หลังจากแพร่ข่าวลือเรื่ององค์ชายสี่เป็นเติงถูจื่อ
คบสตรีไม่เลือกหน้า เป็นต้นว่าวันนี้ไปตามจีบลูกสาวแม่ค้าขายดอกไม้
พรุ่งนี้ไปหอคณิกาชื่นชมแม่นางป๋ายอวี้หลัน
หญิงคณิกาผู้งามเป็นอันดับหนึ่งของหอคณิกา จิตใจของขุยโหยวหลานพลันหวั่นไหว
เพราะเมื่อนางให้คนตามสืบดูกลับพบว่าล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ดังนั้น...เมื่อจู่หรงเสียมาเยี่ยมนาง นางจึงมีท่าทีปั้นปึง เมื่อเขาทำเหมือนไม่ใส่ใจ
นางยิ่งน้อยใจก่อนจะเอ่ยตัดความสัมพันธ์เมื่อจู่หรงเสียยอมรับว่าข่าวที่เล่าลือนั้นเป็นเรื่องจริง
เพราะขุยโหยวหลานเป็นคนอ่อนไหวต่อคำเล่าลือ มิกล้าเดินออกไปเที่ยวกลางตลาดอีกเพราะกลัวคนจำได้
แล้วต้องกลายเป็นตัวตลกท่ามกลางน้ำลายของผู้คน
พอเห็นว่าองค์ชายสามยอมถูกนางตัดสัมพันธ์โดยไม่งอนง้อ
นางก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าเขาไม่ได้มีใจให้นางจริง
ดังนั้น...จวนขุยจึงไม่ยินดีต้อนรับจู่หรงเสียอีก ซ้ำเมื่อขุยจงนำเรื่องเหลวไหลขององค์ชายสี่ขึ้นร้องเรียนต่อหน้าหวงตี้ในท้องพระโรง
หวงตี้ยอมรับผิดที่เลี้ยงโอรสไม่ดีด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับ
ทำให้ขุยจงโมโหที่หวงตี้เข้าข้างพระโอรสอย่างไม่ลืมหูลืมตา จึงขอปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพไร้พ่าย
พาครอบครัวกลับบ้านเกิดที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ตั้งปณิธานว่าต่อให้แคว้นเหลียงยกทัพมาโจมตีต้าเว่ย
เขาก็จะไม่ขอกลับมารับตำแหน่งอีก
ขุยจงมิเข้าใจว่าเหตุใดจู่หวงตี้ถึงยอมทำตามคำขอร้องของตนง่ายๆ
ที่แท้จู่หวงตี้มองเห็นวัยไม้ใกล้ฝั่งของขุยจงแล้วคาดคะเนได้ว่าคงสู้รบปรบมือกับข้าศึกได้อีกไม่นาน
สู้ให้ไปใช้ชีวิตยามบั้นปลายกับลูกหลานจะดีกว่า นี่นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณโดยแท้
แต่อีกฝ่ายจะรู้ความในพระทัยหรือไม่นั้น จู่หวงตี้มิคิดจะถือสา
คนที่งงเป็นไก่ไม้มากกว่าจะนั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข้งกับเหตุการณ์ที่ตนก่อจนเป็นเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่อย่างหยางจินจวี๋กลับสงสัยว่าข่าวลือที่ตนให้คนแพร่ออกไป
เหตุไฉนจึงเป็นจริงไปได้
พอส่งคนไปสืบก็พบว่า
จู่หรงเสียตามจีบลูกสาวแม่ค้าขายดอกไม้จริง ไปเกี้ยวพาราสีแม่นางอวี้หลันจริงๆ
ภายในใจให้รู้สึกคันยิบๆอย่างบอกไม่ถูกอีกแล้ว
พรุ่งนี้จะต้องไปเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว
หยางจินจวี๋รู้ว่านับจากนี้ไปชีวิตของตนจะไร้รสชาติ จึงคิดจะไปเยี่ยมเสด็จย่า
บ่นตัดพ้อให้ท่านฟัง เผื่อท่านจะเปลี่ยนใจให้นางเที่ยวเล่นอยู่บ้านได้ตามใจอีก
แต่ก่อนอื่นจะต้องเอาใจเสด็จย่าก่อน ดังนั้นนางจึงให้พ่อครัวสอนทำขนมอบเกษียรทองคำที่เสด็จย่าโปรดปราน
องค์หญิงใหญ่หย่งหนิงมองร่างอรชรอ้อนแอ้นในชุดผ้าไหมต่วนหิมะสีขาว
วาดดอกเบญจมาศสีแดงกลางหน้าผาก สวมรัดเกล้า ต่างหู รวมถึงกำไลข้อมือและกำไลข้อแขนที่ทำจากทองคำทั้งสิ้น
ดูหรูหราฟุ้งเฟ้อยิ่ง เดินตามหลังเหลียงหมัวมัว
ข้ารับใช้เก่าแก่ของนางเข้ามาในตำหนักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“จวี๋เอ๋อร์...ถ้าไม่ไร้เรื่องร้อนใจคงไม่ถ่อไปวัด[1]เจ้ามาหาย่าวันนี้มีจุดประสงค์บางอย่างใช่หรือไม่?” หญิงชราถามยิ้มๆ
จากใบหน้าที่กำลังยิ้มแป้นกลายเป็นมู่ทู่ทันที
หยางจินจวี๋จีบปากจีบคอพูดขึ้นว่า “เสด็จย่าทรงปราดเปรื่องจริงๆ เหตุใดท่านพ่อกับข้าถึงไม่ได้สติปัญญาของท่านติดตัวมาด้วยนะ”
“เจ้าเด็กปากกล้า
เดี๋ยวเหอะ!” องค์หญิงใหญ่ปรามอย่างไม่จริงจังนัก
แต่ดวงหน้ายังเอิบอาบด้วยรอยยิ้มเมตตา “วันพรุ่งนี้เป็นวันอะไร
ของในกล่องที่เจ้าให้เหลียงหมัวมัวถือมาคืออะไร มีหรือว่าย่าจะไม่รู้ความในใจของเจ้า”
“เสด็จย่าทรงล่วงรู้จิตใจของจวี๋เอ๋อร์...เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องอ้างฝ่าบาทมาบังคับจิตใจของจวี๋เอ๋อร์ด้วยเล่า”
หยางจินจวี๋ตัดพ้อขึ้นมาทันที แสร้งบีบน้ำตาแต่หามีน้ำตาหลั่งออกมาสักหยด
จึงนับว่าไร้ผล
“จวี๋เอ๋อร์เป็นสตรี
จะให้ไปหมกตัวอยู่ร่วมกับบุรุษร่างเหม็นเหล่านั้นทั้งวันได้อย่างไรกันเจ้าคะ
อีกอย่าง...” นางพลันเปลี่ยนมาทำสีหน้าซึมเศร้า “จวี๋เอ๋อร์เป็นสตรีโง่เขลา ไม่สามารถเข้าใจตำราได้อย่างถ่องแท้
จวี๋เอ๋อร์ไม่อยากเป็นตัวตลกในสายตาผู้คน”
“จวี๋เอ๋อร์...อย่าพูดคำว่าโง่เขลาอีก
เจ้าต้องพูดว่าเจ้ามีปัญญา แล้วเจ้าจะมีปัญญาทำได้ทุกเรื่อง” องค์หญิงใหญ่เอ่ยปลอบ
หลักการของนางคือสิ่งที่ราชบุตรเขยเคยใช้สอนนางในวัยเยาว์
“หน้าของเจ้าก็คือหน้าของย่า
ใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้าก็เท่ากับหัวเราะเยาะย่า ย่าไม่มีวันปล่อยให้ลอยนวลแน่”
“แต่จวี๋เอ๋อร์เข้าไปในฐานะบุรุษ
ใครจะรู้ว่าจวี๋เอ๋อร์เป็นหลานสาวของเสด็จย่าล่ะเพคะ” หยางจินจวี๋ประท้วง แต่นัยน์ตาดำขลับเริ่มทอประกาย
เมื่อรู้ว่าเสด็จย่าจะเป็นผู้หนุนหลัง
“เอาเป็นว่าเรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของย่า
ส่วนเจ้าต้องตั้งใจเรียนให้ดี เรียนได้แค่ไหนก็พยายามเรียนไป
ย่าแค่ขอให้เจ้ามีวิชาติดตัว พูดคุยกับปัญญาชนรู้เรื่อง ไม่ได้ขอให้เก่งกาจจนต้องไปสอบเป็นจ้วงหยวนเสียเมื่อไหร่
หนึ่งปีนี้...เจ้าต้องตั้งใจเรียนในกั๋วจื่อเจียน
เรียนจบแล้ว...ย่าจะตบแต่งบุรุษดีๆให้เจ้า”
“ห๊า...!!!!!!!!” ถ้อยคำสุดท้ายประหนึ่งเสียงอสนีบาตฟาดลงมายังพื้นโลก จนทำให้แก้วหูของหยางจินจวี๋ดับไปชั่วขณะ
“เสด็จย่า...ไม่เอานะเจ้าคะ
เรื่องคู่ครองของจวี๋เอ๋อร์ ขอให้จวี๋เอ๋อร์เลือกด้วยตัวเองเถอะเจ้าค่ะ”
หยางจินจวี๋รีบพูดเร็วปรื๋อ
“จวี๋เอ๋อร์...เจ้าอย่าเพิ่งวิตกไป
ถึงอย่างไร...ย่าจะตบแต่งบุรุษที่เจ้าชื่นชอบให้เท่านั้น”
ถึงจะพูดอย่างนั้น
แต่ในใจของหยางจินจวี๋คัดค้านอย่างรุนแรง ก่อนความคิดหนึ่งจะวาบผ่านเข้ามาในสมอง
นางจ้องตาทอประกายยิ้มๆของเสด็จย่าตาไม่กระพริบ
ที่แท้...ที่แท้
การที่ส่งนางไปเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนก็เพื่อให้นางได้พบชายที่ผูกสมัครรักใคร่ในราชวิทยาลัยแห่งนั้นนั่นเอง!!!
“การไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนคือการไปดูตัวอย่างนั้นใช่ไหมเจ้าคะ
เสด็จย่า” หยางจินจวี๋ถามด้วยน้ำเสียงรันทดหดหู่
“บัณฑิตเหล่านั้นมีอะไรที่ดีไม่พอต่อเจ้ากัน
นอกจากจะมีสามัญชนเข้าไปเรียนแล้ว ยังมีลูกหลานขุนนางด้วย
หากเจ้าเกิดชอบพอชายใดขึ้นมา
ย่าก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าคำเล่าลือเกี่ยวกับการเป็นหญิงที่ชายทั่วหล้ารังเกียจอย่างเจ้าจะกลายเป็นความจริง”
“แล้วถ้าข้าชอบเขาแต่เขาไม่ชอบข้าล่ะเจ้าคะ
เสด็จย่า”
“จวี๋เอ๋อร์ของย่าออกจะน่ารักน่าถนอมป่านนี้
ใครบ้างจะไม่รักไม่หลง”
หยางจินจวี๋ลอบเบะปากในใจ
เมื่อกี้เสด็จย่ายังพูดอยู่เลยว่ากลัวคำเล่าลือของนางที่จะขึ้นคานเป็นความจริง
จู่ๆภาพใบหน้าของจู่หรงเสียวัยเด็กก็ผุดขึ้นมา แม้แต่คู่กัดของนางที่เห็นหน้ากันแทบทุกวันยังไม่เคยมองว่านางน่ารักน่าถนอมเลย
“ท่านแม่ก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหมเจ้าคะ
เสด็จย่า?”
“อืม”
องค์หญิงหย่งหนิงพยักหน้า “จินซื่อเองก็เห็นว่าความคิดของย่าเป็นความคิดที่ดี”
ฟ้อง...ต้องกลับไปฟ้องท่านพ่อ
แต่...
ท่านพ่อกลัวท่านแม่หยั่งกะอะไรดี
แค่ท่านแม่ยกมือเท้าสะเอว ท่านพ่อก็กลัวจนหงอ จะช่วยอะไรนางได้
ยามนี้หยางจินจวี๋รู้สึกอับจนหนทางเหมือนเดินเข้าไปในอุโมงค์ดำมืดที่เส้นทางคดเคี้ยวและลึกเกินกว่าจะย้อนกลับถูกทาง
เมื่อเห็นสีหน้าของนางไม่ดี
องค์หญิงหย่งหนิงก็เอ่ยปลอบสารพัดสารเพ หยางจินจวี๋ก็พร่ำตัดพ้อสวนกลับไปเพื่อหวังจะให้องค์หญิงหย่งหนิงเปลี่ยนพระทัยให้จงได้
สุดท้าย…
“เรื่องที่เจ้าลอบปลอมตนเป็นหญิงแก่ไปทำนายทายทักมั่วซั่วให้กับขุยโหยวหลานพร้อมทั้งแพร่ข่าวลือสร้างความเสื่อมเสียให้องค์ชายสี่
มีหรือย่ากับฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบ ฝ่าบาทจะเอาโทษเจ้าอย่างไรก็ได้แม้แต่ย่าก็ไม่คิดจะห้ามปรามเพราะเจ้าทำเกินไป
สร้างเรื่องเสื่อมเสียให้เชื้อพระวงศ์มีโทษหนักสถานใดเจ้าก็น่าจะรู้
เพื่อเห็นแก่ที่ฝ่าบาททรงเมตตาไม่เอาเรื่องเจ้า เจ้าต้องเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนและตั้งใจเรียนให้ดีด้วย!” นั่นคือคำประกาศิตประดุจเสียงฟ้าผ่า
หยางจินจวี๋เดินออกจากตำหนักราวกับมีมีดปักหลัง
แล้วคนที่ปักมีดนั้นคือเสด็จย่าที่ตามใจนางมาแต่ไหนแต่ไร นางรู้สึกเหมือนถูกทรยศ น้ำตาเกือบจะไหลออกมาด้วยความน้อยใจ
หยางจินจวี๋ก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมนางถึงอยากร้องไห้ ทำไมเพียงแค่คิดว่าตนไปหลงรักบัณฑิตหน้าตาซื่อๆคนหนึ่งที่ชอบพูดแต่เรื่องปรัชญาขึ้นมานางก็ปวดหัว
พลัน...ใบหน้าที่มีเค้าหล่อเหลายามเยาว์วัยของจู่หรงเสียก็ผุดขึ้นมาในหัว
หยางจินจวี๋รีบสลัดภาพนั้นทิ้ง
ไม่...นางไม่ได้ชอบองค์ชายต้วนซิ่วคนนั้นเสียหน่อย!!!
[1]
มาด้วยมีวัตถุประสงค์แอบแฝง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments