ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของดวงดาว Part 2

ณ สนามเด็กเล่นเย็นวันศุกร์

         “ดาว…รอนานมั้ย” เสียงที่คุ้นเคยที่ดาวได้ยินมาตลอดสามสัปดาห์ก็ได้ดังขึ้นและเรียกชื่อของดาว ในขณะที่ดาวก็เอาแต่นั่งร้องไห้ไม่หยุดเพราะดาวคิดแล้วว่าวันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกับนิทาน และต่อจากนี้ไปก็คงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว 

              นิทานที่เดินมาจากด้านหลังของดาวเหมือนอย่างเคยก็ได้เดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงตัวของดาว และนิทานก็ได้เห็นว่าดาวกำลังเอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนวันแรกที่เจอกัน แต่เหมือนว่าครั้งนี้ดาวจะร้องไห้หนักกว่าเดิม นิทานที่เห็นแบบนั้นจึงรีบเข้ามานั่งข้าง ๆ ดาว พร้อมดึงตัวดาวเข้ามากอดและถามดาวไปว่า “ดาว ดาว เธอเป็นอะไรไปน่ะ เธอร้องไห้ทำไม มีใครมาแกล้งอะไรเธอเหรอ” นิทานที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เอาแต่พยายามที่จะถามพยายามที่จะปลอบประโลมดาว 

               ขณะที่ดาวก็เอาแต่ร้องไห้และกอดนิทานอยู่แบบนั้น “ดาว…เธอหยุดร้องไห้แล้วบอกเราก่อนได้มั้ยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอและเธอร้องไห้ทำไม” นิทานดึงตัวของดาวขึ้นมาเพื่อถามและดึงสติของดาวให้กลับมา 

               ดาวจึงเริ่มค่อย ๆ ที่จะหยุดร้องไห้และมองหน้าของนิทาน ดาวได้มองตาของนิทานด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง ด้วยใบหน้าที่แต่ความอาลัย และด้วยใบหน้าที่รู้ว่ากำลังจะต้องจากลากับนิทาน เมื่อนิทานเริ่มเห็นว่าดาวเริ่มที่จะหยุดร้องไห้แล้ว นิทานจึงได้ถามดาวอีกครั้ง “ดาว…เธอเป็นอะไรน่ะ เธอบอกเราได้มั้ย”

                ตอนนี้นิทานได้เอามือทั้งสองข้างจับไปที่หน้าของดาวด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน ไออุ่นจากมือทั้งสองของนิทานที่ได้แผ่ซ่านไปที่สองแก้มของดาวและเริ่มทำให้ดาวสงบลง “นิทาน…เรามีเรื่องจะบอกเธอนะ” ดาวพูดในขณะที่มือทั้งสองของนิทานยังวางอยู่บนสองแก้มของดาว

               “มีอะไรเหรอดาว” นิทานได้ถามดาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนที่จะเอาทั้งสองมือออกจากทั้งสองแก้มของดาวแล้วค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าจับสองมือของดาวเอาไว้ ตอนนี้ในใจของนิทานมันเต็มด้วยไปความรู้สึกที่เป็นห่วงดาวเอามาก ๆ สงสัยว่าทำไมดาวถึงเอาแต่นั่งร้องไห้หนักมากขนาดนั้น

                     

                  “วันอาทิตย์นี้เราจะต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้วนะ” ดาวพูดน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับมองหน้าของนิทานไปด้วย นิทานก็มองหน้าดาวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ไอเราก็นึกว่าเรื่องอะไรก็แค่ย้ายบ้านเอง…ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตไปได้ โถ~ ยัยขี้แง” ดาวจึงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง นิทานที่เริ่มเห็นว่าดาวจะร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกแล้ว นิทานจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “ถึงเธอจะย้ายบ้านไปแล้วแต่เราก็ยังเขียนจดหมายหากันได้นะ” นิทานนึกในใจดีนะที่เรารีบชิงพูดไปก่อนไม่งั้นยัยนี่ได้ร้องไห้เป็นยัยขี้แงอีกแน่ ๆ

                      ดาวที่ฟังนิทานพูดจบก็ได้ตอบกลับนิทาน “แต่เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ” นิทานจึงเอามือทั้งสองไปจับที่สองแก้มของดาวอีกครั้งก่อนจะพูดกับดาว “ไม่เห็นยากเลยนะยัยขี้แง…ตราบเท่าที่เรายังเขียนจดหมายหากันอยู่ เราก็รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เราสัญญาว่าถ้าเราได้ไปกรุงเทพฯ เราจะให้พ่อแม่พาไปหาเธอแน่นอน”

                      ดาวที่ฟังนิทานพูดจบก็สงสัยว่านิทานจะต้องไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ ดาวจึงถามนิทาน “เธอจะไปทำอะไรที่กรุงเทพฯล่ะ” นิทานก็ยิ้มให้กับดาวก่อนจะตอบดาว “เรามีน้องชายอยู่ที่กรุงเทพฯนะ น้องเราเป็นเด็กที่น่ารักมากไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ร้องงอแงด้วย ทั้งที่ตอนนี้อายุแค่ 4 ขวบเอง และบ้านเราก็ต้องไปทำธุระที่กรุงเทพฯ และเราก็จะต้องไปหาน้องชายเราอยู่แล้ว เพราะงั้นเราต้องได้เจอกันแน่นอน”

                       ดาวทำสีหน้าที่ดูกังวลและก็ถามนิทานกลับไปว่า “จริง ๆ เหรอ” นิทานก็ได้ตอบกลับดาวทันที “ก็จริงสิ…เราจะโกหกเธอทำไมล่ะ” นิทานทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดกับดาวต่อ “งั้นไหน ๆ เธอก็จะต้องย้ายบ้านแล้ว และนาน ๆ ทีเราคงได้เจอกันทีเธอไปนอนบ้านเรามั้ย เดี๋ยวเราบอกให้แม่เราไปรับเรากับเธอที่บ้านเธอกันนะ” นิทานได้ลุกขึ้นมาจากม้านั่งพร้อมกับดึงตัวดาวให้ลุกขึ้นมาด้วย 

                       นิทานได้จูงมือของดาวพร้อมกับพูด “เราไปบ้านเธอกันเถอะ” ตอนนี้ดาวพูดอะไรไม่ออกได้แต่ไหลตามตัวตนของนิทานไป นิทานกับดาวได้เดินจูงมือกันเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังบ้านของดาว ทั้งสองคนได้เดินจูงมือกันไปแบบนั้นตลอดทางพร้อมด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่แสนจะมีความสุข ถึงในใจลึก ๆ ของทั้งสองคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ววันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน

                         

                    “ถึงสักที” ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้มาถึงบ้านของดาว แม่ของดาวที่กำลังเก็บขยะมาวางที่ถังขยะหน้าบ้าน เมื่อได้เห็นทั้งสองคนก็ได้ทักทาย “อ้าวนิทาน…หนูพาดาวมาส่งเหอจ๊ะ” เมื่อนิทานฟังแม่ของดาวจบก็ได้พูดต่อ “แม่ค่ะ…วันนี้หนูขอพาดาวไปนอนที่บ้านหนูได้มั้ยค่ะ เห็นดาวบอกว่าแม่จะย้ายบ้านแล้วหนูเลยอยากอยู่กับดาวก่อนที่ดาวจะย้ายบ้านไปอ่ะคะ” แม่ของดาวก็คิดอยู่ชั่วครู่ก็ได้ตอบนิทานกลับไป “ได้สิจ๊ะ…งั้นดาวหนูไปเอาเสื้อผ้านะ ส่วนนิทานเข้าบ้านมานั่งทานของว่างรอก่อนนะจ๊ะ” ดาวและนิทานจึงได้ตอบรับแม่ของดาว “คร้าาา~”

                        นิทานก็ได้มานั่งคุยกับแม่ของดาวพร้อมกับทานอาหารว่างที่แม่ของดาวนำมาเสริฟพร้อมกับน้ำ ส่วนดาวนั้นก็ขึ้นไปเตรียมชุดนอนและชุดที่จะใส่กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น สักพักเสียงกริ่งของบ้านดาวก็ได้ดังขึ้นพร้อมกับดาวที่กำลังเดินลงมาจากบันไดพอดี “เดี๋ยวแม่ไปดูก่อนนะจ๊ะว่าใครมา” เมื่อแม่ของดาวเปิดประตูในของบ้านออกไปก็ได้ว่าเป็นแม่ของนิทานแม่ของดาวจึงเรียกดาวและนิทาน “นิทานจ๊ะ…แม่หนูมาแล้วนะจ๊ะ” นิทานและดาวจึงได้เดินตามเสียงของแม่ของดาวไป

                         จนทั้งสองคนได้เดินมาถึงที่ประตูบ้านของดาว แม่ของดาวจึงพูดกับแม่ของนิทาน “ฉันขอฝากเด็ก ๆ ด้วยนะค่ะ” แม่ของนิทานจึงตอบกลับแม่ของดาว “ไม่ต้องห่วงนะค่ะ…ฉันจะดูแลเด็ก ๆ ต่อให้เองคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะค่ะ” จากนั้นแม่ของนิทานก็ได้หันมาพูดกับเด็ก ๆ ทั้งสอง “ป่ะ…เด็ก ๆ ไปขึ้นรถกันได้แล้ว” อันที่จริงบ้านของดาวและนิทานก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนะ เพียงแต่บ้านของนิทานอยู่ลึกกว่าบ้านของดาวเมื่อรวมระยะทางแล้วจึงเป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแม่ของนิทานจึงขับรถออกมารับเด็ก ๆ

                          “ถึงบ้านแล้วนะเด็ก ๆ” เมื่อ นิทาน ดาว และแม่ของนิทานได้เดินเข้ามาถึงในบ้านก็ได้พบกับพ่อของนิทานที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ดาวจึงทักพร้อมกับยกมือพนมไหว้ “พ่อค่ะ…สวัสดีคะ” พ่อของนิทานลดหนังสือพิมพ์ลงและวางหนังพิมพ์ลงข้าง ๆ “มากันแล้วเหรอ…ทำตัวตามสบายนะ” พ่อของนิทานตอบกลับดาว และเมื่อพูดจบพ่อของนิทานก็ได้ลุกขึ้นยืนและเดินมาหาดาวกับนิทาน เมื่อพ่อของนิทานเดินมาถึงตัวทั้งสองคนแล้วพ่อของนิทานจึงพูดต่อ “นิทานพาเพื่อนไปอาบน้ำป่ะ…เดี๋ยวจะได้มาทานข้าวเย็นกัน” ดาวและนิทานจึงขานรับคำพูดพ่อของนิทาน “คะ” นิทานและดาวได้เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองเพื่อไปเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

                      พ่อของนิทานจึงหันมาหาแม่ของนิทาน “เออนี่คุณ” แม่ของนิทานก็ได้ตอบรับพ่อของนิทาน “ว่าไงค่ะคุณ” พ่อของนิทานจึงถามต่อไปว่า “เห็นคุณบอกว่าเด็กคนนั้นจะย้ายบ้านไม่ใช่เหรอ” แม่ของนิทานจึงตอบกลับ “ใช่คะ…ทำไมเหรอค่ะคุณ มีอะไรกังวลใจเหรอค่ะคุณ” พ่อของนิทานจึงถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไป “ผมห่วงลูกเรากลัวลูกจะเศร้ามากกว่า…เห็นดูท่าทางสนิทกันขนาดนั้น ผมเลยแอบห่วงลูกของเราอยู่นิด ๆ” แม่ของนิทานจึงถอนหายใจตามก่อนจะตอบกลับ “ลูกเราก็คงจะเศร้าบ้างแหละคะช่วงแรก ๆ แต่ฉันเชื่อนะค่ะว่าลูกเราแข็งแกร่งพอ ก็คุณกับฉันดูแลเขามาเป็นอย่างดีนี่ค่ะ” พ่อของนิทานจึงตอบกลับ “ก็นั่นสินะ”

                          

                        เมื่อนิทานและดาวได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกันเสร็จแล้วก็ได้ลงมาที่ห้องรับแขก และเสียงแม่ของนิทานก็ได้ดังขึ้น “เด็ก ๆ มาทานข้าวเย็นกันได้แล้วจ่ะ” ทั้งสองคนตอบรับเสียงแม่ของนิทาน “คร้าาา~” และแล้วนิทานและดาวก็ได้เดินมาจนถึงโต๊ะอาหาร ตอนนี้พ่อและแม่ของนิทานได้นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้าเรียบร้อยแล้ว 

                        เมื่อนิทานและดาวได้นั่งลงประจำที่แล้ว ดาวก็ได้เอื้อมมือไปคว้าซอสมะเขือเทศที่วางตั้งอยู่บนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้ามาเปิดฝา ก่อนที่ดาวจะบีบซอสมะเขือเทศมาวาดเป็นรูปหัวใจและเอื้อมมือไปสลับจานกับนิทาน ทำเอานิทานถึงกับงงไปเลย ก่อนที่นิทานก็จะหยิบซอสมะเขือเทศมาเปิดฝาและหยิบจานเปล่าเบื้องหน้าของดาวมาวาดรูปหัวใจและส่งจานกลับคืนไปเบื้องหน้าดาวที่เดิม ทำเอาพ่อและแม่ของนิทานถึงกับนั่งอมยิ้มราวกับว่ามีความสุขที่เห็นเด็กสองคนเล่นกัน

  

                          และเมื่ออาหารมื้อเย็นได้นั้นจบลงในที่สุดก็ได้เวลาที่เด็ก ๆ จะต้องขึ้นห้องและนอนกันแล้ว นิทานและดาวก็เดินมายังห้องนอนของนิทาน “ดาว…เรามาดูดาวก่อนนอนกันมั้ย” นิทานถามดาวไป ดาวที่ได้ยินคำชวนของนิทานก็ได้ตอบรับนิทานกลับไป “ได้สิ…เรามาดูดาวก่อนนอนกันนะ” นิทานฟังดาวพูดจบแล้วก็ได้ยิ้มให้ดาวอย่างอ่อนโยน

          22.49 น. “ท้องฟ้านั่นสวยงามจังนะว่ามั้ย”

นิทานพูดและยืนดูดาวอยู่ที่หน้าต่างและมีดาวยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่นิทานจะเอามือที่เล็กและบอบบางนิ้วทั้งสามที่ชี้เข้าหาตัวและนิ้วชี้ที่ชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าของนิทานและชี้ไปยังทางท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และห่างไกล “ดาว…เธอว่าท้องฟ้ามันมีจุดสิ้นสุดมั้ย“ นิทานได้ถามดาวและพร้อมกับมองท้องฟ้าไปด้วย ดาวที่ฟังคำถามของนิทานก็ได้ตอบกลับนิทาน “เราก็ไม่รู้เหมือนอ่ะ…แต่เราอยากหยุดเวลาของพวกเราไว้ที่ช่วงนี้มากกว่านะ” นิทานฟังจบนิทานก็ได้ถามดาวต่อ “ท้องฟ้าสวยมั้ย” และนิทานก็ยืนรอฟังคำตอบของดาวโดยที่ตายังคงมองท้องฟ้าอยู่ “ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี่มันก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ” ดาวตอบกลับด้วยเสียงที่เล็กและนิ่มนวลราวกับปุยนุ่น

                     ตอนนี้นิทานและดาวได้ยืนมองดาวผ่านหน้าต่างจากในห้องของนิทาน และแล้วมือของทั้งสองก็เริ่มค่อย ๆ ขยับเข้าหากันที่ละนิด ๆ มันใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ราวกับว่ามือของทั้งสองคนนั้นมันมีแรงดึงดูดที่ค่อย ๆ ดูดมือของทั้งสองคนเข้าหากัน และเมื่อมือสองคนได้แตะกัน ในที่สุดทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ประสานมือกันและจับมือกันในที่สุด 

                     ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมามองหน้ากันและแล้วทั้งสองคนก็ได้ตกลงไปในห้วงแห่งภวังค์อีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจที่แผ่วเบาแต่กลับร้อนซ่านไปหมดทั้งตัว หัวใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะราวกับกลองชุดที่ตีรัวจนนับจังหวะไม่ได้ ใบหน้าที่ค่อย ๆ ขยับเข้าหากันและไม่อาจจะหยุดยั้งร่างกายได้ เหงื่อที่ค่อย ๆ ซึมออกจากมือและหน้าผาก อากาศรอบข้างที่หนาวเย็นกลับกลายเป็นร้อนราวกับไฟที่กำลังจะเผาร่างให้หลอมละลาย และแล้วริมฝีปากที่เล็กและเบาบางของทั้งสองคนก็ได้เริ่มเข้าใกล้กันเรื่อย ๆ ราวกับว่าเป็นแม่เหล็กที่กำลังดึงดูดกันและกัน จนตอนนี้อยู่ในระยะที่ห่างกันเพียงแค่เอื้อม และในที่สุดริมฝีปากของทั้งสองคนก็ได้ประกบเข้าหากัน และหลังจากที่ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกันแล้ว ทุกอย่างและทุกสิ่งในโลกใบนี้มันเหมือนจะถูกหยุดไว้แค่นั้น เสียงในใจของทั้งสองก็ได้ตั้งคำถามเดียวกันในตอนนี้

“นี่น่ะหรือคือสิ่งที่เรียกว่าความสุข”

                      และนี่คือจูบแรกของนิทานและดาวเป็นจูบที่ทำให้ทั้งสองคนได้รับรู้แล้วว่านี่คือความรู้สึกที่มันไปกว่าเพื่อนกันแล้ว ในที่สุดนิทานและดาวก็ได้รู้ใจกันและกันสักที เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองคนยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าสิ่งนี้มันเรียกว่าอะไร แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองคนมีความสุขมาก ๆ ในค่ำคืนนี้ เมื่อรุ่งเช้าได้มาถึง เวลาแห่งความสุขมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน 

                       “ก็อก ก็อก ก็อก”

                   เสียงเคาะประตูห้องของนิทานได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแม่ของนิทาน “เด็ก ๆ ตื่นกันได้แล้วจ่ะ ๆ ๆ” นิทานที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องแล้วก็เริ่มรู้สึกตัวและค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับได้ยินเสียงเรียกของแม่ตัวเองด้วยก็เลยต้องตื่นขึ้น เมื่อนิทานขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียง นิทานก็ได้หันไปมองดาวที่ยังคงหลับอยู่ข้าง ๆ นิทาน “น่ารักจัง” นิทานบ่นกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับมองหน้าดาวด้วยความรู้สึกที่มีความสุขไปด้วยพร้อม ๆ กัน

                   “ดาว…ตื่นได้แล้ว ๆ ๆ” นิทานเอื้อมมือไปแตะไหล่ดาวพร้อมเขย่าไหล่ดาวเบา ๆ ดาวก็เริ่มรู้สึกงัวเงีย ๆ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัว “เช้าแล้วเหรอ” ดาวพูดด้วยเสียงในลำคอพร้อมกับอาการที่ยังคงงัวเงียและสลึมสลือไปด้วย จากนั้นดาวก็ค่อย ๆ เริ่มลืมตาตื่น และเมื่อดาวลืมตาตื่นก็ได้เห็นว่าแววตาที่กลมใสคู่นั้นที่กำลังจ้องมาที่ดาว จึงทำให้ดาวเกิดอาการตกใจสะดุ้งและรีบดีดตัวลุกขึ้นจากหมอนทันที “นี่เธอนั่งจ้องหน้าเรานานรึยังเนี่ยนิทาน” นิทานก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงตอบดาวกลับไป “ก็แปปนึงแล้วนะ…ถ้ารู้ว่าปลุกแล้วจะตกใจรีบลุกขนาดนี้เราไม่ปลุกหรอก” ดาวจึงตอบกลับนิทาน “อย่าพูดเล่นหน่า” นิทานอมยิ้นก่อนจะตอบดาวกลับไป “ก็เธอตอนหลับมันน่ารักอ่ะ…ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ไม่ปลุกดีกว่า”

                        ดาวที่ได้ยินนิทานพูดแบบนั้นก็ถึงกับหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นดาวจึงรีบลุกจากเตียงลงจากเตียงและวิ่งไปยังประตูพร้อมกับพูดไปด้วย “เราไปอาบน้ำก่อนนะ” นิทานที่ได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของดาวแล้วก็ทำเอานิทานถึงกับอมยิ้มไปเลย

                    “เด็ก ๆ อาบน้ำกันเสร็จรึยังจ๊ะ” เสียงแม่ของนิทานที่เรียกหาเด็ก ๆ เมื่อนิทานและดาวได้ยินเสียงแม่ของนิทานจึงขานรับ “กำลังจะลงไปแล้วคะแม่” นิทานและดาวได้ลงจากบันไดที่ชั้นสองลงมายังห้องรับแขก แม่ของนิทานที่เดินมาพอดีได้เรียกให้ดาวและนิทานมาทานข้าวเช้า “มาลูก…มาทานข้าวเช้ากันได้แล้วจ่ะ” ดาวและนิทานได้เดินไปนั่งประจำที่ ณ โต๊ะอาหาร และก็เช่นเดิมพ่อของนิทานก็ได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เดี๋ยวทานข้าวกันเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่ไปส่งนะลูก” ตอนนี้ พ่อของนิทาน แม่ของนิทาน ดาว และนิทาน ก็ได้นั่งทานข้าวกันอย่างมีความสุข

                      เมื่อกิจกรรมบนโต๊ะอาหารจบลงก็ได้ถึงเวลาแล้วที่ดาวจะต้องกลับบ้าน แม่ของนิทานไปออกไปเตรียมรถรอแล้ว “ได้เวลาแล้วจ่ะเด็ก ๆ” นิทานและดาวได้เดินตามเสียงแม่ของนิทานจนได้มาถึงที่รถ นิทานและดาวก็ได้เดินมาขึ้นรถและเมื่อทั้งสองคนขึ้นรถแล้ว แม่ของนิทานก็ออกรถเพื่อไปส่งดาว ในใจลึก ๆ นิทานรู้ว่าดาวเศร้าแต่พยายามจะไม่แสดงออก นิทานจึงนั่งจับมือของดาวไปตลอดทาง

                     “ถึงแล้วจ่ะเด็ก ๆ” ณ หน้าบ้านของดาวตอนนี้ก็ได้มีพ่อและแม่ของดาวที่กำลังรอคอยการกลับของนางฟ้าตัวน้อย ๆ ของทั้งสองคนอยู่ “ฉันพาเด็ก ๆ มาส่งแล้วนะค่ะ” แม่ของนิทานได้บอกกล่าวกับพ่อแม่ของดาว “ขอบคุณนะค่ะที่คุณเอ็นดูลูกสาวของเราและช่วยดูแลลูกสาวของพวกเรา” แม่ของดาวตอบกลับแม่ของนิทาน แม่ของนิทานก็ได้โอบตัวของนิทานเข้าหาตัวก่อนจะตอบแม่ของดาว “หนูดาวเป็นเด็กดีคะ…และอีกอย่างนิทานดูเหมือนจะชอบหนูดาวเอามาก ๆ เลยล่ะคะ เพราะหนูดาวคือเพื่อนคนแรกเลยนะค่ะที่นิทานยอมให้มานอนด้วย”

                       “งั้นเราสองแม่ลูกขอกลับก่อนนะค่ะ” แม่ของนิทานบอกกับแม่ของดาว ก่อนที่จะหันไปหานิทานพร้อมกับพูดกับนิทาน “กลับบ้านกันได้แล้วยัยตัวแสบ” นิทานได้โบยมือลากับดาวก่อนจะพูดกับดาวว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาส่งนะ” เมื่อทั้งสองกล่าวลากันแล้วแม่ของนิทานจึงพานิทานขึ้นรถ ตอนนี้บนรถมีกันแค่เพียงสองคนแม่ลูกแล้ว แม่ของนิทานจึงได้หันมองหน้านิทานก่อนที่จะถามนิทาน “โอเคมั้ย…ยัยตัวแสบ” นิทานก็ได้ถามแม่กลับไป “จะเอาตรง ๆ หรือโกหกดีล่ะค่ะแม่” แม่ของนิทานจึงได้บอกกับนิทาน “ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่รู้จักกับคำว่าโชคชะตา…แต่ถ้าดาวกับหนูมีโชคชะตาร่วมกันเดี๋ยวโชคชะตามันก็จะเหวี่ยงพวกหนูสองคนกลับเจอกันเองนั่นแหละ” นิทานที่ฟังแม่พูดจนจบแล้วก็ได้ตอบรับ “คะ…หนูเชื่อคะว่าพวกเราจะต้องได้เจอกันอีก”

วันอาทิตย์

              วันนี้เป็นวันที่ดาวจะต้องย้ายบ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่านิทานจะมาส่งอย่างที่ได้บอกไว้เมื่อวาน “นี่ดาว…เพื่อนแกที่ว่ามันจะส่งแกจริง ๆ เหรอ ทำไมป่านนี้ยังไม่อีก” เสียงของเด็กผู้ชายที่ยืนพูดอยู่ข้างหลังของดาว “ขอรออีกแปปนึงได้มั้ยพี่อาทิตย์” ดาวตอบกลับเสียงนั้น เสียงนั้นคืออาทิตย์พี่ชายของดาวที่อายุห่างกัน 1 ปี ที่อาทิตย์รู้เรื่องของนิทานก็เป็นเพราะดาวกับอาทิตย์เป็นคู่พี่น้องที่รักและสนิทกันมาก ๆ ดาวจึงเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับนิทานให้อาทิตย์ฟัง จึงเป็นสาเหตุที่ว่าอาทิตย์ถึงรู้เรื่องนิทานด้วย

                “นั่นไงมาแล้ว…รถของแม่นิทาน” เมื่อรถจอดนิ่งสนิทนิทานก็ได้ลงจากและเดินตรงเข้าหาดาว “ขอโทษนะที่มาช้า…เรามาส่งเธอแล้วนะดาว” ดาวเอื้อมมือทั้งข้างออกไปคว้าสองมือของนิทานและยกขึ้นมาระดับอก “ขอบคุณนะนิทาน” ดาวพูดพร้อมกับร้องไห้ไป นิทานเลยตอบกลับดาว “ร้องไห้อีกแล้วนะยัยขี้แง…เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกไม่ต้องร้องไห้หน่า” แม่ของดาวได้เดินเข้ามาแตะที่ไหล่ของดาวพร้อมบอกดาว “ได้เวลาไปแล้วลูก” มือทั้งสองข้างของดาวและนิทานที่จับอยู่ก็ค่อย ๆ หลุดออกจากกันทีละนิด ๆ จนในที่สุดมือของทั้งสองคนก็ได้หลุดออกจากกัน ตอนนี้ครอบครัวของดาวก็ได้ขึ้นไปกันหมดแล้ว และกำลังออกรถไปเรื่อย ๆ นิทานที่ยืนมองรถของดาวที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเมื่อรถของดาวได้ลับจากสายตาของนิทานไปแล้ว เด็หญิงผู้ไม่เคยร้องไห้บัดนี้น้ำตาก็ได้หลังไหลราวกันสายธารที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง แม่ของนิทานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้โอบไหล่ลูกตัวเองหาตัวพร้อมกับตบบ่าเบา ๆ เพื่อปลอบประโลมลูกตัวเองที่เพิ่งจะร้องไห้เป็นก่อนจะพูดกับนิทาน “เรากลับบ้านกันเถอะลูก”

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!