วันอาทิตย์ที่สดใส
เสียงนกร้องดังเข้ามาในห้องขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเรียน
คิรินเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงขนมและน้ำผลไม้ในมือ
เขาทิ้งมันลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ผม ก่อนจะยิ้มให้
“วันนี้เราทำการบ้านด้วยกันดีไหม?” เขาเอ่ยถาม
“ทำการบ้านเหรอ? ฉันว่าเป็นอาทิตย์ที่ไม่มีการบ้านแล้วนะ” ผมหัวเราะเบาๆ
เขากลับทำหน้าจริงจัง
“การบ้านของฉันคือ…ให้กำลังใจแม่ให้ได้”
ผมมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ
แล้วจึงยิ้มตอบให้
“อย่ากังวลมากไปเลย นายทำได้อยู่แล้ว” ผมพูดเสียงนุ่ม
เขาเงียบไปสักครู่แล้วพยักหน้า
ผมรู้ว่าเขายังห่วงแม่เขามาก และยังไม่สามารถปล่อยวางได้
แต่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ผมเห็นคิรินเริ่มยิ้มมากขึ้นแล้ว แม้จะยังคงมีเรื่องราวที่ค้างคาในใจ แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ทุกวันๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น คิรินส่งข้อความมาหาผมว่า
“วันนี้จะพาแม่ไปหาหมอ ตรวจเช็กอาการ”
ทำให้ผมเข้าใจว่าการตั้งใจในวันนี้เป็นการใช้เวลาร่วมกับแม่ให้มากขึ้น เขาเริ่มเข้าใจว่าตัวเองไม่สามารถห่วงแต่การเรียนหรืออนาคตของตัวเองได้เพียงอย่างเดียว
ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์
คิรินและผมไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัย
เราไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขายังคงมีเรื่องคิดอยู่ในใจ
แต่บรรยากาศรอบตัวมันผ่อนคลาย จนทำให้ผมรู้สึกเหมือนเวลาในตอนนี้หยุดไปชั่วขณะ
คิรินหยุดเดินแล้วหันมาทางผม
เขามองตาผมอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยคำบางอย่างที่ผมไม่เคยคาดคิด
“มีน…ตอนนี้ฉันมีอะไรจะบอกนาย” เขาพูดเสียงเครียด
ผมหยุดหายใจไปชั่วครู่ หัวใจเต้นแรงขึ้นในทันที
“อะไรเหรอ?” ผมถามเสียงเบา
คิรินเดินเข้ามาใกล้จนหน้าผมแทบจะสัมผัสกับเขา
สายตาของเขาฉายความกังวลออกมาชัดเจน
“ฉัน…จริงๆ แล้ว…ไม่เคยคิดว่าคุณแม่จะป่วยแบบนี้หรอกนะ” เขาพูดด้วยเสียงต่ำ
“แต่ตอนที่แม่ไม่สบาย…มันทำให้ฉันคิดได้ว่า ฉันห่วงทุกคนรอบตัวมากเกินไปจนลืมไปว่า…ตัวเองก็ต้องการใครสักคนอยู่เหมือนกัน”
ผมรู้สึกถึงความหนักหน่วงในเสียงของเขา
มันไม่ใช่แค่เรื่องการดูแลแม่ของเขา แต่เป็นการยอมรับในความเปราะบางที่เขามี
คิรินยิ้มขื่นๆ ก่อนจะพูดต่อ
“บางทีฉันก็กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่ข้างๆ ฉัน…ในวันที่ฉันอ่อนแอที่สุด”
ใจของผมกระตุกขึ้นมา ความรู้สึกหลายอย่างเริ่มบีบคั้นอยู่ในอก
“มีน…ฉันรู้ว่าเราเพิ่งเริ่มอะไรบางอย่าง แต่ฉันรู้สึกว่า…ฉันคงไม่อยากห่างจากนายไปไหนแล้ว” เขาหยุดหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้ม
“นายโอเคกับมันไหม?” เขาถาม
ผมไม่ตอบอะไร แต่ยิ้มให้เขา
แล้วเดินเข้าไปใกล้จนเราเกือบจะหายใจใกล้กัน
“ไม่ต้องห่วงนะ คิริน ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน” ผมพูดเสียงนุ่มๆ
สายตาของเราประสานกันราวกับพูดแทนคำทั้งหมด
แล้วในที่สุด เราก็เดินต่อไปด้วยกัน
ความรู้สึกในใจไม่ต้องอธิบาย…มันอยู่ในทุกย่างก้าวที่เราก้าวไปข้างหน้า
คืนนั้น
เราไลน์คุยกันยาวๆ ก่อนจะปิดบทสนทนาไปพร้อมคำพูดสุดท้ายจากคิริน
“ฝันดีนะ…มีน”
ผมยิ้มให้กับข้อความนั้น
แล้วพิมพ์ตอบไปว่า
“ฝันดีเหมือนกัน…รักนาย”
.
.
.
.
เวลาผ่านไปเร็วมาก
เทอมใหม่เริ่มต้นขึ้น แต่ความสัมพันธ์ของเรากับคิรินกลับพัฒนาไปในทางที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันทุกวัน
แต่บางทีความรู้สึกมันก็เริ่มซับซ้อนขึ้น
โดยเฉพาะเวลาที่คิรินยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ค้างคาเกี่ยวกับแม่ของเขา
ทุกครั้งที่เขาทำการบ้านในห้องของตัวเอง หรือช่วยเหลือแม่ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ เขาก็มักจะกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะฝืนใจ
มันทำให้ผมเริ่มกังวลว่า เขากำลังแบกอะไรบางอย่างหนักเกินไป
วันนี้ก็เช่นกัน
หลังจากที่คิรินเสร็จจากการพาคุณแม่ไปพบแพทย์ เขากลับมานั่งอยู่ในห้องเรียนกับผมอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของเขากลับเงียบและดูอ่อนแอลง
“คิริน…” ผมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
เขาหันมามองผมด้วยรอยยิ้มที่พยายามฝืน
“อะไรเหรอ?”
ผมไม่พูดอะไร แค่ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับมือเขา
เขามองมาที่มือของเรา สักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มีน…นายรู้มั้ย? การที่ต้องแบกรับทุกอย่างมันทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย” เขาพูดเสียงต่ำ
ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“นายหมายถึงอะไร?”
เขาหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันรู้สึกเหมือนกำลังพยายามทำให้ทุกคนมีความสุข แต่กลับลืมไปว่าฉันเองก็ต้องการความสุขเหมือนกัน” เขาพูดเบาๆ
ผมไม่ตอบอะไร แต่แค่จับมือเขาให้แน่นขึ้น
เขามองผมแล้วก้มหน้าลง
“ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้ๆ นาย ฉันรู้สึกดีนะ…” เขาพูดเสียงอ่อนโยน
“แต่บางที…ฉันก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะอยู่ได้ไหม เมื่อมีเรื่องราวของแม่เข้ามา”
ผมพยายามทำให้ตัวเองตั้งสติ
“คิริน…นายไม่ต้องแบกรับทุกอย่างคนเดียวหรอกนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาหันมามองหน้าผม
“แต่ถ้านายไม่เข้าใจ…บางทีมันก็ยากที่จะบอกใครให้เข้าใจสิ่งที่ฉันรู้สึก”
“ฉันเข้าใจ…มันไม่ง่าย แต่ถ้านายไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่สามารถช่วยได้หรอกนะ” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คิรินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอบคุณนะ…ที่อยู่ตรงนี้กับฉัน” เขาพูดก่อนจะยิ้มให้ผม
ผมยิ้มตอบ
แล้วเราก็กลับมาทำการบ้านด้วยกันเหมือนเดิม
⸻
ในคืนนั้น
ขณะที่ผมกำลังนั่งทำการบ้านในห้องตัวเอง โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
มันเป็นข้อความจากคิริน
“มีน…”
ผมกดเปิดอ่านข้อความด้วยความเร็ว
ข้อความนั้นสั้นและตรงไปตรงมา
“ฉันรักนายมากเกินไปแล้ว”
ผมรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะฟังไม่ชัด
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งและจริงใจของคิริน
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้ผมกลัว…กลัวว่าเขาจะรู้สึกท้อแท้หรือเจ็บปวดจากความรักที่เราแชร์กัน
ผมไม่รอช้า พิมพ์ตอบไปทันที
“ฉันก็รักนายมากเหมือนกันคิริน…มากกว่าที่นายคิด”
แล้วก็กดส่งไป
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น คิรินโทรเข้ามา
“มีน…” เขาพูดเสียงเบา “จริงๆ แล้ว…ฉันรู้สึกสับสนมากนะ แต่การได้รู้ว่านายรู้สึกเหมือนกัน มันทำให้ฉันมั่นใจขึ้นเยอะ”
“ฉันก็เหมือนกัน…ยังไงก็จะอยู่ข้างๆ นายเสมอนะ” ผมพูดตอบไป
เขายิ้มด้วยเสียงที่สามารถได้ยินได้จากปลายสาย
“ขอบคุณนะ…ขอบคุณที่รักฉัน”
.
.
.
.
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นเหมือนทุกวัน
แต่วันนี้… ความรู้สึกบางอย่างในใจของผมกลับรู้สึกหนักขึ้น
มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคิรินและผมกำลังจะมาถึงจุดที่ต้องเจอความจริงบางอย่าง
ผมเดินไปที่ห้องของคิริน หลังจากที่เขาไม่ตอบข้อความผมมาหลายชั่วโมง
การที่เขาหายไปทั้งวันทำให้ผมรู้สึกกังวล
“คิริน?” ผมเคาะประตูแล้วแง้มเข้าไป
คิรินนั่งอยู่บนเตียง มองไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่ดูหม่น
เขาหันมามองผมเมื่อได้ยินเสียง แต่ไม่พูดอะไร
“วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ?” ผมถาม
เขาทำเสียงลำบากใจ
“วันนี้ฉันไม่ค่อยอยากไป… มีเรื่องบางอย่างที่ต้องคิด”
ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขา ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ
“เรื่องอะไรเหรอ?”
คิรินเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“มีน… ฉันต้องบอกนายเรื่องหนึ่ง”
ผมมองเขาด้วยความกังวล
“อะไรเหรอ?”
เขาหยุดหายใจเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อสองปีที่แล้ว… ตอนที่แม่เริ่มป่วย ฉันมีการตัดสินใจบางอย่างที่มันทำให้เราต้องห่างกัน… ฉันเลือกที่จะออกจากบ้านไป…เพราะฉันคิดว่าฉันจะไม่สามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้” เขาพูดเสียงต่ำ
ผมไม่สามารถพูดอะไรได้ทันที เพียงแต่จับมือเขาแน่นๆ ให้กำลังใจ
เขาหลับตาลง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ตอนนั้นฉันเลือกที่จะเรียนต่อในต่างเมือง…พยายามหนีจากทุกอย่าง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า…ฉันทำผิดที่ทิ้งแม่ไว้คนเดียว…ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนขี้ขลาด”
ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ เพื่อให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องอยู่คนเดียว
“คิริน… มันไม่ใช่ความผิดของนายเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ทุกคนต่างมีการตัดสินใจของตัวเอง และในช่วงเวลานั้น นายอาจจะไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่ตอนนี้…นายไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ”
คิรินหันมามองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มอยู่
“แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดตลอดเวลา…และไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้”
ผมไม่พูดอะไรแค่จับมือเขาแน่นๆ
“ไม่ต้องห่วง เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
คิรินก้มหน้า แล้วพูดเบาๆ
“ฉัน…ก็รักนายเหมือนกันนะ มีน”
คำพูดนั้นทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นคงในความสัมพันธ์ของเรา
เราทั้งคู่ต้องการกันและกัน แต่การเปิดเผยความลับในใจมันก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
⸻
ในช่วงเย็น
หลังจากที่คิรินพูดสิ่งที่เขาซ่อนไว้ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกผิด แต่ยังเป็นการเผชิญหน้ากับการเลือกเส้นทางชีวิตที่เขาต้องตัดสินใจใหม่
ผมเดินไปที่ห้องเรียนด้วยกันในวันรุ่งขึ้น
ทั้งคิรินและผมต่างก็รู้สึกถึงความเครียดที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยเมื่อวานนี้
แต่ผมก็รู้ดีว่า…เราจะไม่ปล่อยให้มันมาเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์
“มีน…” คิรินพูดขณะที่เรากำลังเดินไปที่ห้องเรียน
“หืม?” ผมหันไปมองเขา
“ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ ฉันมาตลอด… ขอโทษที่ทำให้นายต้องเจอเรื่องนี้ด้วย” เขาพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความขอโทษ
ผมยิ้มให้เขา
“ไม่ต้องขอโทษเลย คิริน… ทุกคนมีเรื่องในใจที่อยากจะพูดออกมา และวันนี้นายก็ทำแล้ว”
เขามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ
และเราก็เดินเข้าไปในห้องเรียนด้วยกัน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 11
Comments