคำว่า “อนาคต”

แต่ทุกการแตะสัมผัส กลับหนักแน่นกว่าอะไรทั้งหมด

เธอเอื้อมมืออีกข้างไปปิดโคมไฟ

ห้องทั้งห้องมืดสนิท

เหลือเพียงเสียงลมหายใจสองคน…ที่สลับกันอยู่อย่างเงียบงัน

ในความมืดนี้

มีความลับซ่อนอยู่

และความสัมพันธ์ที่—ไม่อาจพูดได้ในแสงสว่าง

“แต่หนูจะยิ้มจนกว่าจะมอดไหม้ไปด้วยกัน”

สองร่างยังไม่แตะกัน

แต่บรรยากาศกลับเหมือนระเบิดที่พร้อมจุดขึ้นทุกเมื่อ

เสียงโทรศัพท์แผ่วเบาดังขึ้นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า

อี้เจินหลานลืมตาขึ้นช้าๆ บนเตียงกว้าง—ก่อนจะสัมผัสได้ว่าด้านข้าง ว่างเปล่า

ไม่มีเสียงลมหายใจจากคนที่นอนอยู่ข้างเธอเมื่อคืน

ไม่มีเสื้อเชิ้ตเธอบนพื้น ไม่มีกลิ่นแชมพูในอากาศ

เธอลุกขึ้น คิ้วขมวดแน่นเล็กน้อย

เปิดตู้เย็น…มีน้ำผลไม้ 1 กล่องวางไว้

พร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก เขียนด้วยลายมือที่เธอจำได้ขึ้นใจ

“ไปเรียนเช้า เจอกันที่บริษัทนะคะ — ซูเหยียน”

เธอจ้องมันนานกว่าที่ควรจะเป็น

นิ้วหัวแม่มือไล้ตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ

แล้วถอนหายใจ…

“ทำเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่…อย่างกับว่าฉันไม่ได้พังลงเมื่อคืนนี้”

10:05 น. – บริษัท ลู่ซิ่วกรุ๊ป ชั้นสำนักงาน

เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังบนพื้นหินอ่อน

เมื่อประตูสำนักงานชั้นผู้บริหารเปิดออก พนักงานแต่ละคนรีบก้มหน้า แน่นิ่ง

เจินหลานเดินตรงไปยังห้องของตัวเองด้วยสีหน้าปกติ

แต่ในอกกลับรู้สึก ผิดปกติอย่างที่สุด

เธอควบคุมได้ทุกอย่าง…

แต่นับตั้งแต่เมื่อคืน เธอกลับเริ่มไม่แน่ใจว่า เธอควบคุมใครอยู่กันแน่

10:09 น. – โถงงานฝึกงาน ชั้น 35

ในขณะที่บรรดาฝ่ายบุคคลกำลังอบรมเด็กฝึกงานรอบเช้า

ซูเหยียนนั่งหลังตรง ฟังทุกคำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

เธอสวมสูทสีเบจ เรียบสะอาด ผมถูกรวบตึงเรียบร้อย

แต่เมื่อสายตาเธอเฉียงขึ้นไปมองกล้องวงจรปิดที่มุมห้อง…

เธอกลับ ยิ้มบางๆ—แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น

11:45 น. – ห้องประชุมเล็ก ชั้น 48

“นักศึกษาฝึกงานเข้าร่วมประชุมรายงานภายในวันนี้ด้วย”

“อี้เจินหลาน เป็นประธานการประชุม”

ภายในห้อง มีผู้บริหารสามแผนกรายงานผลงาน

แต่สายตาเจินหลานกลับหลุดจากสไลด์…

ทุกครั้งที่เธอเห็น “นักศึกษาฝึกงานคนนั้น” นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ปากจด สมุดนิ่ง แต่สายตา—กำลังมองเธออยู่ตลอด

และที่เลวร้ายที่สุดคือ…

ซูเหยียน ยิ้ม

รอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่ใช่รอยยิ้มต่อเอกสาร

แต่เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะพูดว่า:

“เมื่อคืน เราอยู่กันแค่สองคน…แต่วันนี้ ฉันอยู่ในโลกของพี่โดยไม่มีใครรู้”

เจินหลานกำปากกาบนโต๊ะไว้แน่น

ไม่มีใครในห้องสังเกตเห็น

นอกจากคนคนเดียวที่ไม่ควรอยู่ตรงนี้…

หลังประชุม – หน้าลิฟต์ส่วนตัว

ขณะที่ทุกคนเดินแยกย้ายกลับ

ซูเหยียนยืนอยู่หน้าลิฟต์ส่วนตัว รออะไรบางอย่างอยู่

ประตูเปิดออก

เจินหลานเดินออกมา สีหน้านิ่งเรียบ

แต่เมื่อทั้งสองยืนห่างกันเพียงหนึ่งช่วงแขน เด็กสาวกลับกระซิบเบาๆ โดยไม่มีใครได้ยิน:

“วันนี้พี่สวยนะคะ”

“…โดยเฉพาะเวลาหนีสายตาหนูแบบนั้น”

ประธานหญิงหยุดชั่วครู่

หันมามองเธอด้วยแววตาเย็น—แต่ในแววนั้นกลับมีบางอย่างที่ เปราะบางอย่างน่ากลัว

“เธอคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้ตลอดเหรอ?”

“หนูหวังให้เป็นแบบนี้ตลอดต่างหากค่ะ”

ซูเหยียนยิ้มอีกครั้ง

ก่อนจะหันหลังกลับไปอย่างสง่างาม

ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ และหัวใจของอี้เจินหลาน…ที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ

//แอดจะลงแบบตามใจฉันนะงับ

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 5

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!