ตอนที่ 3 การพบเจอของโชคชะตา
หมอนิทานกลับมายังห้องของตัวเองหลังจากที่ได้ตามอาจารย์หมอไปศึกษาเคสคนไข้ต่าง ๆ หมอนิทานกลับมาที่ห้องพร้อมกับแฟ้มหนึ่งแฟ้ม หมอนิทานได้นั่งที่โต๊ะทำงานพร้อมกับแฟ้ม ๆ หนึ่ง ที่หน้าแฟ้มติดชื่อว่า “นางสาว รุ้งดาว สุดวิภา” หมอนิทานเปิดแฟ้มเพื่ออ่านรายละเอียด แต่เมื่อหมอนิทานเปิดอ่านได้นิดหน่อยหมอนิทานก็ได้ปิดแฟ้มกลับไป เพราะในแฟ้มประวัตินั้นได้เขียนชื่อเล่นเอาไว้ด้วย เมื่อหมอนิทานอ่านแฟ้มประวัติถึงจุดนั้นมันก็ได้ทำให้หมอนิทานต้องคิดถึงคน ๆ หนึ่ง เพราะชื่อเล่นในแฟ้มนั้นคือชื่อ “ดาว” หมอนิทานทำท่าทางเหมือนคนห่อเหี่ยวหมดกำลังใจก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้าพร้อมกับเอามือมาเท้าคาง “ดาว…เราอยากเจอเธอจัง” หมอนิทานได้บ่นเบา ๆ กับตัวเอง ไม่ว่าเวลาจะผ่านสักเท่าไหร่หมอนิทานก็ยังคงคิดถึงแต่ดาว
“ก็อก ก็อก ก็อก ~”
“คุณหมอนิคะ…ได้เวลาไปศึกษาเคสของรุ้งดาวแล้วค่ะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากมีเสียงเคาะประตู “ค่ะ” หมอนิทานได้ตอบรับเสียงนั้นพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะทำงานมายังประตูห้อง เมื่อหมอนิทานเปิดประตูห้องก็ได้เจอกับคุณพยาบาลที่กำลังยืนรอหมอนิทานอยู่ เมื่อหมอนิทานออกจากห้องแล้วคุณพยาบาลก็ได้นำทางหมอนิทานไป หมอนิทานที่กำลังเดินตามคุณพยาบาลไปก็กำลังคิดไปด้วยว่าทำไมเราถึงตอบรับอาจารย์หมอที่จะดูแลเคสนี้กันนะ
ตอนนี้หมอนิทานได้มายืนอยู่ที่หน้าห้องของรุ้งดาวแล้ว “พร้อมรึยังคะคุณหมอนิ” คุณพยาบาลถามกับหมอนิทานที่กำลังยืนทำใจที่จะเปิดประตูห้องเพื่อเข้าไปเจอกับรุ้งดาว “นิพร้อมแล้วค่ะคุณพยาบาล” หมอนิทานบอกกับคุณพยาบาลพร้อมกับเปิดประตูห้อง ภาพแรกที่หมอนิทานเห็นคือเด็กสาววัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับหมอนิทานคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนเตียงและมองไปทางหน้าต่างพร้อมกับชุดสีขาวที่สว่างราวกับเป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรเจือปน
“คุณพยายาลคะ…เธอไม่พูดอะไรกับใครเลยใช่มั้ยคะ” หมอนิทานถามคุณพยาบาล “ใช่ค่ะ…ยังไงคุณหมอนิก็ลองคุยดูนะคะ” หมอนิทานได้เริ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเด็กสาวคนนั้น ตอนนี้หมอนิทานได้ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอคนนั้น หมอนิทานได้นั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กันกับเธอคนนั้น แต่เธอคนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าเลยที่จะสนใจอะไรในตัวหมอนิทาน และหมอนิทานก็นั่งมองเธอคนนั้นอยู่สักพักก่อนที่หมอนิทานจะยื่นมือออกไป หมอนิทานได้เอื้อมมือของตัวเองเพื่อไปจับมือเธอคนนั้นที่เธอคนนั้นวางมือไว้บนขา หมอนิทานจับมือเธอคนนั้นไว้แบบนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวแล้วก็มองไปยังนอกหน้าต่างแบบเดียวกันกับที่รุ้งดาวนั้นทำ
และแล้วเธอคนนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มหันมามองทางหมอนิทานและเธอก็ได้มองหน้าหมอนิทาน แล้วเธอคนนั้นก็ได้แต่มองหมอนิทานอยู่แบบนั้นแต่หมอนิทานก็ยังไม่หันมามองเธออยู่ดี “เราชื่อดาว' เธอคนนั้นพูดออกมาลอย ๆ ในขณะที่มองหน้าหมอนิทานไปด้วย หมอนิทานก็ได้เริ่มค่อย ๆ หันหน้ามาทางเธอคนนั้น “เราชื่อนิ” หมอนิทานที่มองหน้าเธอคนนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างจริงใจให้กับเธอคนนั้น คุณพยาบาลที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ก็ถึงกับอึ้งในสิ่งที่ตาเห็นอย่างถึงที่สุด เพราะว่ารุ้งดาวไม่เคยคุยกับใครก่อน จะทำอย่างมากสุดก็แค่เขียนข้อความแล้วยื่นให้คนนั้น แล้วส่วนใหญ่คำที่รุ้งดาวเธอมักจะเขียนเพื่อให้คนทุกคนที่พยายามจะมายุ่งกับเธอ “ไปใฟ้พ้น”
คุณพยาบาลจึงค่อย ๆ ถอยออกจากห้องและปิดประตูห้องเบา ๆ เหลือไว้เพียงแค่รุ้งดาวกับหมอนิทาน ตอนนี้รุ้งดาวกับหมอนิทานก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันและกันโดยที่ไม่ได้พูดอะไร หมอนิทานได้หันหน้ากลับไปยังทางหน้าต่างและหมอนิทานก็ได้พูดออกมาลอย ๆ “ไปเดินเล่นกันมั้ย” รุ้งดาวที่ได้ฟังก็เริ่มที่จะเปิดใจให้กับหมอนิทานเพิ่มอีกนิดหน่อย “อืม” รุ้งดาวตอบรับคำชวนหมอนิทาน หมอนิทานจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับมือของตัวเองที่ยังคงจับมือของรุ้งดาวไว้อยู่
รุ้งดาวได้ลุกตามหมอนิทานก่อนที่หมอนิทานจะจูงมือของรุ้งดาวเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย เมื่อคุณพยายาลทุกคนได้เห็นรุ้งดาวเดินจับมือมากับหมอนิทานก็ได้แต่อึ้งกันจนพูดอะไรไม่ออก เพราะรุ้งดาวไม่เคยสนใจใคร ไม่พูดกับใคร เวลาอาหารรุ้งดาวก็จะทานก็ต่อเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง เพราะเธอจะนั่งทานข้าวพร้อมกับเหม่อมองหน้าต่างไปด้วยเสมอ ๆ อยู่แบบนั้น เพราะฉะนั้นการที่รุ้งดาวออมาจากห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับหมอนิทานแบบนี้ มันเป็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็น
ตอนนี้หมอนิทานได้เดินจูงมือกับรุ้งดาวไปเรื่อย ๆ โดยที่ทั้งสองคนก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินมาจนสวนของโรงพยาบาล หมอนิทานได้พารุ้งดาวมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ ทำให้หมอนิทานหวนคิดถึงภาพเก่าตอนสมัยเด็กกับดาวเพื่อนสมัยเด็ก เมื่อรุ้งดาวเธอได้ชี้ไปบนทางฟ้า หมอนิทานก็ได้มองตามปลายนิ้วของรุ้งดาวไปก็ได้เห็นว่านั่นคือนก “อยากเป็นอิสระแบบนั้นบ้างจัง” รุ้งดาวเธอได้พูดออกมาเบา ๆ ด้วยเสียงที่แหบแห้ง หมอนิทานที่ได้ยินแบบนั้นหมอนิทานก็ได้พูดออกมาแบบลอย ๆ “เธอทำตามที่บอกสิ…แล้ววันหนึ่งเธอจะได้เป็นอิสระ” รุ้งดาวจึงหันมามองหน้าหมอนิทาน ในขณะที่หมอนิทานก็ยังคงมองท้องฟ้าอยู่แบบนั้น
“หมอนิสินะ” รุ้งดาวพูดขึ้นในขณะที่ตอนนี้รุ้งดาวก็ยังคงมองหมอนิทานอยู่ “ใช่” หมอนิทานตอบรุ้งดาวโดยที่หมอนิทานก็ยังคงมองท้องฟ้าอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้รุ้งดาวรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มันแผ่ซ่านออกมาจากหมอนิทาน มันเป็นความอบอุ่นที่รู้สึกเหมือนเคยได้มาจากคน ๆ หนึ่ง นั่นก็คือนิทานเพื่อนสมัยเด็ก แต่รุ้งดาวเธอได้หมดซึ่งทุกความหวังไปแล้วที่จะได้กลับมาเจอกับนิทานอีกครั้ง แถมเธอยังต้องสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุด้วย จึงทำให้รุ้งดาวเธอเลือกที่จะทิ้งทุกความรู้สึกของตัวเองเพื่อที่จะหนีออกไปจากความเจ็บปวดที่มันถาโถมใส่จิตใจเธอราวกับคลื่นซึนามิที่ซัดเข้าฝั่ง แต่เพราะการมาของหมอนิทานนั้นทำให้ความรู้สึกทั้งหมดที่รุ้งดาวเคยทิ้งไปนั้นมันได้ค่อย ๆ เริ่มที่จะกลับมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ้งดาวพูดกับหมอนิทาน
“รุ้งดาว…เราจะเอาความรู้สึกที่หายไปของเธอกลับมา” หมอนิทานพูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามองรุ้งดาว เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ หมอนิทานก็ได้ก้มลงมามองนาฬิกาที่ข้อมือ “ได้เวลาแล้ว…ไปทานข้าวกันเถอะ” หมอนิทานบอกกับรุ้งดาวก่อนที่หมอนิทานจะพารุ้งดาวเดินมาเรื่อย ๆ เพื่อกลับมายังที่ห้องพักผู้ป่วย คุณพยาบาลที่กำลังรอคอยการกลับมาของทั้งสองคน เมื่อคุณพยาบาลได้เห็นทั้งสองคนกลับมาคุณพยาบาลจึงเข็นโต๊ะอาหารตามหลังหมอนิทานมาทันที เมื่อถึงห้องพักผู้ป่วยของรุ้งดาวหมอนิทานจึงได้หันหลังกลับไปหาคุณพยาบาล “เดี๋ยวนิจัดการต่อเองค่ะ” หมอนิทานบอกกับคุณพยาบาลที่เข็นโต๊ะอาหารตามมา คุณพยาบาลทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ นิดหน่อยก่อนจะส่งโต๊ะอาหารให้กับหมอนิทาน
เมื่อหมอนิทานได้รับโต๊ะอาหารมาจากคุณพยาบาลแล้ว หมอนิทานจึงเข็นโต๊ะอาหารตามรุ้งดาวเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยของรุ้งดาว เมื่อถึงห้องพักผู้ป่วยแล้วรุ้งดาวดธอก็ได้กลับมานั่งอยู่ที่เตียงเหมือนกับตอนภาพแรกที่หมอนิทานเจอกับรุ้งดาวในตอนแรก แต่ว่าครั้งนี้เปลี่ยนไปเพราะเมื่อรุ้งดาวนั่งลงที่เตียงหมอนิทานก็ได้เข็นโต๊ะอาหารมาอยู่ที่ตรงหน้าของรุ้งดาวทันที จากนั้นหมอนิทานก็ได้เตรียมข้าวเพื่อให้รุ้งดาวทานข้าวกลางวัน เมื่อหมอนิทานเตรียมการณ์ทุกอย่างเสร็จสรรพ หมอนิทานก็ได้ค่อย ๆ เอาช้อนตักข้าวอย่างเบามือแบบพอดีคำ “ทานข้าวสิรุ้งดาว…เดี๋ยวเราจะป้อนป้อนเองนะ” หมอนิทานบอกกับรุ้งดาวพร้อมกับยื่นช้อนที่มีข้าวไปใกล้ ๆ ปากของรุ้งดาว “ทานข้าว นะ ๆ ๆ” หมอนิทานยังคงตื้อรุ้งดาวเพราะรุ้งดาวยังไม่ยอมทานข้าว แต่รุ้งดาวก็ทนนิ่งเฉยต่ออาการตื้อของหมอนิทานอยู่ได้ไม่นานรุ้งดาวค่อย ๆ อ้าปากรับข้าวกลางวันที่หมอนิทานป้อนแต่โดยดี
ตอนนี้รุ้งดาวดูมีสีหน้าที่เหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา ไม่รู้เพราะได้ทานข้าวหรือถูกหมอนิทานป้อนข้าวกันแน่ แต่ในใจของรุ้งดาวตอนนี้เธอเริ่มจะพยายามที่จะฝึกจัดระบบความคิดของตัวเองใหม่อีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้เธอได้ทิ้งทุกความหวังทิ้งทุกความรู้สึกของเธอไปจนหมดไม่มีเหลือเลย
ในที่สุดหมอนิทานก็ทั้งป้อนทั้งกล่อมให้รุ้งดาวทานข้าวกลางวันและยาจนหมด ตอนนี้เหล่าคุณพยาบาลยังถึงกับต้องงงต่อภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าและซุบซิบกันไปหมดว่า “คุณหมอนิทานมีอะไรดีกันนะถึงทำให้หนึ่งในคนไข้สุดหินอย่างรุ้งดาวยอมได้ขนาดนี้ เพราะตลอด 8 ปี ที่รุ้งดาวอยู่ ณ ยังที่แห่งนี้ รุ้งดาวแทบไม่เคยคุยอะไรกับใครหรือยอมให้ใครมาใกล้ชิดได้เป็นเวลานานขนาดนี้มาก่อน
“รุ้งดาว…เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาหาใหม่นะ” หมอนิทานบอกลารุ้งดาวและเดินจากไปเพราะหมอนิทานจะต้องมาทำรายงานเคสของรุ้งดาวส่งอาจารย์หมอต่อ แต่เมื่อหมอนิทานกลับมาถึงห้องของตัวเองก็เกิดมีอาการคิดถึงดาวแว๊บขึ้นมาอีก หมอนิทานคิดถึงคำพูดที่ตัวเองเคยได้พูดกับดาวไว้
ดาว : นี่เราเป็นเพื่อนกันแล้วจริง ๆ เหรอ
(ดาวเอ่ยถามนิทานด้วยท่าที่ดูสงสัย)
นิทาน : ใช่สิ…จากนี้และตลอดไปเลย
(นิทานยิ้มกว้างอย่างจริงใจก่อนที่จะตอบกลับดาว)
“ดาว…ตอนนี้เธอจะอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่กันนะ เธอยังสบายดีมั้ย…เธอคิดถึงเราบ้างหรือเปล่า” ในใจของหมอนิทานก็ยังคงวนเวียนคิดถึงดาวต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าคนที่เธอเพิ่งแยกตัวออกมาเมื่อกี้นั้นคือคนที่เธอเฝ้าตามหามาตลอด หมอนิทานได้เอามือทั้งสองข้างตีหน้าตัวเองเบา ๆ “ตื่น ๆ นะตัวเรา” หมอนิทานเริ่มตั้งสติและค่อย ๆ กับมาโฟกัสกับงานต่อ
ในขณะที่อีกด้านชายคนหนึ่งได้เดินมายังหน้าวอร์ดที่มีคุณพยาบาลอยู่ “ขอโทษนะครับ…ผมมาเยี่ยม นางสาว รุ้งดาว สุดวิภา ครับ” คุณพยาบาลได้นำทางชายคนนั้นไปยังห้องพักคนไข้ของรุ้งดาว เมื่อคุณพยาบาลและชายคนนั้นมาถึงห้องพักผู้ป่วยของรุ้งดาวคุณพยาบาลได้เคาะประตูห้องและเปิดประตูเข้าไป “รุ้งดาวคะ…พี่ชายมาเยี่ยมค่ะ” ชายคนนั้นได้เดินเข้ามาในห้องและมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ รุ้งดาว “เป็นไงบ้างน้องพี่…เชื่อฟังหมอบ้างรึเปล่า” ชายคนนั้นได้ถามรุ้งดาว “พี่อาทิตย์เหรอ” รุ้งดาวเรียกชื่อชายคนนั้นแล้วรุ้งดาวก็นิ่งเงียบเฉยทำเหมือนว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“อยู่นี่เราต้องเชื่อฟังหมอนะรู้มั้ย…แล้วพี่ก็รอการกับมาของน้องสาวพี่คนนี้อยู่นะ” อาทิตย์พูดกับรุ้งดาวในขณที่รุ้งดาวก็ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิม ที่อาทิตย์ยังคงมีความหวังว่าสักวันจะได้น้องสาวคนนี้กลับคืนมาก็เป็นเพราะตอนที่รุ้งดาวมีอาการ PTSD อย่างรุนแรงช่วงแรก ๆ รุ้งดาวจำใครไม่ได้เลยสักคนและคำ ๆ ที่รุ้งพูดในตอนนั้นคือ “นิทาน…เธออยู่ไหน”
แต่ถึงแม้ว่าอาทิตย์จะมีความหวังว่าน้องสาวของตัวเองจะหายเป็นปกติได้ แต่เมื่อไหร่ที่นึกถึงช่วงแรก ๆ ที่รุ้งดาวคลุ้มคลั่งทีไรมันก็เสียใจ เจ็บปวด ทรมาน จนทำให้อาทิตย์คิดไปแล้วว่านี่คือหนึ่งในสิ่งเจ็บปวดที่สุดในชีวิต จนทำให้ช่วงนั้นอาทิตย์ก็พลอยต้องเข้าฟื้นฟูสภาพจิตกับจิตแพทย์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
“พี่อาทิตย์…นิทานมาด้วยมั้ย” รุ้งดาวถามอาทิตย์ในขณะที่สายตาก็ยังคงจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่าง อาทิตย์ที่ได้ยืนแบบนั้นก็ได้ทำท่าทางกระอักกระอ่วนก่อนจะตอบกลับรุ้งดาว “เปล่าอ่ะ” รุ้งดาวก็ยังคงไม่สนใจอะไรในตัวของอาทิตย์เหมือนเดิม จริง ๆ แล้วในใจลึก ๆ ของอาทิตย์เขารู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย และโกรธมากที่นิทานไม่คิดตามหาน้องตัวเอง ปล่อยให้น้องของตัวเองต้องกังขังความรู้สึกของตัวเองและทรมานอยู่ตัวคนเดียว
อาทิตย์ที่ยืนจ้องมองรุ้งดาวด้วยความรู้สึกที่สงสารน้องของตัวเองอย่างถึงที่สุดจนน้ำซึมจนเกือบจะร้องไห้ แต่เขาก็ต้องกลั่นใจเอาไว้เพราะอาทิตย์เขาคิดแล้วว่าเราจะมาอ่อแอต่อหน้าน้องของตัวเองไม่ได้เป็นอันขาด เพราะถ้าเราอ่อนแอไปอีกคนน้องเราจะไม่มีที่ให้พึ่งเลย อาทิตย์ก็เลยได้แต่ยืนน้ำตาซึมด้วยความอาทรต่อตัวรุ้งดาวอยู่แบบนั้น ในขณะที่รุ้งดาวก็ยังคงไม่สนใจอะไรในตัวของอาทิตย์อยู่เหมือนเดืม
“ออกไปเดินเล่นกับพี่มั้ย” อาทิตย์ดึงสติของตัวเองกลับมาก่อนที่จะถามออกไปโดยที่แอบหวังว่าน้องสาวสุดที่รักของเขาจะตอบรับ แต่สุดท้ายรุ้งดาวก็กลับนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเลย จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้อาทิตย์แอบรู้สึกเจ็บปวดในใจที่รุ้งดาวยังคงปฏิเสธในตัวของเขา แต่เขาก็เข้าใจว่าน้องสาวของเขายังคงต้องใช้เวลาอีกหน่อย เพราะก่อนที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้เธอเองก็ได้เจอกับอะไรมาสาหัสพอตัวอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงแรก ๆ ที่เสียพ่อแม่ไปเขาเองก็แทบแย่ไปด้วยเหมือนกัน
“พานิทานมาหน่อยได้มั้ยพี่อาทิตย์” อาทิตย์ที่ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกสงสารน้องตัวเองหนักกว่าเดิม ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม อีกใจก็ยิ่งโกรธนิทานยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้อาทิตย์ไม่รู้จะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง คงมีแต่ต้องถอยออกไปสงบสติอารมณ์เพียงเท่านั้น “ดาว…พี่กลับก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะมาหาใหม่นะ” อาทิตย์ได้บอกลาน้องของตัวเองและรีบเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยของรุ้งดาวโดยไม่สนใจเลยว่ารุ้งดาวจะสนใจอะไรในตัวของเขาไหม
ในขณะที่อาทิตย์กำลังเดินออกจากโรงพยาบาล ภาพเบื้องหลังอาทิตย์ที่ห่างออกไปหมอนิทานก็ได้ตัดภาพนั้นไปโดยที่ในมือหมอนิทานได้ถือแก้วกาแฟอยู่ด้วยในมือ หมอนิทานได้ขึ้นลิฟท์และกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองเพื่อที่จะเขียนรายงานเคสของรุ้งดาวส่งให้กับอาจารย์หมอ หมอนิทานได้เขียนรายงานในเคสของรุ้งดาวว่าเธอมีอาการยังไง มีพัฒนาการอะไรที่เป็นสัญญาณบวกบ้าง เมื่อหมอนิทานรู้ตัวอีกทีก็ได้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว หมอนิทานจึงเตรียมตัวเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เมื่อหมอนิทานเดินมาจนถึงหน้าลิฟท์ก็ปรากฏว่าหมอเอมนั้นมายืนรอเธออยู่ที่หน้าลิฟท์ “เอม…แกมาได้ไงอ่ะ” หมอนิทานถามหมอเอมด้วยท่าทางที่ดูสงสัย “ฉันเลิกเร็ว…และฉันอยากชวนแกไปกินข้าวไง” หมอเอมตอบกลับหมอนิทาน “งั้นรีบไปรีบกลับเลยเถอะ…วันนี้เราเหนื่อยมาก” พอหมอนิทานพูดจบประตูลิฟท์ก็ได้เปิดออก หมอนิทานจึงรีบจูงแขนหมอเอมเข้าลิฟท์อย่างไวทันที
“แกจะรีบอะไรขนาดนั้นอ่ะนิ” หมอเอมถามหมอนิทานด้วยท่าทีงง ๆ หมอนิทานก็แสดงสีหน้าเหนื่อยออกมาทันทีเลย “วันนี้เราเจอหนึ่งในคนไข้เคสพิเศษของโรงพยาบาลนี้มาละ” หมอนิทานบอกกับหมอเอมแล้วก็ทำท่าทางเหมือนจะเหนื่อยมาก ๆ “อ๋อ…เจอเคสรุ้งดาวมาแล้วล่ะสิท่าทาง ฉันเจอไล่เจออาละวาดใส่มาก่อนแกละ…เอาใจไม่ถูกเลย บางทีฉันยังแอบหงุดหงิดเลยนะแก” หมอเอมพูดกับหมอนิทานเพราะหมอนิทานอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับที่เธอได้เจอมาก็ได้ เพราะหมอเอมเคยฝึกงานที่สถาบันจิตเวชศาสตร์นี้มาก่อน “ไม่ใช่แบบนั้น…ที่เราว่าเราเหนื่อยอ่ะ มันเป็นเพราะเขียนรายงานตะหาก เราอ่ะ…ไม่ได้เคยจะคิดชอบเลยนะงานเอกสารอ่ะเอาจริง ๆ เถอะ” หมอเอมที่ฟังจบก็ได้ถามหมอนิทาน “นี่แกยังไม่ชินอีกเหรอกับเรื่องเขียนรายงานของคนไข้อ่ะ” หมอนิทานกรอกตามองบนก่อนพูดต่อ “ให้ตายก็ไม่อยากจะชินอ่ะ”
“ฉันเข้าใจนะว่างานเอกสารมันสุดแสนจะน่าเบื่อ…แต่ยังไงพวกเราก็หนีมันไม่พ้นอยู่แล้วมั้ยล่ะ” หมอเอมพูดกับหมอนิทานเพื่อให้หมอยอมรับแบบประมาณว่าเจ้าจงน้อมรับมันซะเถอะ ตอนนี้ทั้งสองคนก็ได้เดินมาถึงที่รถของหมอนิทานแล้ว “สรุปแล้วแกจะกินอะไรเหรอเอม…เราจะได้พาแกไปถูก” หมอเอมเลยชี้ไปที่ตัวของหมอนิทานพร้อมกับพูดด้วยท่าทางออดอ้อนด้วยว่า “กินแกได้ป่ะล่ะ” หมอนิทานถึงกับส่ายหัวอย่างแรงก่อนจะตอบกลับหมอเอม “เราหมายถึงข้าวอ่ะข้าว” หมอเอมเลยแซวหยอดหมอนิทานต่อเลย “เขินสิท่าทาง…เก็บอาการไม่อยู่เลยแกอ่ะ” หมอนิทานก็ตอบหมอเอมกลับ “พูดอย่างกับอ้อนแฟนแบบนี้ไม่เขินก็บ้าละ…ไปกินข้าว ๆ” หมอเอมก็นั่งยิ้มใส่หน้าหมอนิทานต่อ “ยังจะยิ้มอีก…จะกินมั้ยข้าวอ่ะ” หมอนิทานถามหมอเอม หมอเอมมองหน้าหมอนิทานพร้อมกับกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยท่าทางหวาน ๆ อ้อน ๆ พร้อมหยอดหมอนิทานไปอีกที “ที่รักไปไหนเค้าไปหมดอ่ะค่ะ” หมอนิทานเขินจนเลิกถามและขับรถออกไปเลยดีกว่า
หมอนิทานพาหมอเอมมายังร้านสุกี้ชาบู “ที่นี่ละกัน…เห็นบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ” หมอนิทานถามหมอเอม หมอเอมก็ทำท่าทางออดอ้อนอีกครั้ง แล้วก็ได้หยอดหมอนิทานไปอีกครั้ง “ถ้ารู้ใจขนาดนี้มาเป็นแฟนกันเลยดีกว่ามะ” หมอนิทานไม่พูดอะไรแล้วและรีบหาที่จอดรถเพื่อเอาตัวหนีออกจากอารมณ์มาคาวาอี๊ ๆ แบบนี้ทันที
“บี๊บ ๆ ๆ”
เสียงแมสเซสที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์ของหมอนิทาน เมื่อหมอนิทานได้ยินเสียงนั้นหมอนิทานจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ
“เจ้…วันนี้ผมนอนบ้านเจ้นะ”
(ชื่อผู้ส่ง : แชมป์)
เมื่อหมอนิทานอ่านข้อความที่แชมป์ส่งมาแล้ว หมอนิทานจึงชวนหมอเอมให้รีบไปทานข้าวแล้วจะได้รีบกลับบ้าน จริง ๆ แล้วหมอนิทานก็พอจะเดาได้แหละว่าทำไมน้องชายตัวแสบถึงส่งข้อความมาแบบนี้ เพราะนิทานรู้ดีอยู่แล้วว่าที่บ้านของแชมป์มันมีแรงกดดันมากขนาดไหน แต่ตอนนี้หมอนิทานอยากจะพาหมอเอมทานข้าวให้เสร็จ ๆ ไปก่อน เพราะหมอนิทานรู้อยู่แล้วว่าน้องชายของตัวเองเข้าบ้านของเธอได้อยู่แล้วเลยไม่ได้ห่วงอะไร หมอเอมที่เห็นหมอนิทานดูโทรศัพท์แล้วหน้าหมอนิทานก็นิ่ง ๆ ไป หมอเอมสงสัยจึงได้ถามหมอนิทาน “นิ…แกมีอะไรรึเปล่า” หมอนิทานเลยรีบปฏิเสธหมอเอมทันที “ไม่มีอะไรหรอกแก…แค่เจ้าน้องชายตัวแสบของเรามาขอนอนที่บ้านเราแค่นั้นเอง”
จริง ๆ แล้วที่หมอเอมมาหาหมอนิทานก็เพราะตั้งใจจะมานอนกับหมอนิทาน แต่อยู่ดี ๆ ก็มีแชมป์มาเป็นตัวขัดขวางโดยบังเอิญ หมอเอมเลยรู้สึกนอยด์นิด ๆ ที่ความตั้งของตัวเองมันจะไม่เป็นผลซะแล้วในวันนี้
ในขณะที่อีกด้านรุ้งดาวยังคงนั่งมองท้องฟ้าผ่านกระจกของห้องพักผู้ป่วยอยู่เหมือนเดิม รุ้งดาวเธอทำแบบนี้ซ้ำ ๆ มาตลอด 8 ปี โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และทำไปเพื่ออะไร แล้วคน ๆ เดียวที่จะรู้เรื่องนี้ได้ดีที่สุดนั่นก็คือตัวเธอเอง และไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี คน ๆ เดียวที่ยังคงอยู่ในใจของรุ้งดาวมาตลอดเสมอมาคน ๆ นั้นก็คือนิทาน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments