“มีน นายได้ชื่ออยู่ในกลุ่มจัดบูธเกมใช่ปะ?”
“อือ… บูธเกมยิงปืนพลาสติกนั่นแหละ”
ผมตอบเพื่อนในห้องพลางถอนหายใจ
งาน Open House ของโรงเรียนกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่วัน
นักเรียนทุกคนต้องช่วยกันจัดบูธตามกลุ่มกิจกรรมที่จับฉลากไว้
แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจจริงๆ คือ…
คิริน ก็ได้กลุ่มเดียวกันกับผม
“เหมือนฟ้าลิขิตเลยนะ” เพื่อนในกลุ่มล้อ
“ก็แค่บังเอิญน่า” ผมตอบเสียงเรียบ แต่ในใจดันยิ้ม
วันเตรียมงาน — ห้องชมรมศิลป์ที่กลายเป็นสนามรบ
บูธเกมของพวกเราต้องมีป้ายตกแต่ง ผ้าแพร ฉากหลัง และพร็อพมากมาย
ทุกคนในกลุ่มเริ่มช่วยกันทำงาน
ส่วนคิริน…กลายเป็นคนตัดแผ่นโฟมเก่งที่สุดแบบไม่รู้ตัว
“เฮ้ นายดูเก่งเรื่องศิลป์นะ” ผมพูดขณะนั่งติดสติกเกอร์บนกระดาษ
“เปล่าหรอก ฉันแค่เคยช่วยแม่ทำของขายช่วงปีใหม่บ่อยๆ”
“งั้นนายชอบศิลปะเหรอ?”
เขายิ้มมุมปากแล้วพยักหน้า
“ชอบอะไรที่ได้ใช้มือทำ แล้วเห็นมันสวยขึ้นทีละนิด…เหมือนความสัมพันธ์คนมั้ง ต้องค่อยๆ ประคอง”
ผมหยุดมือลงนิดหนึ่ง
ก่อนจะหลบสายตาเขาแล้วแสร้งพูดติดตลก
“พูดแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวเขินตายพอดี”
วันงาน
โรงเรียนเต็มไปด้วยผู้ปกครอง รุ่นน้อง โรงเรียนข้างๆ และแขกพิเศษมากมาย
บูธของพวกเราตกแต่งเสร็จแล้ว เรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น
คนแวะเวียนเข้ามาเล่นเยอะกว่าที่คาด
ผมยืนแจกของรางวัล
ส่วนคิรินยืนประจำจุดยิงปืน แค่เขายิ้มให้แขกสาวๆ ก็ร้องกรี๊ดกันเต็มหน้าเต็นท์
“ฮึ่ม เจ้าชายห้องข้างๆ ดังใหญ่แล้วนะ”
“นายหึงเหรอ?” เขาหันมาถามขำๆ
“ใครหึง ไม่มี๊” ผมรีบหันหน้าหนี
แต่เขากลับยื่นมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ ตรงนั้นเลย!
บ่ายวันนั้นเอง
เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
เด็กม.ปลายอีกโรงเรียนที่มาเยี่ยมงานเดินเข้ามาในบูธ
หนึ่งในนั้นคือ พี่ภูผา รุ่นพี่ที่เคยอยู่ทีมฟุตบอลกับคิริน และเคยมีข่าวว่าเขาชอบผมตอนม.4
เขามองหน้าผมแล้วหันไปมองคิริน
“ยังสนิทกันเหมือนเดิมเลยนะ มีน”
ผมยิ้มแห้งๆ
“ก็ดีน่ะครับ ทำงานด้วยกันด้วย”
“แต่ถ้าเป็นมากกว่าสนิทล่ะ?” พี่เขาถามเสียงเบา
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การแซว แต่แฝงความจริงจัง
คิรินขยับเข้ามายืนข้างผม
เขาไม่ได้พูดอะไร…แต่แววตานิ่งๆ นั่นบอกชัดว่าเขาพร้อมปกป้อง
“ขอโทษนะพี่ภูผา” คิรินพูดนิ่งๆ
“แต่ถ้าจะคุยเรื่องความรู้สึกของเราสองคน คงไม่เหมาะกับตรงนี้”
“งั้นก็ดีแล้ว” พี่เขายิ้มบาง
“แค่อยากแน่ใจ…ว่ามีนเลือกคนที่พร้อมจะยืนข้างเขาจริงๆ”
ก่อนจะเดินออกไปอย่างสงบ
แต่ทิ้งความอึ้งไว้เต็มบูธ
เย็นวันนั้น หลังเก็บของเสร็จ
เราสองคนยืนอยู่หน้าหอพัก ท่ามกลางแสงไฟงานที่ยังไม่ดับ
“นายโอเคไหม?” คิรินถาม
“ก็…ไม่รู้สิ มันเร็วเหมือนกันนะ ที่เรื่องของเราเริ่มเป็นที่รับรู้”
“ถ้านายไม่โอเค ฉันจะถอย”
ผมรีบส่ายหน้า
“ไม่ต้องถอยเลย ฉันแค่อยากใช้เวลาทำใจให้ชินกับโลกมากกว่าเดิม”
เขาพยักหน้า
ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้ผมหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
“งั้นระหว่างนั้น ฉันจะอยู่ข้างๆ นายให้ชินเอง”
.
.
.
.
หนึ่งสัปดาห์หลังงานเปิดบ้าน
บรรยากาศโรงเรียนเริ่มเงียบลง
ชั้นเรียนบางวิชามีแค่การส่งรายงานแทนการสอบปลายภาค
หลายคนเริ่มพูดถึงแผนปิดเทอม บ้างจะกลับบ้านต่างจังหวัด บ้างก็เตรียมไปเที่ยวกับครอบครัว
สำหรับผม…
ปิดเทอมปีนี้คือครั้งแรกที่รู้สึกไม่อยากให้มาถึงเร็วเกินไป
วันศุกร์เย็น
ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะห้องอ่านหนังสือรวมในหอพัก
เสียงฝนเริ่มตกพรำๆ ละเอียดเหมือนละอองน้ำ แต่มันทำให้ใจผมหนักแปลกๆ
เสียงเปิดประตูเบาๆ ดังขึ้น
ผมเงยหน้าขึ้น ก็เห็นคิรินเดินเข้ามา พร้อมร่มคันเดิมที่เขาชอบพับไม่เรียบร้อย
“ฝนตกแล้ว เดี๋ยวกลับด้วยกันนะ” เขาบอก
ผมพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร
คิรินเหมือนจะจับได้ทันที
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“…ก็แค่คิดไปเรื่อย” ผมพูดขณะหลบตา “พรุ่งนี้นายกลับบ้านใช่ไหม?”
“อือ กลับไปดูแม่กับหลานน่ะ แค่สองอาทิตย์เอง”
“ก็รู้น่า” ผมหัวเราะแห้งๆ “แต่…ปกติก็เจอกันทุกวัน”
เขายิ้ม แล้วนั่งลงข้างผม
เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาจับหลังมือผมเบาๆ บนโต๊ะ
“ก็แค่เราจะไม่เจอหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะหายไปจากกัน”
“แล้วถ้าฉันคิดถึงล่ะ?”
“ก็โทรมาสิ หรือจะวิดีโอคอลทุกคืนก็ได้” เขาหัวเราะ
“แต่ถ้าคิดถึงมากๆ ก็เขียนจดหมายได้ด้วยนะ โรแมนติกดี”
“ใครเขาจะมานั่งเขียนจดหมายยุคนี้กันเล่า!”
“ฉันไง” เขาว่าพลางล้วงกระเป๋า
แล้วดึงซองเล็กๆ ออกมาส่งให้ผม
ผมรับมาด้วยความงุนงง
เปิดดูพบว่าข้างในคือ “โปสการ์ด” ที่เขียนด้วยลายมือของคิริน
“ถึงมีน…
ถ้าวันไหนนายรู้สึกเหนื่อยกับโลก
ก็จำไว้ว่าฉันยังยิ้มอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อให้นายไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
เพราะตั้งแต่วันแรกที่นายยิ้มให้ฉัน ฉันก็ไม่เคยคิดจะปล่อยมืออีกเลย”
ผมอ่านแล้วนิ่งไป
ฝนข้างนอกเริ่มตกหนักขึ้น…แต่ข้างในหัวใจกลับอบอุ่นจนอยากร้องไห้
“นายมันบ้าโรแมนติก…” ผมพึมพำ
คิรินหัวเราะแล้วลุกขึ้น
ก่อนจะยื่นมือมาหาผม
“กลับหอกันเถอะ มีคนขี้คิดถึงรอจะเดินข้างๆ อยู่นะ”
คืนนั้นก่อนนอน
ผมถ่ายรูปโปสการ์ดใบนั้นไว้
แล้ววางมันไว้ใต้หมอน
เหมือนคำสัญญาเงียบๆ ว่า
ต่อให้ระยะทางจะห่างกันแค่ไหน ใจของเราจะไม่ห่างเลยแม้แต่นิดเดียว
.
.
.
.
วันเสาร์แรกของปิดเทอม
ผมนั่งมองโทรศัพท์ในห้องนอนที่บ้านเงียบๆ
วิดีโอคอลจากคิรินยังไม่เข้า
แต่ผมก็ไม่อยากกดไปก่อน…กลัวจะดูงอแงเกินไป
จริงๆ แล้ว…เราคุยกันทุกวัน
เช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอน
แต่พอถึงวันที่เขายุ่งกับครอบครัว หรือเงียบไปนานกว่าปกติ ความไม่มั่นคงมันก็เริ่มถามหา
ผมหยิบโปสการ์ดที่คิรินให้มาก่อนกลับมาอ่านอีกครั้ง
ถึงจะอ่านวนไปเกือบสิบรอบแล้วก็ตาม
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู
แต่ไม่ใช่ข้อความจากคิริน…เป็นสตอรี่ไอจีจากเพื่อนเขาคนหนึ่งที่ผมไม่ได้รู้จักดี
ในภาพนั้น
คิรินกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ กับใครบางคนที่…ผมจำหน้าได้แม่น
“ลูกแก้ว”
เพื่อนสนิทสมัยประถมของคิริน
ที่เคยได้ยินว่าเคยเป็น “คนที่เกือบจะได้เป็นแฟน”
ในภาพ เขายิ้มให้กัน สนิทสนม
ไม่มีคำบรรยายใดๆ แต่มันชัดพอจะทำให้หัวใจผมหวิว
เย็นวันนั้น
วิดีโอคอลเข้ามาตอนหนึ่งทุ่มตรง
ผมกดรับ
ใบหน้าคิรินปรากฏขึ้น พร้อมรอยยิ้มแบบที่ผมชอบเสมอ
“วันนี้นายหายเงียบไปเลย” ผมพยายามพูดด้วยเสียงปกติ
“ขอโทษนะ พอดีแม่ลากไปเจอเพื่อนเก่าสมัยประถมน่ะ ไม่ได้วางแผนไว้เลย”
“…ลูกแก้วใช่ไหม?”
เขาชะงักไปเล็กน้อย
แต่ก็พยักหน้าช้าๆ
“อือ เธอมาหาแม่ที่ตลาด แล้วก็เลยแวะมาทักทายฉันด้วย”
“ดูสนิทกันดีนะ”
เสียงผมเบากว่าที่คิด
คิรินถอนหายใจ
“มีน ฟังนะ…ฉันกับลูกแก้วไม่ได้มีอะไรเกินเลย เธอเป็นแค่เพื่อนในอดีตจริงๆ”
“แต่เธอเคยชอบนายไม่ใช่เหรอ?”
“มันก็อดีตไง และตอนนี้ฉันชอบนาย — อยู่ตรงนี้ คนเดียว”
เขาจ้องหน้าผ่านกล้อง เหมือนจะส่งน้ำหนักความจริงผ่านสายตา
“ฉันไม่ได้กลัวว่าเขาจะชอบนายอีกนะ” ผมพูดเสียงแผ่ว
“แค่กลัวว่านายจะเปลี่ยนใจ ถ้านายเจอคนที่ใกล้กว่า…”
เขาส่ายหน้าเบาๆ
“มีน ฟังฉันดีๆ นะ ระยะทางไม่เคยทำให้ใจฉันเปลี่ยน —
เพราะถ้าความรู้สึกมันจริงพอ คนจะอยู่ใกล้หรือไกล มันก็ไม่มีผลหรอก”
ผมนิ่ง
แค่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น น้ำตาก็ซึมขอบตาโดยไม่รู้ตัว
“ขอบใจนะ…” ผมพูดเบาๆ
คิรินยิ้มให้ผมผ่านหน้าจอ
“อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวฉันจะส่งไอติมลอยฟ้าไปให้”
“ส่งทางไหนล่ะ? โดรนเหรอ?”
“ส่งทางใจไง เดี๋ยวนายก็ฝันว่าได้กิน”
ผมหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่น้ำตายังซึมอยู่
คิรินก็ยังเป็นคิรินคนเดิม ที่ไม่เคยปล่อยให้ความไม่มั่นคงของผมลอยอยู่นาน
คืนนั้น
ผมฝันว่าได้กินไอติมรสโปรดของคิริน
แต่ตอนจะตักเข้าปากกลับเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มให้
ไม่มีใครพูดอะไร แต่แค่เห็นหน้าเขา…ก็รู้แล้วว่าใจเราไม่ได้ห่างกันเลย
.
.
.
.
เสียงรองเท้ากระทบพื้นทางเดินในหอพัก
ผมเดินลากกระเป๋าเข้ามาด้วยใจเต้นแรง
เป็นวันแรกของเทอมใหม่ แต่กลับรู้สึกเหมือน “วันสารภาพใจ” มากกว่า
ห้องข้างๆ เงียบอยู่
แต่ประตูไม่ได้ล็อกสนิท
“คิริน?” ผมเคาะประตูเบาๆ แล้วแง้มเข้าไป
และก็เห็นเขา…
นั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางเหนื่อยล้าแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาเงยหน้าขึ้น พอเห็นผมก็ฝืนยิ้ม
แต่ดวงตากลับดูหม่นแปลกๆ
“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาถาม
“อือ กลับมาแล้ว นายโอเคมั้ย?”
เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะพยักหน้า
แต่ผมมองแววตาเขาออกทันทีว่า ไม่โอเคเลย
“คิริน…ถ้าไม่ไหว บอกฉันได้นะ”
เขานิ่งอยู่อีกพักหนึ่ง
ก่อนจะพูดเบาๆ เหมือนกระซิบกับความเจ็บปวดในใจตัวเอง
“แม่ล้มในห้องน้ำเมื่อสามวันก่อน…”
ผมหยุดนิ่งไปทันที
ทุกความคิดเกี่ยวกับการสารภาพรัก ความคิดถึง หรือความเขินอาย ลืมหมด
“ตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาลเอกชนในตัวเมือง หมอบอกว่าเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก…ต้องทำกายภาพบำบัดระยะยาว”
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขา
ไม่ได้พูดอะไร แค่ยื่นมือไปจับมือเขาไว้แน่นๆ
“ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี…” เสียงเขาสั่น
“ฉันอยากเรียนให้จบ แต่ก็อยากดูแลแม่…แล้วก็…”
“แล้วก็?” ผมถามเบาๆ
เขาหันมามองผม
สายตาเหมือนเด็กที่กำลังกลัวว่าจะสูญเสียของสำคัญ
“…กลัวว่านายจะรู้สึกว่าฉันกำลังห่างออกไป”
หัวใจผมบีบแน่น
ผมจับมือเขาแน่นขึ้น แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ
“นายไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งทุกวันหรอกนะ ฉันอยู่ตรงนี้เพื่อแบ่งมันด้วย”
เขานิ่งไป ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ผม
เราไม่ได้พูดอะไรอีกหลายนาที
ฝนเริ่มตกอีกครั้งข้างนอก
แต่ภายในห้องที่เงียบ…เราสองคนกำลังสร้างคำสัญญาใหม่โดยไม่ต้องพูดออกมาเลย
คืนนั้นผมไม่ได้กลับห้อง
เรานั่งเงียบๆ ด้วยกันจนดึก
คิรินไม่ได้ร้องไห้ แต่ผมรู้ว่าเขาเหนื่อยมาก…มากกว่าที่แสดงออก
ก่อนนอน เขาพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาเบาๆ
“มีนน่ะ…ไม่ใช่แค่คนที่ฉันชอบนะ”
ผมหันไปมองเขาทันที
เขายิ้มจางๆ แล้วพูดต่อ
“นายเป็นที่พักใจด้วย”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 11
Comments