Stories 2 คุณหมอนิทาน
13 ปีต่อมา
ณ ร้านนั่งดื่มชิลล์ ๆ ร้านหนึ่ง “ได้มีวันหยุดตรงกันสักทีนะเหนื่อยจะแย่” สามเพื่อนซี้นักเรียนแพทย์ประกอบไปด้วย นักศึกษาแพทย์ ณัฐ อาณัฐพล ผู้ชายคนเดียวของกลุ่ม นักศึกษาแพทย์ เอม เอมิกา และคนสุดท้าย นักศึกษาแพทย์ นิทาน นิทรารัตน์ ที่ต้องหมุนเวียนกันไปฝึกปฏิบัติจริงตามแผนกต่าง ๆ เพื่อลงไปศึกษากับคนไข้ตัวจริงและศึกษาการทำงานต่าง ๆ
ตอนนี้นิทานได้มาเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากการเรียนแพทย์อันสุดแสนจะตรึงเครียดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหลุดออกไปจากหัวของนิทานได้เลย คือจดหมายฉบับสุดท้ายจากดาวเมื่อ 8 ปีก่อน ที่จู่ ๆ ดาวก็ได้หายไปไม่เขียนจดหมายมาคุยกับนิทานเหมือนอย่างเคย รูปสุดท้ายของดาวที่ดาวส่งมาพร้อมกับจดหมายนั้น ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของนิทาน นิทานที่ยังคิดไม่เคยตกเลยสักครั้งว่ายัยขี้แงนั่นหายไปไหนกันนะ และเราควรจะต้องทำยังไงเพื่อให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
“นิ นิ เฮ้ย…ไอนิทาน” หมอนิทานที่ตกใจสะดุ้งแรงและหลุดออกจากภวังค์ก็พูดขึ้นด้วยอาการตกใจ “ห๊ะ ๆ ๆ มีอะไรกันเหรอ” หมอนิทานที่ตกใจเมื่อกี้ก็ค่อย ๆ เริ่มสงบลง “เหม่ออีกแล้วนะมึงอ่ะ“ เสียงที่เรียกหมอนิทานก็คือเสียงของหมอณัฐหนึ่งในสองเพื่อนสนิทของนิทานนั่นเอง หมอเอมได้เอื้อมมาแตะไหล่หมอนิทานพร้อมกับถามหมอนิทาน “แกเป็นอะไรรึเปล่า” หมอณัฐจึงพูดแทรกสวนหมอเอมทันที “มันก็คงคิดถึงแต่เรื่องเพื่อนสมัยเด็กอะไรของมันนั่นแหละ…ใช่มะ” หมอนิทานก็เลยสวนกลับหมอณัฐทันทีเหมือนกัน “มึงไม่ต้องรู้มากทุกเรื่องก็ได้นะไอ้ณัฐ” หมอณัฐก็เริ่มอมยิ้มอ่อนก่อนจะขำออกมา “โทษทีนะ…กูมันคนขี้เสือกว่ะเพื่อน ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หลังจากหมอณัฐพูดจบหมอณัฐก็นั่งหัวเราะต่อไป
หมอเอมก็เลยบอกกับหมอนิทาน “ปล่อยมันบ้าไปคนเดียวเถอะแก” อันที่จริงหมอณัฐหรือไอ้ณัฐของกลุ่มนี้เขาจะมีอุปนิสัยที่ค่อนข้างจะเฟรนลี่ เฮฮา เป็นตัวสร้างสีสันให้กับกลุ่ม พูดตรงบ้างเป็นบางที จนเพื่อน ๆ ก็ถึงกับต้องเรียกเป็นฉายาเลยว่าไอ้หมอปากหมากันเลยทีเดียว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นหมอณัฐก็ไม่เคยโกรธเพื่อนทั้งสองคนเลย และก็ยังเฮฮาดีอยู่เหมือนเดิม
คนที่ดูจริงจังที่สุดในกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นหมอเอม เพราะหมอเอมเป็นนักเรียนทุนก็เลยต้องทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก เพื่อให้เต็มที่กับทุนเรียนแพทย์ที่ได้มา หมอเอมจะมีนิสัยที่เข้าใจทุกคนและทุกคนก็คุยกับหมอเอมได้ทุกเรื่อง แต่ติดตรงเวลามีหมอณัฐอยู่ด้วยสองคนจะปะทะฝีปากปะทะคารมกันประจำราวกับไปแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนเลยงั้นแหละ
ส่วนหมอนิทานก็เรียนได้อันดับ 1 ตลอด จนเพื่อน ๆ จะชอบแซวกันประจำว่า “เบา ๆ ความเก่งลงบ้างเหอะพวกกูตามไม่ทันละ” อันที่จริงแล้วที่นิทานเรียนแพทย์ได้ดีก็เพราะพ่อของนิทานก็เป็นหมอเหมือนกัน และพ่อของนิทานก็เป็นคนเทรนนิทานมากับมือ เลยทำให้นิทานรู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับการเรียนยังไง เวลาเรียนวิชาไหนต้องทำยังไง เรียกได้ว่าเมื่อนิทานบอกกับพ่อว่าอยากเป็นหมอ พ่อของนิทานก็ได้อัดความรู้พื้นฐานให้เต็มที่ รวมถึงติดขัดตรงไหนก็ถามพ่อได้ตลอด เลยทำให้หมอนิทานนำหน้าเพื่อนในรุ่นอยู่หนึ่งก้าว เวลาเรียนหมอนิทานก็จะค่อนข้างจริงจัง แต่ถึงเวลาสนุกกับเพื่อนหมอนิทานก็เต็มที่เหมือนกัน
“เออ…ถึงเวลาที่พวกเราต้องเปลี่ยนแผนกกันแล้วนี่หว่า พวกมึงจะต้องไปลงอยู่แผนกไหนกันต่อวะ” หมอณัฐได้ถามหมอเอมและหมอนิทาน “ฉันต้องไปลงสูติ” หมอเอมได้ตอบหมอณัฐไป “แล้วมึงอ่ะนิ” หมอณัฐได้ถามหมอนิทานต่อ “กูอ๋อ…กูต้องไปลงจิตเวชว่ะ” หมอณัฐดื่มเหล้าต่อก่อนจะตอบหมอเอมและหมอนิทานไป “กูลงอายุ…กูน่าจะสบายสุดป่ะ” หมอเอมกับหมอนิทานเลยตอบแบบประสานเสียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย “เออ”
“เออนิ…ถ้ามึงต้องไปลงจิตเวชมึงก็ต้องไปทำงานที่โรงจิตเวชเลยป่ะ” หมอณัฐถามหมอนิทาน หมอนิทานก็ทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะตอบหมอณัฐกลับไป “เห็นพ่อกูบอกมาแบบนั้นอ่ะนะ” หมอเอมเลยพูดเสริมต่อ “ตอนที่ฉันไปฝึกที่จิตเวชอ่ะ…เจอคนไข้สารพัดจะรูปแบบเลย หนึ่งวันพันกว่าเรื่องเลยอ่ะแก”
บรรยากาศดนตรีสดที่ไพเราะ จนเมื่อดนตรีสดได้จบลงหมอเอมก็ได้ยกแขนและเหวี่ยงข้อมือเข้ามาเพื่อที่จะดูเวลา “เฮ้ย…พวกแกเที่ยงคืนกว่าแล้วอ่ะ พวกเรากลับกันเลยมั้ย” หมอเอมถามหมอณัฐและหมอนิทาน “มึงเอาไงอ่ะไอนิ” หมอณัฐมองหน้าหมอนิทานพร้อมถามออกไป หมอนิทานก็ลังเลใจหนึ่งก็อยากจะดื่มต่ออีกหน่อยแต่อีกใจหนึ่งกลับก็ได้ไม่ได้ซีเรียสอะไร “มึงว่าไงอ่ะไอณัฐ” หมอนิทานจึงถามหมอณัฐเพราะในใจตัวเองกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี หมอนิทานกะว่าถ้าหมอณัฐให้คำตอบไหนก็เอาคำตอบนั้นแหละ หมอณัฐเลยทำหน้าชี้ไปทางหมอเอม “กูว่ามันน่าจะไม่ไหวละ” หมอนิทานก็หันไปมองหน้าหมอเอม “งั้นกลับก็ได้” หมอนิทานตอบกลับหมอณัฐและหมอเอม
เมื่อทั้งสามคนออกมาจากร้านเหล้าหมอณัฐจึงถามหมอนิทานกับหมอเอม “เออพวกมึง…ให้กูไปส่งมั้ย” หมอเอมสะกิดแขนเสื้อหมอนิทานเบา ๆ และถามหมอนิทาน “ฉันไปนอนบ้านแกได้มั้ย” หมอนิทานเลยตอบหมอณัฐที่กำลังรอคำตอบของทั้งสองคนอยู่ “ไม่เป็นไรณัฐ…เดี๋ยวพวกกูกลับกันเองขอบใจนะ” หมอณัฐจึงยกมือโบกไปมาเพื่อเป็นการบอกลาหมอเอมและหมอนิทาน “กลับดีๆนะมึง” หมอนิทานยกมือไปมาเพื่อบอกลาหมอณัฐพร้อมคำกล่าวลา หมอณัฐยกมือขึ้นมาทำเป็นรูปโทรศัพท์แล้วเอามาแนบหู “งั้นมึงถึงบ้านแล้วโทรบอกกูด้วยนะนิ” หมอนิทานจึงตอบหมอณัฐกลับทันที “อืม” หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงได้แยกย้ายกันโดยที่หมอณัฐเดินไปที่ลอนจอดรถคนเดียว ส่วนหทอนิทานและหมอเอมก็ยืนรอรถที่เรียกไว้ในแอพมารับ
หมอณัฐเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อจะไปที่รถ แต่หมอณัฐไม่ทันได้สังเกตจึงได้เดินไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า “ขอโทษครับ…พอดีผมไม่ทันมองต้องขอโทษด้วยนะครับ” หมอณัฐกล่าวคำขอโทษ “ฉันเองก็ซุ่มซ่ามเองเหมือนกันค่ะ…ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หมอณัฐได้มือขึ้นมาลูบหลังหัวด้วยอาการที่ออกจะเขินผู้หญิงคนนั้นนิด ๆ “คุณชื่อะไรเหรอคะ” ผู้หญิงคนได้ถามพร้อมกับยิ้มให้หมอณัฐไปด้วย ทำเอาหมอณัฐทำตัวไม่ถูก “ผมชื่อณัฐครับ…ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” หมอณัฐรีบตอบผู้หญิงคนนั้นเพื่อเก็บอาการเขิน “ฉันชื่อนานะ…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” นานะเธอยื่นมือออกไปด้านหน้านิ้วทั้งห้าเรียงชิดไปตรงหน้าหมอณัฐ หมอณัฐจึงยื่นมือออกไปจับมือกับนานะด้วยอาการที่ยังคงเขิน ๆ นิด ๆ
ในขณะที่อีกด้านหมอนิทานและหมอเอมก็กำลังนั่งรถกลับไปยังบ้านของหมอนิทาน อันที่จริงนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หอพักแพทย์ หอพักพยาบาล แต่ด้วยความที่หมอนิทานมีบ้านของพ่ออยู่ที่กรุงเทพฯและบ้านที่หมอนิทานอยู่ก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ หมอนิทานจึงไม่ได้ไปอยู่หอพักแพทย์เหมือนกับคนอื่น ๆ และบ้านหลังนี้ก็จะมีหมอณัฐและหมอเอมมาอยู่บ่อย ๆ
ตอนนี้หมอเอมและหมอนิทานก็ได้กลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อทั้งสองเข้ามาในบ้านแล้วหมอนิทานก็ได้บอกกับหมอเอม “เดี๋ยวแกขึ้นห้องไปแกอาบน้ำก่อนได้เลยนะ…เดี๋ยวฉันจะคุยกับเจ้าน้องชายตัวแสบสักหน่อย” หมอเอมฟังแล้วก็ทำหน้าสงสัยและในความสงสัยนั้นมันก็หลุดออกมาเป็นคำพูด “นี่ก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว…ป่านนี้แชมป์มันยังไม่นอนอีกเหรอ” หมอนิทานจึงตอบกลับหมอเอม “ปิดเทอมแล้วเจ้าแสบมันนอนดึก…อีกอย่างเรารอคำตอบเรื่องเรียนต่ออยู่ ก็ถามไปแล้วแหละแต่เจ้าน้องชายตัวดีมันยังไม่ยอมตอบเราสักทีว่าจะเอายังไง” หลังจากหมอนิทานพูดจบหมอนิทานก็ได้เดินไปนั่งที่โซฟากลางบ้านพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อพิมพ์หาแชมป์
นิทาน : ไง…ไอแสบ นอนรึยัง
(นิทานก็ได้นั่งรอให้น้องชายตัวแสบสุดที่รักตอบแชทอยู่)
แชมป์ : ยังอ่ะเจ้
(ด้วยความที่ตระกูลนี้เป็นคนไทยเชื้อสายจีนจึงมีแชมป์คนเดียวที่เรียก
นิทานว่า “เจ้”)
นิทาน : สรุปเรื่องเรียนอ่ะ…แกคิดได้รึยังว่าจะไปเรียนที่ไหน คณะอะไร
แชมป์ : ยังไม่แน่ใจอ่ะเจ้…ที่บ้านก็น่าจะมีประเด็นอีกละ
นิทาน : แกทะเลาะกับพ่อแกอีกแล้วรึไง
แชมป์ : ก็ประมาณนั้นแหละ
นิทาน : แล้วทะเลาะกับพ่อเรื่องอะไร…เรื่องยัยหนูเมเปิ้ลรึเปล่า
แชมป์ : เจ้รู้จักกับบ้านภนินันท์คนโตนี่แล้วคนเล็กล่ะ…เจ้พอรู้อะไรมั้ย
นิทาน : ไม่เลยสักนิด
แชมป์ : เหมือนพ่อจะไม่ทำตามข้อตกลงของผมนะเจ้
นิทาน : เรื่องที่แกยอมหมั้นกับยัยหนูเมเปิ้ลน่ะเหรอ
แชมป์ : ตอนนี้เขาพยายามหาลูกเพื่อนมาให้ไอเอิร์ธรู้จักแบบเนียน ๆ
นิทาน : หมายความว่าถ้าเด็กมันรักกันก็ไม่ผิดข้อตกลงของแก…แถมยังได้สิ่งที่
ต้องการด้วยงั้นสิ
แชมป์ : ประมาณนั้น
นิทานจึงตัดจบประโยคสุดท้ายก่อนจะไปดูหมอเอมที่ห้อง “เอาเป็นว่าแกคิดเรื่องเรียนมาก่อนละกัน…ส่วนเรื่องอื่นเราค่อยมาว่ากันอีกที เพราะยังไงฉันก็อยู่ข้างแกอยู่แล้ว” หมอนิทานก็ได้วางโทรศัพท์ลงที่ข้างตัวและเอนตัวพิงโซฟาเต็มตัวด้วยท่าทางที่เหมือนจะเหนื่อยล้า สักพักก็ได้มีมือเข้ามาลูบไล้มาที่ไหล่ของหมอนิทานก่อนจะค่อย ๆ บีบนวดอย่างทนุถนอม “เป็นไงบ้างแก” เสียงและมือนั้นก็คือหมอเอมที่อาบน้ำเสร็จแล้วนั่นเอง “เอม…แกไม่ต้องทำให้เราขนาดนี้ก็ได้” หมอนิทานพูดกับหมอเอม “แกอย่าขัดฉันสิ…ฉันอยากทำแกให้ฉันทำเถอะ” หมอเอมได้ตอบหมอนิทานด้วยน้ำเสียงที่ดูหงอย ๆ อ้อน ๆ นิด ๆ หมอนิทานเห็นแบบนั้นก็เลยปล่อยให้หมอเอมทำต่อไปโดยไม่ได้คิดอะไร
หมอเอมที่ได้ทำแบบนี้ให้หมอนิทานก็ทำหน้าเหมือนจะมีความสุขที่ได้คอยดูแลหมอนิทานแบบนี้ “แกไปอาบน้ำเถอะนิ…เราจะได้ไปนอนกัน” หมอเอมชวนให้หมอนิทานไปอาบน้ำ “เออจริงสิ…เราลืมไปสนิทเลยอ่ะ” นิทานสะดุ้งดีดตัวอย่างแรงพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา
นิทาน : อีณัฐพวกกูถึงบ้านละนะ
(หมอนิทานรีบทักหาหมอณัฐทันที…เพราะมัวแต่คุยกับแชมป์จนลืมหมอณัฐไปสนิท)
ณัฐ : ลืมกูเลยสิท่า
(หมอณัฐตอบกลับหมอนิทานในเชิงแซะหน่อย ๆ )
นิทาน : โทษทีว่ะมึง…กูคุยกับไอน้องตัวแสบจนลืมมึงไปเลยอ่ะ
ณัฐ : ไอแชมป์อ่ะนะ
นิทาน : เออสิ…น้องกูก็มีอยู่คนเดียวมะ
ณัฐ : ป่ะ ๆ ๆ ไปนอนได้แล้วป่ะ เดี๋ยวสาย ๆ เดี๋ยวกูไปนั่งกินกาแฟที่บ้านมึงนะ โอเคป่ะ
นิทาน : เจอกันพรุ่งนี้
หมอนิทานจบบทสนทนากับหมอณัฐและหันไปหาหมอเอม “งั้น…เราจะไปอาบน้ำละ” หมอนิทานได้บอกกับหมอเอม “รีบไปเถอะ…เราจะได้ไปเข้านอนกัน” หมอเอมบอกกับหมอนิทาน จากนั้นหมอนิทานก็ได้ลุกจากโซฟาและขึ้นไปชั้นสองและมีหมอเอมเดินตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อหมอนิทานได้ทำอะไรเสร็จสรรพหมดแล้วหมอเอมและหมอนิทานก็เตรียมตัวนอน ตอนนี้ทั้งสองคนได้นอนบนเตียงเดียวกันและด้วยความเหนื่อยล้าจึงทำให้หมอนิทานหลับสนิท หมอเอมที่เห็นว่าหมอนิทานหลับไปแล้วหมอเอมก็นอนหันหน้ามาทางหมอนิทาน และหมอเอมก็ได้จ้องมองหน้าของหมอนิทานเมื่อยามนิทรา เสียงหัวใจของหมอเอมมันได้สั่งให้หมอเอมทำอะไรบางอย่าง เสียงหัวใจของหมอเอมมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้หมอเอมเริ่มที่จะหัวใจเต็นเร็วและแรง ร่างกายหมอเอมเริ่มร้อนผ่าวถึงแม้ว่าในห้องนี้จะเปิดแอร์ก็ตาม เสียงในใจหมอเอมมันยังคงสั่งร่างอย่างต่อเนื่อง หน้าของหมอเอมได้เข้าใกล้แก้มของหมอนิทานเข้าไปเรื่อย ๆ ๆ เมื่อหน้าของหมอเอมกำลังจะถึงแก้มของหมอนิทานเสียงในใจของหมอเอมมันก็ควบคุมร่างกายจนได้ หมอเอมได้หอมเข้าไปที่แก้มที่เนียนหนุ่ม ผิวขาวอมชมพูที่ใสเนียน เป็นสัมผัสที่ใคร ๆ ต้องหลงไหลราวกับต้องมนต์สะกด ตอนนี้หมอเอมเธอได้ทำสิ่งมันล้ำเส้นคำว่าเพื่อนไปแล้วโดยที่หมอนิทานก็ยังคงหลับสนิทและไม่รู้สึกตัว
“กริ่ง กริ่ง กริ่ง~”
“เช้าแล้วเหรอ” เสียงหมอนิทานบ่นงัวเงียที่บ่นขึ้นได้เพราะได้ยินเสียงกดกริ่งของบ้านปลุกให้ตื่น “ใครมาแต่เช้าเลยอ่ะ” หมอเอมถามหมอนิทานด้วยอาการที่งัวเงียเพิ่งรู้สึกตัวเช่นกัน หมอนิทานจึงลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะเอาสองมือตบไปที่สองแก้มเบา ๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น จากนั้นหมอนิทานจึงได้หันไปตอบหมอเอม “น่าจะเป็นไอณัฐอ่ะแหละ…เมื่อคืนมันบอกว่าสาย ๆ มันจะเข้ามานั่งกินกาแฟด้วย เดี๋ยวเราลงไปเปิดประตูก่อนนะ แกไปอาบน้ำก่อนได้เลย” เมื่อนิทานพูดจบหมอนิทานก็ลุกเดินยังประตูและออกจากห้องไป
“กว่าจะลงมาได้นะมึง…เพิ่งตื่นรึไง” หมอณัฐทักทายหมอนิทานตามสไตล์กวนประสาทเหมือนอย่างเคย “เออ…กูก็มาเปิดประตูให้แล้วนี่ไง” หมอนิทานตอบหมอณัฐ เมื่อหมอณัฐกับหมอนิทานเข้ามาในบ้านแล้ว “ณัฐ…มึงนั่งรอกูอาบน้ำแปปนึงละกัน เดี๋ยวเอมลงมาเอมก็คงเตรียมกาแฟให้แหละ” หมอนิทานเดินขึ้นชั้นสองจากหมอณัฐไป
หมอณัฐที่นั่งอยู่ที่โซฟาสักพักหมอเอมก็ได้เดินลงมาจากชั้นสอง “นี่อีณัฐ…ทำไมแกไม่ไปชงกาแฟกินเองล่ะ” หมอเอมถามหมอณัฐ “ฝากชงให้หน่อยได้ป่ะล่ะเพื่อนสาว” หมอณัฐถามหมอเอม หมอเอมจึงส่ายหน้าก่อนที่จะเดินไปที่ครัวเพื่อไปชงกาแฟรอหมอนิทาน
อีกสักพักหมอนิทานก็ได้มาจากห้องนอนที่ชั้นสอง หมอนิทานเดินมานั่งที่โซฟาที่มีหมอณัฐและหมอเอมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เออพวกมึง…เมื่อคืนตอนที่เราแยกกันกลับบ้านอ่ะ กูไปเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งมาว่ะ เธอน่ารักโคตร ๆ เลยนะ” หมอณัฐพูดด้วยท่าทีออกอาการมีความสุขออกนอกหน้านอกตา “ถ้ามันเม้าส์มาขนาดนี้นะชัดเลย…มันชอบเขา” หมอนิทานได้แซะจิกกัดหมอณัฐเล็ก ๆ “ก็เขาน่ารักอ่ะ…ใครบ้างไม่ชอบวะ ที่สำคัญนะเว้ย…กูอ่ะได้ contact เขามาแล้วด้วยนะเว้ย” หมอณัฐตอบหมอนิทาน “อีนี่ถ้าจะเป็นเอามาก” หมอเอมก็ได้แซะหมอณัฐด้วยเช่นกัน “ใครจะเหมือนมึงล่ะ…ที่แอบชอบเขาแต่ไม่กล้าบอก” หมอณัฐสวนหมอเอมแบบทันควัน
หมอนิทานยกมือชี้หน้าหมอเอมทันที “ใคร ใคร เอมแกมีความลับกับเราเหรอ” พอหมอนิทานพูดจบ หลังจากนั้นทั้งหมอนิทานและเอมจึงหยอกล้อกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างสนุกสนาน ส่วนหมอณัฐที่นั่งมองสองคนเล่นกันอยู่หมอณัฐก็ได้บ่นออกมาเบา ๆ “ก็มึงไงไอนิ” ใช่…หมอณัฐดูออกมาตลอดว่าหมอเอมรู้สึกยังไงกับหมอนิทาน แต่ที่หมอณัฐไม่พูดไปเลยตามสไตล์หมอปากหมาก็เพราะหมอณัฐอยากให้หมอเอมสารภาพทุกอย่างกับหมอนิทานด้วยตัวเอง
“นิ…แกพอได้แล้วเราเหนื่อยแล้วนะ” หมอเอมหยุดหมอนิทานไว้พร้อมกับพูดไปด้วย “นั่นดิ…หยอกกันอย่างกับเป็นแฟนกันไม่สนใจกูเลยนะ” หมอณัฐพูดออกแนวจิกกัดเล็ก ๆ “ทำมะ…อิจเหรอพ่อหนุ่ม” หมอเอมสวนกลับหมอณัฐทันที “ฮ่า ๆ ๆ ~ หล่อ ๆ อย่างพี่นี่นะอิจฉาน้อน เร็วไปล้านปีโว้ย” หมอนิทานเบ้ปากตามองบนพร้อมกับพูดลอย ๆ “เบื่อพวกหลงตัวเองจริง ๆ” หมอนิทานทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะพูด “เออจริงสิณัฐ…เดี๋ยวกูฝากมึงไปส่งเอมที่หอหน่อยได้มั้ย” หมอเอมทำสีหน้าเหมือนแมวที่กำลังอ้อนเจ้าของและถามหมอนิทาน “ทำไมอ่ะ…แกไปส่งเราไม่ได้อ๋อ” หมอณัฐก็เลยเสริมทันที “นั่นดิวะ” หมอนิทานนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบทั้งสองคน “นัดกับไอตัวแสบไว้อ่ะ…เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาแล้วแหละ” หมอณัฐเลยตบเข่าตัวเองก่อนจะตอบหมอนิทาน “โอเค…กูเกทละ”
หมอเอมที่มองหมอนิทานจึงถามหมอนิทาน “มีเรื่องด่วนกันเหรอ” หมอนิทานจึงนิ่งไปก่อนจะตอบหมอเอม “ก็นิดหน่อยอ่ะ…พวกแกจำพี่มิวนิค อันธิกาได้มั้ย” หมอเอมและหมอณัฐก็นั่งนึกกันอยู่ชั่วครู่ หมอณัฐเหมือนจะนึกออกก่อนจะถาม “อ๋อ…พี่มิวนิคคณะแพทย์เราที่เพิ่งเรียนจบไปใช่ป่ะ หมอนิทานพยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับหมอณัฐ “อืม…นั่นแหละ”
หมอเอมเลยถามหมอนิทานเหมือนกัน “ทำไมเหรอแก” หมอนิทานเลยถอนหายใจก่อนจะตอบทั้งสองคน “ดู ๆ ไปแล้วคงจะได้มีเรื่องวุ่นวายในอีกไม่ช้าอ่ะ” หมอณัฐเลยตัดบท “เอาเหอะ ๆ มึงก็รอน้องมึงไปละกัน…เอมมึงไปเก็บเตรียมตัวกลับได้ละ” หมอเอมเลยทำหน้านอยด์ ๆ ก่อนจะตอบหมอณัฐไป “กูรู้แล้วล่ะหน่า” แล้วหมอเอมก็ลุกเดินไปชั้นสองเพื่อไปเก็บของเตรียมตัวกลีบหอ”
หมอณัฐที่นั่งจิบกาแฟอยู่ก็ได้ถามหมอนิทานขึ้น “ไอนิ…สรุปมึงตามหาเพื่อนสมัยเด็กของมึงไปถึงไหนแล้ววะ” หมอนิทานส่ายหน้าก่อนจะตอบหมอณัฐ “ไม่ได้เรื่องอะไรเลยว่ะ” หมอณัฐพยักหน้ารับ หมอนิทานจึงถามกลับไป “แล้วมึงนึกยังไงถึงถามเรื่องนี้” หมอณัฐเลยตอบกับหมอนิทาน “กูเห็นถ้านอกจากไอแชมป์น้องมึง…ก็เด็กที่ชื่อดาวอะไรนั่นน่ะที่มึงคิดถึงจังเลย” หมอนิทานก็ได้แต่นิ่งเงียบไป
“ณัฐ…มึงว่ากูจะได้เจอเขาอีกมั้ยวะ” หมอนิทานถามหมอณัฐ หมอณัฐเลยวางแก้วกาแฟเอนตัวลงโซฟาก่อนที่จะตอบหมอนิทาน “กูจะไปรู้เหรอ…เรื่องนั้นมึงต้องหาคำตอบเอาเองนะไอนิ” ในขณะที่หมอเอมก็กำลังยืนแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่ ใบหน้าของหมอเอมตอนนี้มันเป็นรู้สึกที่เสียใจปนเปผสมกับความโกรธ มันชัดเจนในใจของหมอเอมแล้วว่าตัวเองรู้สึกกับหมอนิทานแค่ไหนกันแน่
“เอม…มึงเสร็จยังวะ” หมอณัฐตะโกนถามหมอเอม เสียงของหมอณัฐที่แหวกว่ายผ่านอากาศไปก็ได้ไปถึงตัวหมอเอมที่กำลังยืนแอบฟังหมอณัฐคุยกับหมอนิทานอยู่ หมอเอมเลยรีบขานรับตอบกลับเสียงหมอณัฐเพื่อไม่ให้ผิดสั่งเกตุ “เออ…เสร็จแล้ว ๆ” หมอเอมก็ค่อย ๆ เดินไปหาหมอณัฐกับหมอนิทาน “พร้อมละ” หมอเอมบอกกับหมอณัฐ หมอนิทานเลยบอกกับหมอณัฐ “กูฝากด้วยนะ” หมอณัฐเลยพยักหน้ารับและตอบหมอนิทาน “เดี๋ยวกูจัดการเอง” หมอนิทานพยักหน้าแล้วตอบหมอณัฐ “ขอบใจนะมึง”
“งั้นกลับเลยละกัน…ไปกันเลยไอเอม” หมอณัฐถามหมอเอม “กลับก็กลับ” หมอเอมตอบหมอณัฐด้วยน้ำเสียงเหมือนจะนอยด์ ๆ “งั้นพวกกูไปก่อนนะไอนิ” หมณัฐบอกหมอนิทาน “กลับกันดี ๆ นะ” หมอนิทานตอบกลับทั้งสองคน และแล้วหมอณัฐและหมอเอมก็ได้เดินออกจากบ้านหมอนิทานไปเพื่อที่จะกลับบ้านกัน
ตอนนี้หมอณัฐและหมอเอมกำลังนั่งกลับไปทางหอของหมอเอมโดยมีหมอณัฐเป็นคนขับรถ “มึงคิดจะบอกไอนิมันเมื่อไหร่วะว่ามึงชอบมันอ่ะ” หมอณัฐถามหมอเอมขณะที่ขับรถอยู่ “ไม่รู้ว่ะ…มึงคิดว่ากูจะพูดได้จริงอ๋อ” หมอเอมตอบหมอณัฐในขณะที่มองทางไปด้วย “ถ้ามึงไม่อยากเสียไอนิมันไปให้ใคร…กูว่ามึงบอกมันไปเหอะ” หมอณัฐบอกกับเอม “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นกูคงบอกไปนานแล้วล่ะ” หมอเอมตอบกลับหมอณัฐ
“ถึงหอละ” หมอณัฐบอกกับหมอเอม “ขอบใจละกันนะ” หมอเอมตอบกลับหมอณัฐด้วยท่าทางจิกกัดเล็ก ๆ จากนั้นหมอเอมก็ได้เปิดประตูรถและลงจากรถไป หมอณัฐได้แต่นั่งส่ายหัวพร้อมกับบ่นอยู่ในรถไปด้วย “ถ้ามึงไม่บอกให้ไอนิมันรู้…มึงก็จะไม่มีวันที่จะมีโอกาสเข้าถึงใจมันได้หรอก” และหมอณัฐก็ได้ขับรถออกไปจากหอพักของหมอเอม
ขณะที่หมอนิทานก็กำลังรอน้องชายตัวแสบมาหาที่บ้าน ประตูบานในของบ้านก็เปิดออก “หวัดดีเจ้” การทักทายและเรียกนิทานแบบนี้มีเพียงแค่คนเดียว “มาได้แล้วเหรอเจ้าน้องตัวแสบ” นิทานตอบกลับเสียงนั้นและคน ๆ นั้นก็คือแชมป์น้องชายสุดรักสุดห่วงของนิทาน “พี่นิทานสวัสดีครับ” เสียงทักทายนิทานตามอีกสองเสียง “นี่มากันครบแก๊งเลยเหรอ” สองคนที่ทักนิทานคือธีมและแดนเพื่อนสนิทของแชมป์ที่สนิทกันมาตั้งแต่ ม.1 และสามคนนี้ก็มักจะไปไหนมาไหนด้วยบ่อยมาก ๆ นิทานในฐานะพี่สาวก็เลยพลอยได้รู้จักกันไปด้วย “พอดีพวกเราคิดถึงพี่นิทานครับ…ก็เลยตามมันมาด้วย” ธีมและแดนตอบกลับนิทานอย่างเคารพและยิ้มอย่างจริงใจให้กับนิทาน
“ลืมอะไรไปรึเปล่าไอตัวแสบ” นิทานถามแชมป์ด้วยท่าทีคล้ายจะนอยด์ ๆ แต่ก็ไม่ได้นอยด์ แล้วแชมป์ก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้านิทานก่อนที่ทั้งสองคนจะกอดกัน ที่คือการทักทายกันอันเป็นปกติของพี่น้องคู่นี้ที่ทำเอาคนอื่นที่ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันเข้าผิดกันไปหลายคนแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังทำแบบนี้กันเป็นเรื่องปกติโดยที่ไม่ค่อยจะสนใจใครสักเท่าไหร่
เมื่อแชมป์กับนิทานปล่อยอ้อมกอดและแยกตัวออกจากกันด้วยสายตาท่าทางที่ห่วงหาอาทรต่อกัน แชมป์จึงได้พูดต่อทันที “เจ้จะคุยเรื่องเรียนต่อใช่มั้ย…ผมคิดมาให้แล้ว พวกผมสามคนจะเข้าเรียนคณะนิเทศ” นิทานที่ฟังจบแล้วก็เอามือตบบ่าแชมป์เบา ๆ ก่อนที่นิทานจะพูด “เอาละ…ถ้าแกตัดสินใจแบบนี้แกคงได้ทะเลาะกับพ่อแกแน่ ๆ แต่เอาเถอะ…ยังไงฉันก็อยู่ข้างแกอยู่ดี”
“ขอบคุณนะเจ้…ที่เข้าใจกันมาตลอด” แชมป์กล่าวขอบคุณนิทานด้วยท่าทีที่เคารพและนอบน้อมในตัวนิทานอย่างมาก “พี่นิทาน…พี่ไม่ต้องห่วงนะครับพวกเราจะดูแลไอแชมป์เองครับ” ธีมกล่าวกับนิทาน เมื่อนิทานฟังจบนิทานก็ถอนหายใจพร้อมกับพูด “พี่สบายใจแล้วล่ะ…ที่พวกเราสามคนรักกันมากขนาดนี้” จากนั้นนิทานก็ยิ้มให้กับแชมป์
วันต่อมา
วันนี้เป็นวันแรกที่นิทานจะต้องไปรายงานตัวและฝึกปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นวันแรก นิทานขับรถมาจนถึงโรงพยาบาลจิตเวช นิทานก็ได้เดินไปห้องอาจารย์หมอเพื่อไปรายงานตัว สถาบันจิตเวชศาสตร์ที่นิทานต้องมาทำงานนั้นเป็นที่ ๆ มีแต่ผู้ป่วยระดับเสียสติหรือถ้ามาปรึกษาหมอก็คืออาการเริ่มรุนแรงแล้ว จึงทำให้สถาบันจิตเวชศาสตร์แห่งนี้มีผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ที่สถาบันฯแห่งนี้
ก็อก ก็อก ก็อก~
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” ตอนนี้หมอนิทานได้มาถึงห้องของอาจารย์หมอและเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าพบอาจารย์หมอ หมอนิทานได้เปิดประตูเข้าไปในห้องของอาจารย์หมอ “คุณคือนักศึกษาแพทย์ที่จะมาฝึกงานที่นี่ใช่มั้ยครับ” อาจารย์หมอถามอนิทาน “ดิฉันชื่อ นิทรารัตน์ วิริยเทพา ค่ะ” หมอนิทานแนะนำตัวกับอาจารย์หมอ “งั้นไปกันเถอะครีบ…เดี๋ยวพาไปชมเคส แล้วก็จะให้คุณทดลองเคสเลยครับ เพราะที่นี่มีหมอและพยาบาลไม่พอ คุณอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ”
อาจารย์หมอได้พาหมอนิทานเดินดูเคสไปเรื่อย ๆ “เริ่มจากเคสนี้ครับ เขาพยายามอัตวินิบาตกรรมตัวเองมาหลายครั้งจนเขาเสียสติไป พอเขาเสียสติเราก็เลยรับเขามาดูแล” อาจารย์หมอพาดูเคสต่อไปและต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเคส ๆ นี้ที่อาจารย์มีอาการลำบากใจที่จะพูดอย่างชัดเจน เหมือนว่าอาจารย์หมอจะดูเศร้าสลดกับเคสนี้พอสมควร “มาดูเคสนี้กันเถอะครับ เธอชื่อรุ้งดาวครับ เธอเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุเมื่อ 8 ปีที่แล้ว จึงทำให้มีอาการ PTSD อย่างรุนแรง เพราะเธอเกิดอาการช็อคอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วจากนั้นเธอจึงถูกส่งตัวมาที่นี่”
หมอนิทานที่ฟังอาจารย์หมอบรรยายมาถึงจุดนี้จึงเกิดความสงสัย “เห็นอาจารย์หมอดูเศร้ากับเคสนี้มากเป็นเพราะอะไรเหรอคะ” อาจารย์หมอจึงตอบหมอนิทานพร้อมมองผ่านช่องกระจกของประตูห้องไปด้วย “คุณนี่ช่างสังเกตุดีนะ…จริง ๆ ถ้าเรารู้ว่ากุญแจที่ปิดใจของเธอคืออะไรเราน่าจะรักษาเธอได้ แต่ผ่านมา 8 ปีแล้ว ผมยังหาคำตอบไม่ได้ เลยปลดปล่อยจิตใจเธอไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้นเลยด้วย ผมเลยอยากให้คุณลองรักษาเคสนี้ดูหน่อย คุณโอเคมั้ยครับ” หมอนิทานจึงตอบรับอาจารย์หมอ “ค่ะ”
“งั้นผมฝากเคสนี้กับไว้คุณนะครับ”อาจารย์หมอพูดจบก็พาหมอนิทานไปดูเคสอื่น ๆ ต่อจนครบ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments