ร่ า ง ใ น โ ล ง เเ ก้ ว
ผมชื่อ “ชีพ” ครับ และตอนนี้...ผมเพิ่งตกงาน
ตั้งแต่วันนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในการหางาน ติดต่อบริษัทมากมาย หวังเพียงจะได้รับสายโทรกลับมาสักที่หนึ่ง แต่นานวันเข้าความหวังกลับเริ่มริบหรี่ เงินก้อนสุดท้ายในบัญชีก็ใกล้หมดเต็มที ผมต้องประหยัดถึงขีดสุด กินแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับผักหญ้าที่พอหาได้รอบบ้าน และไข่ไก่จากสวนของลุงข้างบ้าน
ระหว่างที่ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความเครียดและหิวโหย ก็มีสายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก...
“คุณกำลังหางานอยู่ใช่ไหม” เสียงปลายสายทักขึ้น ราวกับอ่านใจผมออก
“ครับ! งานอะไรหรอครับ?” ผมรีบตอบทันทีด้วยความดีใจ
เสียงนั้นเว้นจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“งานง่ายๆ…แค่นั่งดูแลศพผู้หญิงคนหนึ่ง...ในโลงแก้ว”
หลังจากปลายสายนั้นวางไป ความหวังในใจของชีพก็เริ่มจุดประกายขึ้นอีกครั้ง เขาดีใจจนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ ในหัวมีเพียงความคิดเดียว—เขาจะไม่อดตายแล้ว
"ขอบคุณพระเจ้า..." เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานใหม่ที่กำลังจะเริ่มในวันพรุ่งนี้
แต่สิ่งที่ชีพไม่รู้เลยก็คือ—งานนี้...จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
รุ่งเช้า ชีพเดินทางตามพิกัดที่ได้รับไว้ จนมาถึงบ้านหรูหลังหนึ่งกลางพื้นที่เปลี่ยว บ้านนั้นตั้งเด่นเป็นเอกเทศ ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงจนผิดสังเกต
หน้าบ้านมีชายคนหนึ่งยืนรออยู่ เขาสวมสูทสีดำสนิท รูปร่างสูงใหญ่ และใบหน้าเรียบเฉยจนดูเย็นชา
"สวัสดีครับ...ผมมาสมัครงานครับ" ชีพเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
"เชิญครับ..." ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ที่แฝงไปด้วยบางอย่างที่บอกไม่ถูก
ชีพเดินตามเข้าไปด้านใน บรรยากาศภายในบ้านหรูหราแต่กลับเงียบกริบ จนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
เมื่อประตูห้องเปิดออก เขาก้าวเข้าไปยังห้องทำงานของตัวเอง แล้วภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ...
กลางห้อง...มีโลงแก้วใสตั้งอยู่
ภายในโลงนั้น...ร่างของหญิงสาวในชุดขาวกำลังนอนนิ่งราวกับหลับใหล
แต่ที่ทำให้ชีพขนลุกซู่ คือ...ดวงตาของเธอที่ ลืมอยู่ครึ่งหนึ่ง
ชีพตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงที่สั่นคลอ
“ผม…ต้องทำงานนี้จริงๆ เหรอครับ?”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำหันมามองเขา แววตาเรียบนิ่ง แต่คำพูดกลับบาดลึก
“ไม่ทำก็ได้นะครับ…แต่คุณก็ตกงานอยู่ไม่ใช่หรือ?”
น้ำเสียงนั้นเหมือนมีแรงกดดันบางอย่างแฝงอยู่ ราวกับไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่เป็นคำเตือนบางอย่าง
ชีพเม้มปากแน่น เขาหันไปมองโลงแก้วตรงหน้าอีกครั้ง ร่างของหญิงสาวในชุดขาวยังคงนิ่งสงบ ผมยาวสยายแนบลงบนหมอนภายในโลง แต่สิ่งที่ทำให้ชีพใจไม่สงบ คือดวงตาคู่นั้น…ที่ยังคงเปิดไว้เพียงครึ่งเดียว ราวกับ จ้องมองกลับมา
เขาเม้มปากแน่นกว่าเดิม พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเหนื่อยล้า
“เฮ้อ…กูต้องทำจริงๆ เหรอวะ…”
เขาพูดกับตัวเองเบาๆ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเลและหวาดกลัว
มือทั้งสองของเขายังกำแน่น ขณะที่สายตาไม่อาจละไปจากร่างหญิงสาวในโลงแก้วได้เลย…
หลังจากวันแรกที่ชีพเริ่มงานเฝ้าศพลั่นทม เขาก็แทบไม่ได้ออกจากห้องนั้นอีกเลย ห้องเย็นเฉียบ มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียง และโลงแก้วที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง
ศพของลั่นทมยังคงสวยงาม ราวกับหลับใหลอยู่เท่านั้น — ดวงหน้าเรียบสงบ ริมฝีปากซีดจางมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่บางครั้งชีพก็มองว่า...มันเปลี่ยนไป
คืนหนึ่ง ขณะชีพนั่งเหม่อมองโลง เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เหมือนศพในโลง “ขยับได้” ริมฝีปากของลั่นทมกระตุกเบา ๆ เหมือนกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
"ชีพ..."
เสียงนั้นแผ่วเบาราวสายลม แต่ชัดเจนในหัวของเขา
ชีพสะดุ้งเฮือก หันซ้ายขวา — ไม่มีใคร
"ใช่สิ...ผมคงเพี้ยนไปเอง" เขาบอกตัวเอง แต่หัวใจเต้นแรงราวจะระเบิด
ตั้งแต่นั้น เขาเริ่มฝันถึงลั่นทมทุกคืน ฝันถึงเธอลุกจากโลง เดินมายิ้มให้เขา เอื้อมมือมาแตะหน้าเบา ๆ แล้วพูดว่า "อยู่กับฉันตลอดไปนะ..."
ยิ่งนานเข้า เขายิ่งแน่ใจว่ามันไม่ใช่แค่ฝัน หรือจินตนาการ
เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าอะไรคือจริง อะไรคือหลอน — เพราะบางคืน เขาเห็นเงาของลั่นทมยืนอยู่ปลายเตียง ยิ้มให้เขาในความมืด...
กลางดึกในคืนฝนตกหนัก
เสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่น เสียงฝนสาดกระทบกระจกโลงแก้วอย่างต่อเนื่อง ภายในห้องเย็นเฉียบ ราวกับโลกภายนอกไม่มีอยู่จริง ชีพนอนตะแคงข้างบนเตียงไม้เก่า ภายใต้ผ้าห่มบาง ๆ ดวงตาเบิกโพลง มองขึ้นเพดานอย่างไร้จุดหมาย
แกรก...
เสียงบางอย่างคล้ายเล็บขูดไม้ดังเบา ๆ จากฝั่งโลงแก้ว
เขาหันขวับไปทันที — ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ศพของลั่นทมยังคงนอนนิ่งอยู่ในโลง
แต่เมื่อเขามองดี ๆ อีกครั้ง...
ท่าทางของเธอเปลี่ยนไป — จากที่เคยนอนประสานมือ กลับกลายเป็นแขนข้างหนึ่งวางแนบลำตัว
เขารีบลุกขึ้นเดินไปดูใกล้ ๆ
...แล้วเขาก็เห็น — คราบน้ำหนอง สีเหลืองข้นเยิ้มออกมาจากมุมปากของลั่นทม กลิ่นคาวคลุ้งลอยฟุ้งจนชีพแทบอาเจียน
เขาก้าวถอยหลังสองก้าว ทันใดนั้นเอง...
เสียงกระซิบแผ่วเบา ดังขึ้นข้างหู —
“ฉันทำอะไรผิด...”
ชีพตัวแข็งทื่อ ขนลุกซู่ หันขวับไปแต่ไม่เจอใคร
กลับกัน...เขาเห็นรอยเท้าเปียกชุ่ม เดินเป็นทางจากโลงไปยังหน้าห้องน้ำ รอยเท้าเป็นรูปเท้าผู้หญิง เปียกโชก เหมือนพึ่งเดินลุยน้ำหนองมา
เขาไม่กล้าตามไปดู...
เขาวิ่งหนีออกจากห้องไป หอบหายใจอย่างคนจะขาดใจ
แต่ทางเดินของบ้านกลับเปลี่ยนไป
จากเคยเป็นบ้านหรูสะอาดสะอ้าน กลายเป็นบ้านเก่าร้าง ผนังแตกร้าว มีคราบเลือดติดตามฝาผนัง
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังแว่วมาจากห้องไกล ๆ พร้อมเสียงกรีดข่วนเหมือนเล็บขูดประตูไม้
ชีพเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้ว หรือว่า...เขาไม่เคยได้ออกจาก “ที่นี่” ตั้งแต่ต้น?
---
ย้อนกลับไปเมื่อวันแรกที่เขามาถึงบ้านหลังนี้...
ชายในชุดสูทดำที่พาเขาเข้าบ้านพูดเพียงประโยคเดียวว่า
“ถ้าอยากรอด...ก็อย่าตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น”
คำพูดนั้นในตอนแรก เขาไม่เคยใส่ใจ
แต่ตอนนี้...เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมถึงพูดแบบนั้น
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหักห้ามใจแค่ไหน...
เสียงนั้นก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกคืน —
เสียงกระซิบของลั่นทม ที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนปนเคียดแค้น
“ฉัน...ยังไม่ตาย...”
“ช่วยฉันที...”
บางคืน เสียงนั้นดังมาจากในโลง
บางคืน ดังมาจากใต้เตียง
และในบางครั้ง... ดังมาจากข้างในหัวของเขาเอง
ชีพพยายามไม่รับฟัง พยายามบอกตัวเองว่า “มันแค่จินตนาการ...แค่ความเครียด...”
แต่เสียงนั้นไม่เคยเงียบลงเลย
กลับกัน มันยิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับเธอกำลังอยู่ใกล้เขาขึ้นทุกที
เขานั่งกุมขมับอยู่บนเตียง
เหงื่อไหลซึมทั่วแผ่นหลัง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเป็นเสียงสะท้อนในหู
เสียงฝีเท้าเปียกน้ำดังกึบกั๊บอยู่ด้านหลังเขา
แผ่วเบา...แต่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ชีพไม่กล้าหันกลับไป
แต่เสียงกระซิบก็ดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
ชัดเจน ราวกับเธอแนบปากมากระซิบจริง ๆ
“คุณ...ก็เหมือนคนอื่น...หลอกผม...”
เขาตะโกนออกมาสุดเสียง
“พอได้แล้ว! ผมไม่อยากฟัง! ไปให้พ้น!!”
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
เงียบเสียจนเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง
แต่ในใจลึก ๆ เขารู้...นี่ไม่ใช่จุดจบ
เพราะสิ่งที่ตามหลอกเขานั้น...ไม่ใช่แค่ “เสียง” อีกต่อไปแล้ว
มันกำลังจะออกมาจากโลง
อยู่ดี ๆ ทีวีที่ปิดสนิทตรงหน้าก็เปิดขึ้นอย่างน่าตกใจ
แสงจ้าสาดวาบ พร้อมเสียงซ่ากระชากประสาท
ภาพในจอไม่ใช่รายการข่าวหรือโฆษณา แต่เป็น ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดในห้องโลงแก้ว...
ชีพเบิกตากว้าง
ภาพในจอคือ ลั่นทมที่ค่อย ๆ แง้มฝาโลงแก้ว
ช้า ๆ เหมือนกับรู้ว่ามีใครกำลังจ้องมองอยู่จากอีกฝั่ง
เสียง "แกรก...แกรก..." ดังมาจากลำโพง
เป็นเสียงเล็บกรีดลงกับกระจก
จากนั้น...ร่างของเธอก็ ลุกขึ้นจากโลงอย่างเชื่องช้า
เส้นผมยาวสีดำยุ่งเหยิงปกหน้า เสื้อขาวที่เคยสะอาดเปื้อนคราบน้ำเหลืองและเลือดจนกลายเป็นสีคล้ำ
ชีพแทบจะร้องออกมา แต่กลัวจนพูดไม่ออก
เขารีบปิดตา แสร้งทำเป็นนอนหลับ
แต่แล้ว...
แกร่บ...แกร่บ...
เสียงฝีเท้าหนักชื้นก้าวมาเรื่อย ๆ
เสียงนั้นหยุดอยู่ที่ปลายเตียง
จากนั้นได้ยินเสียง "สางผม..."
เสียงเส้นผมเสียดสีกันเบา ๆ ราวกับอยู่ใกล้หูเขาแค่ไม่กี่เซนติเมตร
ชีพทนไม่ไหว
ลืมตาขึ้นช้า ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
และนั่นคือสิ่งที่เขาเห็น...
ใบหน้าของลั่นทม ก้มมามองเขาอยู่ใกล้แค่คืบ
รอยยิ้มเหยียดกว้างจนถึงใบหู ดวงตาขุ่นมัว ไร้ตาดำ
เลือดแห้งกรังบนใบหน้า หนอนคลานอยู่ตามขอบปากที่กำลังพูดว่า
"ฉันทำอะไรผิด..."
จากนั้น...
ทุกอย่างดับวูบ
ชีพไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน
เขาสะดุ้งตื่นในสภาพเหงื่อชุ่ม ผ้าปูเตียงเปียกไปด้วยความชื้นเย็น ๆ
เขานั่งนิ่ง สูดลมหายใจถี่ ๆ พลางปลอบตัวเอง
"ฝัน... มันแค่ฝัน..."
จนกระทั่ง...
ปวดฉี่
เขาลุกขึ้นไปห้องน้ำอย่างเสียไม่ได้ พยายามไม่มองกระจก
แต่ในจังหวะที่กำลังยืนปลดทุกข์อยู่นั้น
เขาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเงาในกระจก
และสิ่งที่เขาเห็นคือ...
ลั่นทมยืนอยู่ด้านหลังเขา — โอบเขาไว้ด้วยแขนซีดเผือด ข้อมือมีรอยฟกช้ำ
ใบหน้าของเธอซบอยู่กับไหล่เขา
แต่สายตาในกระจกจ้องตรงมาที่เขา
ไม่มีแววชีวิต — มีแต่คำถาม
"ฉันทำอะไรผิด...?"
หลังจากนั้น ชีพก็เดินกลับไปยังเตียงนอนด้วยหัวใจที่สั่นไหว หวังเพียงแค่ว่าผ้าห่มผืนหนานี้จะช่วยป้องกันเขาจากสิ่งที่มองไม่เห็น เขาแนบตัวเข้ากับฟูก สวมผ้าห่มขึ้นถึงคาง แล้วพยายามสวดมนต์เบา ๆ ในใจอย่างมีความหวังว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยคุ้มครอง”
แต่ไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงแหบต่ำดังแทรกขึ้นจากความมืดรอบตัว “เดี๋ยวกูจะสวดศพมึงบ้าง…”
เสียงนั้นดังก้องราวกับมาจากทุกทิศทาง หัวใจชีพแทบหยุดเต้น เขาหยุดสวดทันที เหงื่อผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังทั้งที่อากาศเย็นเฉียบ แล้วจู่ ๆ อากาศภายใต้ผ้าห่มก็บีบรัดราวกับกลายเป็นเตาอบ ความอึดอัดแทรกเข้ามาแทนความอบอุ่น เขาพยายามกลั้นใจพลิกตัวขึ้นมอง—แล้วสิ่งที่เห็นก็คือ ใบหน้าซีดคล้ำของลั่นทม กำลังมุดผ่านผ้าห่มเข้ามา ยิ้มแสยะอย่างเย็นชา ดวงตาขาวโพลนมองตรงเข้ามาในดวงตาของเขา
มือที่เย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งของเธอกำดอกบัวที่เน่าเปื่อยไว้ แล้วนำมาผูกไว้ที่มือของชีพอย่างแน่นหนา จากนั้นเธอพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
"มาอยู่กับฉันในโลงไหม?"
ก่อนที่เขาจะได้ขยับตัว โลงแก้วก็ปรากฏขึ้นตรงปลายเตียง ลั่นทมลากชีพเข้าไปช้า ๆ ท่ามกลางเสียงลมหายใจขาดห้วงของเขาเอง
ภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลงไปคือใบหน้าของลั่นทมที่จ้องเขาไม่วางตา พร้อมเสียงกระซิบว่า
“ฉันรอเธอมานานแล้ว...”
รุ่งเช้า ตำรวจพบว่าชีพประสบอุบัติเหตุรถชนในทางเปลี่ยว เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนขนลุก คือบนมือของเขายังผูกดอกบัวเน่าไว้แน่นแนบอก และในดวงตาของศพ ยังเบิกโพลง...ราวกับเห็นอะไรบางอย่างก่อนสิ้นลมหายใจ
จ บ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments