หลายเดือนผ่านไปแล้ว นับตั้งแต่ไอยราได้เข้ามาอยู่ในร่วันคืนที่ยาวนาน... และความหวังที่ไม่ชัดเจนางของพุดตาน ชีวิตในอยุธยาไม่ได้น่าตื่นเต้นเหมือนในหนังพีเรียดที่เคยดู มันเต็มไปด้วยความท้าทายและความยากลำบากที่คนจากยุคปัจจุบันอย่างเขาต้องเผชิญในทุกๆ วัน
พุดตานเรียนรู้ที่จะอยู่กับความร้อนอบอ้าวที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลมไฟฟ้า มีเพียงพัดสานกับลมธรรมชาติจากริมน้ำ เขาต้องชินกับการใช้ชีวิตที่ไม่มีไฟฟ้าตกกลางคืนต้องจุดตะเกียงหรือเทียนไข ไม่มีตู้เย็นทำให้น้ำดื่มไม่เย็นฉ่ำเหมือนที่เคย
การสื่อสารก็เป็นเรื่องท้าทาย เขาต้องพยายามใช้ภาษาโบราณให้คุ้นเคย บางคำพูดติดปากจากยุคปัจจุบันก็เผลอหลุดออกมา ทำให้คนรอบข้างมองอย่างงุนงง ดีที่ทุกคนในบ้านคุณหลวงคิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยทำให้เขาพูดจาแปลกๆ ไปบ้าง
มารยาทและขนบธรรมเนียมต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้พุดตานปวดหัว การนั่ง การเดิน การไหว้ การพูดจาต่อผู้ใหญ่หรือผู้น้อย ทุกอย่างมีแบบแผนไปหมด เขาต้องพยายามเลียนแบบ 'พุดตาน' คนเดิมจากความทรงจำที่เหลืออยู่ แต่หลายครั้งก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ
"คุณหนูจะเดินไปทางนี้หรือขอรับ ทางนั้นมันร้อนนักนะขอรับ" ไอ้ทองร้องเตือน เมื่อเห็นพุดตานกำลังจะเดินออกไปกลางแดดเปรี้ยงๆ
"อ้าวเหรอ" พุดตานชะงัก "ข้าลืมไปว่ามันไม่มีหลังคา"
ไอ้ทองได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู "ไปนั่งที่ศาลาริมน้ำดีกว่าขอรับ ลมเย็นสบายกว่า"
พุดตานเดินตามทองไปที่ศาลา มองดูไอ้ทองที่เดินได้อย่างคล่องแคล่วในสภาพอากาศแบบนี้ เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
"ทอง... ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำเลยเหรอ" พุดตานถามเสียงเบา เมื่อนั่งลงที่ศาลา
"มีอะไรให้ทำเยอะแยะไปขอรับ" ทองตอบ "คุณหลวงให้คุณหนูไปช่วยงานที่โรงหมอหลวงก็ได้นี่ขอรับ แต่คุณหนูไม่ชอบนี่ขอรับ"
พุดตานยู่หน้า เขาพยายามไปช่วยงานที่โรงหมอตามที่คุณหลวงอยากให้ไป แต่การเห็นคนเจ็บป่วย การใช้ยาสมุนไพรโบราณ และกลิ่นต่างๆ ในโรงหมอมันทำให้เขาเวียนหัวและรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
"ข้าไม่เก่งเรื่องยาเหมือนท่านพี่อินทร์นี่" พุดตานอ้าง
"งั้นจะช่วยแม่นายทำขนมไหมขอรับ" ทองเสนอ
"ก็... พอทำได้ แต่ก็ไม่เหมือนเดิม" พุดตานหมายถึงการทำขนมแบบยุคปัจจุบันที่ง่ายกว่าเยอะ
"อ่านหนังสือดูไหมขอรับ ในห้องคุณหนูมีหนังสือเยอะแยะเลยนะขอรับ" ทองพยายามหาอะไรให้เจ้านายทำ
พุดตานถอนหายใจ เขาลองอ่านหนังสือโบราณพวกนั้นแล้ว ตัวอักษรก็อ่านยาก แถมเนื้อหาก็ไม่น่าสนใจเท่าการ์ตูนหรือนิยายที่เขาเคยอ่านเลย
ความเบื่อหน่ายกัดกินหัวใจพุดตานในหลายๆ วัน เขาคิดถึงการได้ใช้ชีวิตในยุคของตัวเองอย่างอิสระ ไม่ต้องมาคอยระวังท่าที ไม่ต้องมาทนกับความไม่สะดวกสบายเหล่านี้
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เขาไม่เห็นหนทางที่จะกลับไปเลย ไม่มีวี่แววของแสงประหลาดแบบในคืนนั้นอีกเลย เขาแอบไปเดินสำรวจที่ริมน้ำ ที่สวน ที่ป่าเล็กๆ ใกล้บ้าน แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ไม่มีประตูมิติ ไม่มีสัญญาณใดๆ จากโลกอนาคต
ความสงสัยที่จะได้กลับบ้านดูจะริบหรี่ลงทุกวัน และความกังวลว่าเขาจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตก็เริ่มเกาะกุมจิตใจ
คืนนั้น พุดตานนอนไม่หลับ เขาลุกขึ้นมานั่งริมหน้าต่าง มองออกไปนอกเรือน ความเงียบสงัดยามค่ำคืนในอโยธยาแตกต่างจากความคึกคักของกรุงเทพฯ อย่างสิ้นเชิง
"เราจะกลับไปได้จริงๆ ไหมนะ..." เขาพึมพำกับตัวเอง รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง
ภาพใบหน้าของพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ภาพเพื่อนๆ ผุดขึ้นมาในหัว คิดถึงเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยกันทางโทรศัพท์ คิดถึงความสบายกายสบายใจที่เคยมี
น้ำตาคลอเบ้าอย่างห้ามไม่ได้ การมาอยู่ในยุคนี้มันไม่ง่ายเลย มันไม่ใช่แค่การผจญภัยในนิยาย แต่มันคือการใช้ชีวิตจริงๆ ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความไม่คุ้นเคย
ขณะที่กำลังจมอยู่กับความเศร้า เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางเดิน
ท่านขุนเดช! ดึกดื่นป่านนี้ ท่านมาทำอะไรที่นี่นะ
พุดตานรีบปาดน้ำตา ปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
ท่านขุนเดชเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของพุดตาน ดวงตาคมกริบมองมาที่เขาผ่านแสงไฟรำไรจากตะเกียงที่จุดอยู่
"ยังไม่นอนอีกรึ พุดตาน" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น
"ขอรับ... นอนไม่หลับขอรับ ท่านขุน" พุดตานตอบ
ท่านขุนเดชก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ ยืนอยู่ข้างๆ พุดตาน สายตาของท่านมองออกไปที่ความมืดนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
"มีเรื่องอันใดรบกวนใจรึ จึงได้นั่งเหม่อเช่นนี้" ท่านขุนเดชถาม น้ำเสียงฟังดูเป็นห่วงอย่างชัดเจน
พุดตานใจกระตุกวูบ รู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงความในใจ
"ไม่มีอะไรขอรับ... แค่รู้สึก... คิดถึงบ้านเล็กน้อยขอรับ" พุดตานตอบเลี่ยงๆ
"บ้านเจ้าก็อยู่ที่นี่ มิใช่รึ" ท่านขุนเดชเลิกคิ้วเล็กน้อย มองพุดตานด้วยสายตาที่ซับซ้อน
"บ้าน... ที่ข้าเคยอยู่ขอรับ" พุดตานพูดเสียงแผ่ว ไม่รู้จะอธิบายความหมายของคำว่า 'บ้าน' ในมุมของเขาได้อย่างไร
ท่านขุนเดชนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาของท่านยังคงจับจ้องมาที่พุดตาน แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ปนกับความสงสัย และ... ความรู้สึกบางอย่างที่พุดตานไม่เข้าใจ
ท่านขุนเดชเอื้อมมือขึ้นมาอย่างช้าๆ วางมือลงบนศีรษะของพุดตานอย่างแผ่วเบา
"ไม่ว่าบ้านเจ้าจะอยู่ที่ใด บัดนี้เจ้าอยู่ที่นี่... อยู่กับพวกเรา" ท่านขุนเดชพูดเสียงนุ่ม ลูบหัวเขาเบาๆ "อย่าได้รู้สึกอ้างว้างเลยนะ พุดตาน"
สัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนจากมือของท่านขุนเดชทำให้พุดตานรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่เขาควรจะรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกผู้ชายด้วยกันลูบหัวแบบนี้
เขามองขึ้นไปสบตากับท่านขุนเดช ในแววตาของท่านมีความรู้สึกมากมายที่พุดตานอ่านไม่ออก แต่เขารู้สึกได้ว่า บุรุษผู้นี้... กำลังพยายามปลอบโยนเขาในแบบของท่าน
"นอนพักเสียเถิด" ท่านขุนเดชพูดเบาๆ "พรุ่งนี้ยังมีวันใหม่รอเจ้าอยู่"
ท่านขุนเดชดึงมือกลับ ลูบหัวพุดตานเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้พุดตานนั่งนิ่งอยู่คนเดียวในความเงียบงัน
ความกังวลใจเรื่องการกลับบ้านยังคงอยู่ แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อครู่กลับเบาบางลงไปอย่างน่าประหลาด
พุดตานยกมือขึ้นมาแตะที่ศีรษะตรงที่ท่านขุนเดชลูบเมื่อครู่...
ท่านขุนเดช ท่านมาทำอะไรในชีวิตที่สับสนของข้ากันแน่นะ...
และในความมืดมิดยามค่ำคืนของอโยธยา พุดตานก็ตระหนักได้ว่า ถึงแม้ความหวังที่จะได้กลับบ้านจะดูริบหรี่แค่ไหน แต่ชีวิตของเขาในยุคนี้ก็ไม่ได้มีแค่ความยากลำบากและความโดดเดี่ยวเสียแล้ว...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 11
Comments