กุญแจนำทาง
.
.
.
"ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ"
ผมพูดพร้อมกับวางดอกไม้ลงเพื่อเป็นการอวยพรให้แก่พวกเขาที่เสียสละเพื่อผมทุกๆคน ให้ไปสู่สรวงสรววค์ได้อย่างสงบสุข และถ้าอยากรู้ว่าที่ๆผมมาเป็นที่ไหนผมก็ขอให้บอกไว้เลยว่าที่นี่มันคือความทรงจำของผมเอง
แม้มันจะเป็นความทรงจำที่เลวร้ายไปสักหน่อยแต่มันก็ยังน่าจดจำอยู่ดี เพราะที่นี่นั้นเป็นหลุมศพของคนที่ลาจากในสงครามจอมมารทั้งหมด ซึ่งพวกเขาก็เป็นทั้งเพื่อนทั้งอาจารย์ทั้งครอบครัวที่ยอมสละชีวิตมาเพื่อให้ผมรอดชีวิตและปราบจอมมารลงได้
ซึ่งผมคิดว่ามันโครตจะน่าขำสิ้นดีที่โชคชะตากำหนดให้ผมเป็นเด็กชายรอดชีวิตงี่เง่านั่น ถ้าหากผมเป็นแค่เด็กผู้ชายที่มีเชื้อสายเป็นแค่พ่อมดธรรมดาทั่วๆไปก็คงจะดี
ทุกคนคงไม่ต้องตายกันเยอะถึงขนาดนี้หรอก ทั้งหมดมันเป็นเพราะผมเอง เป็นเพราะผมเพราะผมมันทั้งอ่อนแอและไม่ได้เรื่องทุกคนถึงได้ลากันไปเร็วถึงขนาดนี้
แต่ถ้าหากว่าผมย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดี ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็อยากจะขอเป็นเพียงแค่เด็กน้อยธรรมดาๆที่ควรเป็น มีเพื่อน มีครอบครัว อย่างเด็กทั่วๆไปที่เขามีกัน
**ไม่ต้องมาแบกรับความคาดหวังจากทุกคนก็คงจะดี . . . . . . . เพราะตัวผมนั้นเหนื่อยเหลือเกิน ผมเหนื่อยกับการโดนคาดหวัง**. .
'ติ่ง'
" อ่า อะไรเนี่ยน้ำตาหรอเนี่ย ฮึ จู่ๆน้ำตามันก็ไหลลงมาเองแฮะ ฮ่า "
แม้ว่าอยากจะหัวเราะกลบเกลื่อนมากแต่ไหนแต่ดูเหมือนว่าน้ำตามันก็ยังไหลลงมาอยู่ดี ฮึ อ่อนแอชะมัดตัวเรา
"น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆเลยแฮะ แต่ทำไมกันนะทำไมกันผมถึงยังไม่ลืมเขาเลย ยังไม่ลืมแม้กระทั่งตอนเขาสิ้นใจ เพราะอะไรกันทำไมกันทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ผมสมควรที่จะลืมมากที่สุด เพราะเขานั้นพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากผม"
"ทำไมกันนะ"
"ทำไมยังคิดถึงเขาอยู่กันนะ"
ทำไมยังคิดถึงเขากันมันเป็นเพราะอะไรหรือมันเป็นเพราะว่าทุกอย่างมันบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นกันนะ. . .
.
.
.
เป็นเวลานานพอสมควรหลังจากที่ผมอวยพรให้กับพวกเขาอยู่นาน แม้ว่าการที่มาที่นี่มันจะเศร้าผมก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าไม่มาให้พวกเขาเห็นกันบ้าง บางครั้งการมาที่นี่ก็ทำให้ผมคลายเหงาบ้าง
หรือบางครั้งก็ทำให้ผมมีความคิดแปลกๆที่คิดถึงใครก็ตามที่คุณรู้ว่าใคร ผมรู้ผมรู้ว่ามันแปลกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็หวังว่าถ้าเราได้เจอกันอีกสักครั้งก็ขอให้ครั้งหน้าเราเป็นเพื่อน เพราะบางทีจอมมารก็อาจจะอยากได้เพื่อนก็ได้
เพราะอะไรหน่ะหรอ อืม. . .อาจเป็นเพราะดวงตาของเขาก็ได้ที่ดูแล้วรู้สึกเศร้าศร้อยและเดียวดายในเวลาเดียวกันภายใต้ดวงตาสีดำสนิทนั่น. . .
อืม. . .แต่ดูเหมือนความคิดเรื่อยเปื่อยต้องหยุดลงซะแล้วสิ เพราะดูเหมือนว่าผมจะหลงเข้ามาใกล้ในตรอกน็อกเทิร์นซะแล้ว รู้ได้ไงหน่ะหรอก็บรรยากาศรอบๆดูต่างจากตรอกไดแอกอนพอสมควร แต่มันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ผมยังสามารถหาซื้อของได้ และผมก็มีร้านโปรดที่ผมจะไปในตรอกนี้ด้วยนะ เป็นที่ๆสงบพอสมควรเลย
แต่ทว่าพอถึงตรอกน็อกเทิร์นผมก็หยิบผ้าคลุมสีดำมาคลุมใบหน้าไว้ เพราะในนี้ของที่ขายกันล้วนเป็นของหายากและเป็นของผิดกฏหมาย จึงไม่ค่อยมีคนเปิดเผยตัวตนว่าเป็นใคร เพราะงั้นอย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงเลย
พอทำทุกอย่างเสร็จสรรพผมก็เดินมาเรื่อยๆตามตรอกน็อกเทิร์น มาตามทางเรื่อยมา ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งในตร็อกน็อกเทิร์นที่ดูน่าสนใจ ไม่ทันได้คิดอะไรผมก็ผลักประตูเข้าไปทันทีด้วยความตื่นเต้น
"กริ๊ง"
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นเรียกเจ้าของร้านให้ออกมาต้อนรับลูกค้าขาประจำที่แทบแวะมาเกือบทุกวัน
" สนใจอะไร อยากได้อะไร เชิญเลือกดูเองนะคุณพอตเตอร์"
"ครับ"
หลังจากเปิดประตูก็ได้ยินเสียงคุณเจ้าของร้านร้องต้อนรับแบบหยอกล้อสนิทสนมมาแต่ไกล
ซึ่งมันไม่แปลกเลยเพราะว่าพอเขาเห็นผมแล้วต้อนรับแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นขาประจำของร้านหนังสือร้านนี้โดยเฉพาะ ผมมาแทบจะทุกวันด้วยความที่หนังสือในนี้มีแต่หนังสือน่าสนใจมากมายให้สนุก
ผมยิ้มรับคุณเจ้าของร้านด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเข้าสู่โลกของตัวเองโดยการเดินดูหนังสือรอบๆชั้นวาง และหลังจากที่พูดจบก็ไม่มีบทสนทนาอื่นๆอีกเลย ทำให้ผมรีบเดินไปเลือกหนังสือที่ผมหมายมั่นปั้นตาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า
แต่ทว่าพอผมหยิบหนังสือนั้นขึ้นมาและดูราคาของมัน ซึ่งในตอนแรกผมก็ไม่ค่อยสนใจรราคาของพวกนี้สักเท่าไหร่แต่แค่สงสัยมากว่า ว่าหนังสือของ"ซัลลาซาร์ สลิธีริน "ถึงได้ราคาถูกนัก ถูกชนิดที่แบบผมซื้อแทบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว
ทั้งๆที่เป็นของผู้ก่อตั้งบ้านสลิธิรินแท้ๆแต่กลับตั้งราคาขายต่ำนัก พลันร่างกายเร็วกว่าความคิด มือที่อยู่อย่างสงบมาตลอดก็กลับเปิดหน้าหนังสือดูข้างในว่ามันมีอะไรก่อนที่จะร้องอ๋อด้วยความเข้าใจ
"อ๋อ"
เพราะเนื้อความด้านในหนังสือนั้นเป็นภาษาพาร์เซลทั้งหมด ถึงว่าหล่ะมันเป็นอย่างนี้นี่เองที่ไงราคามันถึงต่ำจนไม่น่าเชื่อ ต่ำจนเหลือเพียง50เกลเลียนเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะคนที่จะอ่านมันได้ล้วนต้องเป็นคนที่พูดภาษาพาร์เซล(ภาษาของงู)เท่านั้นถึงจะรู้ความข้างในหนังสือ
และแม้จอมมารจะตายไปแล้วแต่ภาษาพาร์เซลของผมก็ยังไม่หมดไปเพราะ ผมฝึกอ่านเขียนภาษาพาร์เซลจนอ่านออกเขียนได้โดยที่ไม่ต้องเป็นพาร์เซลเมาท์ แต่ก็ไม่ได้รับรู้ตามธรรมชาติได้อย่างจอมมาร
ถึงอย่างนั้นก็เถอะหลังจากผมไล่สายตามองเนื้อหาในหนังสือคร่าวๆ ก็ได้ผลสรุปตามฉบับคนขี้เหงาว่าจะซื้อหนังสือของซัลลาซาร์ สลิธิรีน ไว้คลายเหงาสักหน่อย เพราะว่าหลังจากที่ลาพักร้อนจากการเป็นมือปราบมารที่สุดแสนจะเหนื่อยที่ต้องไล่จับกุมผู้เสพความตายที่ยังคงอยู่
มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆจนผมได้วันหยุดมาก็ต้องใช้ให้คุ้นสิ พอคิดได้ดังนั้นขาของผมก็ก้าวเดินออกไปที่เคาเตอร์เพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือทันทีก่อนที่ผมจะเดินออกจากร้านเพื่อไปให้ถึง'บ้านโพลงกระต่าย'ที่กำลังรอการฉลองหยุดลาพักร้อนของผม
ผมจึงรีบไปโดยกุจแจนำทางที่เตรียมไว้สำหรับไปบ้านโพลงกระต่ายโดยเฉพาะ พอโยนกุญแจนำทางลงสู่พื้นก่อนจะย้ายร่างตัวเองมายังจุดหมายและเดินเข้าไปเขาเคาะประตูบ่งบอกถึงการมาของผม
และไม่นานคนที่เดินมาคือมอลลี่ วีสลีย์เป็นคนเปิดประตูต้อนรับโดยกอดเขาสุดแรงเกิดบ่งบอกถึงความคิดถึง และในบรรยากาศหลังจากที่เข้ามาภายในบ้านโพลงกระต่าย ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างที่เคยเป็นมาตลอด
โดยมีครอบครัววีสลีย์อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา และอีกคนหนึ่งที่มาโดยมิได้นัดหมายนั่นคือเดรโก มัลฟอยที่กำลังเห่อหลานสาวเอามากๆ เพราะถึงแม้ปากจะร้ายแต่สุดท้ายก็ตามใจเด็กๆตลอดอยู่ดี
ลืมบอกไปว่ารอนกับเฮอร์ไมโอนี่มีลูกตั้ง2คน นะ ชื่อว่าโรส เกรนเจอร์ วีสลีย์และฮิวโก้ เกรนเจอร์ วีสลีย์ และทั้งสองคนนั้นก็เป็นเด็กที่น่ารักมาก
หลังจากเข้ามาจากที่มอลลี่เข้ามากอดผมเสียเต็มรัก เธอก็ปล่อยผมออกมาและทำอาหารสูตรพิเศษให้ โดยผมก็เข้าไปกินอาหารที่คาวหว่นที่จัดซะเต็มบ้านโพลงกระต่าย กินกันไป คุยกันไป แลเป็นภาพที่ชวนอบอุ่นที่ชวนให้หัวใจรู้สึกอบอุ่น
และหลังจากกินเสร็จพวกเราก็จะทำการเก็บกวาดเรียบร้อยให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วทันที ซึ่งผมก็อยู่ช่วยจนจบและได้เดินเข้าห้องนอนไป พอเข้าห้องได้สักพักผมก็นึกได้ว่าควรจะถึงเวลาอ่านหนังสือเล่มนั้นซักที ผมมองดูมันมันด้วยความตื่นเต้น เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยทำให้มันตื่นเต้นที่ได้อ่านหนังสือ ของซัลลาซาร์ สลิธิรินกันนะ แต่ทว่าไม่ทันไรก็มีมารมาผจญ แลนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มัลฟอยนั่นเอง
"ตุ๊บ"
"ขออ่านด้วยหน่อยสิพอตเตอร์ นายได้หนังสืออะไรมาหน่ะ น่าอ่านจัง"
"อ่านออก?" ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัย
"แล้วอีกอย่างโยนหมอนมาเพื่อ รำคาญหน่าเดรก"
คนที่เอ่ยไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เป็นเดรโก มัลฟอยเอง เดรโกถึงกับสะอึกกับความปากร้ายของแฮร์รี่ที่เพิ่มขึ้นระหว่างอยู่กับเขา
"นั่นเรียกว่าปากหรือไงแฮร์รี่"
"...."
ลืมไปว่ามัลฟอยพอหลังจากสงครามแล้วก็เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ดูเหมือนจะสนิทไปรึเปล่าก็ไม่รู้แฮะ ถึงได้กีดกันผมออกจากคนที่จะมาจีบบ่อยๆ ได้ยินมาจากเฮอร์ไมโอนี่
ช่างเถอะ ผมไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ร่ำร้องคร่ำครวญแต่ผมขอให้คนของผมของคนตัวสูงสักนิดที่หรือจะให้ผมอ่านให้ฟังตอนนี้บอกเลย3คำ ฝัน ไป เถอะ ขี้เกียจล้วนๆ บอกเลย
ปากก็พูดไปเรื่อย ๆ มือก็หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดด้วย หน้าแรกผ่านมาเรื่อยๆ ไอ้คนที่อยู่ด้านหลังก็อ่านด้วย แต่ว่าหลังจากได้เห็นเนื้อหา ก็หันหน้าหนีทันที และหันไปกินนมอุ่นๆของหมอนั่นที่เอาแก้วนมร้อนๆมากินต่อ
ผมอ่านอ่านมาเรื่อยๆจนใกล้ถึงตอนจบ ล่วงเลยมาถึงเที่ยคืนของวัน เพราะเนื้อหาไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ว่าหลังด้านกระดาษหนังสือต่อไปเป็นนาฬิทรายโบราณที่ทรายหยุดนิ่ง
ผมลองพิจารณาดูแล้วดูอีกมันก็แปลก ที่นาฬิกาทรายมาอยู่ในหนังสือได้ยังไง แต่ยังไม่ทันได้หยิบ เดรโกก็หยิบมันขึ้นมามอง
"อะไรกัน ก็แค่นาฬิกาทรายพิลึกพิลั่นโง่เง่าเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลยสักนิดเดียว"
แต่เดรกยังพูดไม่จบไม่ทันไรร่างสูงของเดรโกก็ได้หยิบมันขึ้นมาตั้งในฝั่งตรงข้าม จากนั้น
ก็เกิดแสงที่มัสออกจากนาฬิกาพิลึกๆที่เดรกได้กล่าวไว้ พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของเพื่อนสนิทที่น่าจะเป็นฝันร้ายได้และ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่เปลือกตาของผมจะปิดลงอย่างสมบูรณ์
____________________________________
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments