" กรี๊ดดดดด อีไพร่! มึงออกมาประเดี๋ยวนี้นะ อีไพร่!!! "
" กรี๊ดดด "
เสียงกรี๊ดปรอทแตกของร่างบางที่ถูกมัดมือติดอยู่กับเสาหัวเตียงยังคงดังออกมาไม่หยุดแม้ว่าตอนนี้ภายในหอนอนของเธอจะไร้เงาของหญิงสาวที่กำลังเรียกหาอยู่
" แม่นาย!! แม่นายเป็นกระไรรึเจ้าคะ แม่นาย!!! "
เสียงของนางยิ้มและนางแย้มดังเข้ามาจากด้านนอกพาให้ร่างบางที่กำลังแหกปากโวยวายอยู่สงบลง เจ้าตัวเอ่ยเรียกบ่าวคนสนิททั้งสองให้เข้ามาหาตนทันทีด้วยหวังว่าจะแก้มัดที่ข้อมือออกให้
" อียิ้มอีแย้มพวกมึงรีบเข้ามาหากูประเดี๋ยวนี้ "
" เจ้าค่ะแม่นาย "
เสียงจากบ่าวคนสนิททั้งสองตอบรับกลับมาก่อนที่เสียงประตูไม้เปิดออกจะดังขึ้นพร้อมกับร่างของบ่าวคนสนิททั้งสองที่ก้าวขาเข้ามายังหอนอนของเธอ
" ว๊ายยย แม่นาย! เหตุไฉนจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้เล่าเจ้าคะ "
" อียิ้มมึงหุบปาก " หญิงสาวรีบเอ่ยดุบ่าวของตนทันที
" รอกระไรอยู่วะ! รีบแก้มัดให้กูสิ "
" จะ เจ้าค่ะแม่นาย "
นางยิ้มและนางแย้มรีบขานรับแล้วคลานขึ้นไปบนเตียงเพื่อแก้มัดให้นายของตน
" พวกมึงหูหนวกกันหรือไง กูร้องเรียกเสียนานจนคอแทบแตกเหตุใดจึงเพิ่งขึ้นมากันฮะ "
" บะ บ่าวขออภัยเจ้าค่ะแม่นาย "
นางแย้มว่าก่อนจะรีบหมอบลงไปแทบเท้าของร่างบางผู้เป็นนายทันที
" บะ บ่าวด้วยเจ้าค่ะเรือนทาสมันอยู่ไกลนักพวกบ่าวจึงมิใคร่ได้ยินเจ้าค่ะ เหตุที่ได้ยินก็เพราะเป็นห่วงแม่นายจึงใคร่มาเดินดูรอบๆ เรือนอีกครา แล้วค่อยไปนอนกันเจ้าค่ะ "
นางยิ้มว่าแล้วหมอบหัวลงไปแทบเท้าของร่างบางอีกคน
" แน่นะมึง "
" แน่เจ้าข้าา " ทั้งสองรีบตอบในทันที
" ประเดี๋ยวพวกมึงบอกกูว่าเดินอยู่รอบๆ เรือนใช่หรือไม่ "
ร่างบางถามบ่าวทั้งสองของตัวเองพร้อมทั้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดูที่ฉากกั้นห้องของตนที่บัดนี้หาได้มีผู้ใดอยู่ไม่
" แล้วพวกมึงเห็นผู้ใดหรือไม่ "
" ไม่เห็นเจ้าค่ะ มิมีผู้ใดอยู่ใกล้เรือนตามที่แม่นายสั่งเอาไว้เลยเจ้าค่ะ "
" จริงรึ? "
หญิงสาวหันหน้าไปถามบ่าวทั้งสองอย่างประหลาดใจเพราะช่วงเวลาที่นับดาวเดินหนีเธอไปกับช่วงเวลาที่นางยิ้มและนางแย้มเข้ามาในห้องของเธอนั้นมันห่างกันเพียงแค่นิดเดียว
" อีไพร่นั่นมันไวขนาดที่อีสองคนนี้ไม่เห็นเลยรึ "
หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับทำหน้าฉงนออกมา
" พวกมึงมิต้องเรียนเรื่องนี้กับคุณพ่อท่าน แล้วปิดปากของพวกมึงให้สนิทเสียประเดี๋ยวท่านจักเป็นห่วงกูไปมากกว่านี้เข้าใจหรือไม่ "
" เจ้าค่ะ!!! " บ่าวทั้งสองรับคำ
" ดี! เช่นนั้นพวกมึงก็ออกไปจากห้องกูเสียแล้วก็นอนหน้าห้องกูเหมือนเช่นทุกวันนั่นแหละ แล้วถ้ากูเรียกหาคราใดก็ให้รีบมาอย่าให้ได้ต้องรออย่างครานี้อีก "
" เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แม่นาย!!! "
นางยิ้มและนางแย้มรับคำเจ้านายของมันก่อนจะรีบพากันออกไปจากห้องของร่างบางที่กำลังทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
" อีไพร่นั่นมันเป็นใครกัน มันเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไรและออกไปทางใดกันแน่ เหตุใดทั้งประตูแลหน้าต่างก็หาได้ถูกเปิดไม่แม้สักบานก็ไม่มี "
ร่างบางถามตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะทำหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ
" หรือว่ามัน.... จักเป็นผีกัน!!!! "
.
.
เช้าวันต่อมาที่เรือนเล็กของงามจันทร์เจ้าตัวถูกตามให้ออกมากินข้าวพร้อมหน้ากับผู้เป็นพ่อที่รู้ทันว่าลูกสาวจักไม่ยอมกินอะไรแน่จึงได้ออกมารับประทานสำรับด้วยในเช้านี้
" สำรับไม่ถูกปากรือออเจ้า พ่อเห็นเจ้าแทบจักไม่เอาเข้าปากเลยหนา "
คุณพระแสงเดชเดชากลาโหมถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจักถอนหายใจออกมาเบาๆ
" หามิได้เจ้าค่ะคุณพ่อ เพียงแต่ลูกมิค่อยจักหิว "
ร่างบางตอบพ่อของตัวเองก่อนจะหลบสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วง
" พ่อรู้ว่าเจ้ากินมิใคร่ลงแต่อย่างไรก็ต้องกินเสียบ้างหนา จักทรมานตนเองเช่นนี้ก็มิได้กระไรขึ้นมาจริงหรือไม่เล่างามจันทร์ของพ่อ "
" ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะแลจักรับประทานตามคำขอของคุณพ่อหากแต่ว่า " ร่างบางมองหน้าพ่อของตัวเอง
" มิว่าจักรับประทานไปเสียเท่าใดก็มิอาจเติมเต็มความโหยหาในใจของลูกได้เลย"
" งามจันทร์เอ๊ย ลูกก็รู้มิใช่รือว่าสำรับนี้เป็นเพียงแต่อาหารทางกายที่ทำให้ท้องอิ่มเท่านั้น "
" แล้วหากลูกต้องการให้ใจอิ่มเล่าเจ้าคะ คุณพ่อจักช่วยลูกได้หรือไม่ "
" พ่ออยากให้เจ้าคิดไตร่ตรองดูให้ดีหนาลูกว่าสิ่งที่เจ้ากำลังจักขอพ่อนั้นมันสมควรหรือไม่ แล้วไอ้ชายชั่วผู้นั้นมันดีพอกับลูกพ่อจริงหรือแม้ว่าจักไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ แต่พ่อหาได้ชอบพอมันจนอยากได้เป็นลูกเขยไม่หากเสียแต่ชังน้ำมะหน้ามันมานานนม ด้วยว่าเจ้าไม่รู้ว่าลับหลังเจ้านั้นมันเกี้ยวพาผู้ใดอยู่บ้าง "
" คุณพ่อหมายจักว่ากระไรกันเจ้าคะ "
ร่างบางถามพ่อของตัวเองในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เพราะพ่อเธอไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้และก็คงจะไม่มีทางมาโกหกเธอในตอนนี้แน่
" พ่อจับตาดูมันมานานโขมิใช่เพียงแต่เจ้าที่ถูกเกี้ยวพาหากแต่ยังมีลูกสาวขุนน้ำขุนนางอีกมากมายแลแม่หญิงหลายคน ก็แอบลักลอบได้เสียกับมันจนถึงขั้นท้องโตก็มีหนาอย่างแม่นวลศรีที่เป็นข่าวขายหน้าคนไปทั่วทั้งพระนครอย่างไรเล่า "
" แต่... "
" มันบอกเจ้าว่ามิได้ทำใช่หรือไม่ แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดอีกเล่าที่เข้าออกเรือนของขุนศรีวิชัยอยู่บ่อยครายามเมื่อมันหาสังกัดเข้าเป็นทหารรับราชการในคราแรก "
" ไม่จริง "
ร่างบางพึมพำออกมาอย่างไม่อยากยอมรับ น้ำตาของเธอหยดออกจากดวงตาคู่หวานอย่างปวดร้าวแม้จะรู้ดีว่าผู้เป็นพ่อที่รักไม่เคยโกหกเธอเลยสักคราแต่เพลานี้เธอกลับภาวนาให้ท่านโกหกเธอสักหน
" ไม่จริง ลูกไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ!!! กรี๊ดดดด "
ร่างบางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป
" แม่งามจันทร์!!! แม่งามจันทร์ลูก! เจ้าเป็นกระไรได้ยินพ่อหรือไม่เล่าแม่งามจันทร์ แม่งามจันทร์!!!! "
.
.
.
สายลมพัดเอื่อยในยามสายพาให้รู้สึกร่มรื่นในสวนดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ของคฤหาสน์อิศราศวร หญิงสาวร่างสูงเดินเล่นอยู่เพียงลำพังภายในสวนแห่งนี้อย่างอารมณ์ดีเจ้าตัวเดินดมดอกไม้ต้นนั้นทีต้นนี้ทีอย่างเรื่อยเปื่อยจนผู้เป็นแม่ที่มองอยู่ห่างๆ ก็เกิดสงสัยในความอารมณ์ดีที่ดูผิดหูผิดตานี้ขึ้นมา
" วันหยุดทั้งทีจะอยู่แต่บ้านทั้งวันจริงๆ เหรอลูก แม่ว่าเราน่าจะออกไปเที่ยวไหนบ้างนะจะได้พักผ่อนจากงานดีไหม "
คุณหญิงละอองดาวเดินตรงเข้ามาหาลูกสาวที่กำลังเดินดูดอกไม้อยู่อย่างอารมณ์ดีแล้วส่งยิ้มให้
" ถ้าออกจากบ้านนั่นก็ไม่เรียกว่าพักผ่อนแล้วล่ะค่ะ “ นับดาวยิ้ม
“ สำหรับนับการพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือการได้อยู่เฉยๆ ที่บ้านแบบนี้ มีความสุขที่สุดเลยล่ะค่ะ "
เจ้าตัวว่าก่อนจะตรงเข้าไปสวมกอดที่เอวผู้เป็นแม่
" เรื่องจริงพ่อเห็นด้วยเลย พ่อเองก็อยากจะหยุดบ้างเหมือนกันถ้าไม่ติดว่าที่กองพลยังมีงานค้างอยู่วันนี้ก็คงจะไม่ต้องเข้าไปแล้วเชียว "
ชายวัยกลางคนว่าก่อนจะทำหน้าเซ็งสุดขีดแล้วถอนหายใจออกมา
" งั้นคุณก็พักบ้างสิคะฉันเห็นนายพลคนอื่นๆ เขาไม่เห็นจะต้องทำงานหนักแบบคุณเลยออกจะกินเงินเดือนกันสบายเสียด้วยซ้ำ "
คุณหญิงละอองดาวว่ากับสามีก่อนจะได้รับการถอนหายใจกลับมาอีกครั้ง
" ผมไม่ใช่พวกเอาเปรียบประชาชนแบบนั้นหรอกนะ เงินเดือนที่ผมได้อยู่ทุกวันนี้ก็มาจากภาษีของประชาชนแล้วจะให้หยุดงานแล้วเอาเปรียบพวกเขาได้ยังไงกัน "
" ค่าๆๆ คุณสองพ่อลูกผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมงั้นก็รีบไปเถอะค่ะเดียวรถติดแล้วจะสายเอา "
" ครับ แล้วคุณล่ะวันนี้จะเข้าไปตรวจงานกี่โมงงั้นเหรอ "
ชายวัยกลางคนถามภรรยาของเขาถึงธุรกิจที่ตกทอดกันมาในครอบครัวของเจ้าตัวที่เป็นถึงห้างชื่อดังมากกว่าสามสิบสาขาทั่วประเทศ
" คงบ่ายๆ ค่ะ จริงๆ ฉันก็เริ่มจะเหนื่อยแล้วล่ะนะไม่รู้เมื่อไหร่ลูกสาวคนเดียวจะเบื่อเรื่องช่วยงานพ่อแล้วเปลี่ยนมาช่วยงานแม่บ้างสักที "
" อีกไม่นานหรอกค่ะ นับขออีกหน่อยนะคะถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นพันเอกเมื่อไหร่จะรีบลาออกให้ทันทีเลยค่ะ "
" อ่าว! ถ้างั้นพ่อก็ต้องสั่งชะลอเรื่องการแต่งตั้งยศของหน่วยเราแล้วสินะ "
" ได้ยังไงกันล่ะคะเรื่องครั้งที่แล้วที่พนมเปญเล่นเอาพวกเราเกือบตายกันยกทีมเลยนะคะแล้วคุณพ่อจะมาเบี้ยวพวกเราได้ยังไงกันอีกอย่างนับก็ตั้งใจเอาไว้นานแล้วด้วยค่ะว่าอยากจะลาออกก่อนตัวเองจะอายุสามสิบเพราะคนสวยแถวนี้พูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่าเหนื่อยอยากพักงานมาอุ้มหลานสักที จนตอนนี้สามสิบแล้วก็คงจะต้องยอมเขาแล้วล่ะค่ะ ^^ "
" ดี! ให้มันได้อย่างนี้สิเราเองก็สามสิบแล้วนะลูก ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอยู่บ่อยๆ ใจแม่น่ะจะขาดให้ได้เชียว " คุณหญิงละอองดาวว่ากับลูกสาว
" ก็นี่ไงคะนับเองก็กำลังรอการแต่งตั้งจากคุณพ่ออยู่เหมือนกันค่ะ "
" อ่าว! แล้วไหงเรื่องมันมาลงที่พ่ออีกแล้วล่ะ งั้นพ่อว่าพ่อไปก่อนดีกว่าก่อนจะโดนแม่เราคาดโทษไปมากกว่านี้เดี๋ยวคืนนี้จะโดนนอนนอกห้องกันพอดี "
" คุณนี่ทำอย่างกับว่าตั้งแต่ยัยนับโตมาฉันเคยไล่คุณออกมานอนนอกห้องอย่างนั้นแหละ "
" ฮ่าๆๆ นั่นสินะ "
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะเข้าสวมกอดลูกสาวและภรรยาของเขาอย่างรักใคร่และบอกลาอีกครั้งพร้อมทั้งเดินออกไปขึ้นรถที่พลขับกำลังรออยู่
ซึ่งโดยปกติแล้วหากไม่ใช่ธุระเรื่องงานราชการในคฤหาสน์ของพวกเขาก็จะไม่มีเหล่าพลทหารผู้น้อยอยู่เลย เพราะไม่จำเป็นจะต้องเอาพวกเขามาทรมานใช้งานในเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ
อีกทั้งคฤหาสน์ที่เขาอยู่นี้ก็ไม่ใช่บ้านพักข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ดำรงอยู่โดยใช้ภาษีของประชาชนเพราะไม่เข้าใจว่าจะต้องเอาเงินของประชาชนที่พวกเขาหามาด้วยความยากลำบากมาใช้กับเรื่องไร้สาระแบบนั้นทำไม เพราะเมื่อเป็นถึงนายพลยศใหญ่กันแล้วก็ไม่มีใครต้องลำบากขนาดที่ว่าไม่มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองหรือว่าหาบ้านพักใกล้สถานที่ทำงานกันไม่ได้หรอกนะ
ผลประโยชน์ที่มาพร้อมกับยศตำแหน่งทุกคนเองต่างก็ได้รับมันทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองที่ก็ได้เป็นหุ้นส่วนบริษัทใหญ่ๆ อยู่หลายแห่งเช่นกัน
" แล้วตกลงเรื่องหัวใจตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะเรา "
คุณหญิงละอองดาวหันกลับมาถามลูกสาวหลังจากที่สามีของเธอขึ้นรถออกไปแล้ว
" คุณแม่ก็รู้นี่คะ นับก็เหมือนเดิมแหละไม่มีใครเข้าตาเลยสักคนที่จะพอทำให้หวั่นไหวหน่อยก็..... “
หญิงสาวร่างสูงสะดุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“ ไม่มีเลยค่ะ "
เธอบอกแม่ของตัวเองก่อนจะหลบสายตาที่คนเป็นแม่มองมา เพราะอยู่ๆ ในหัวของเธอก็เกิดนึกถึงใบหน้าของแม่หญิงปากร้ายผู้หนึ่งขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกชอบพออะไรหล่อนในทางนั้นก็ตาม
" ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ หวังว่าคงจะทำใจได้แล้วและเลิกร้องไห้ฟูมฟายสักที "
" แม่คะ "
" หืม ว่าไงลูก "
คุณหญิงละอองดาวที่เพิ่งจะเด็ดดอกไม้แห้งออกจากต้นหันกลับมามองหน้าลูกสาวที่เรียกตนอย่างสงสัย
" คือ.... นับมีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะค่ะ "
.
.
" เป็นอย่างไรบ้างออกขุนท่าน "
คุณพระแสงเดชถามขึ้นทันทีที่ท่านขุนศรีวรเวชตรวจอาการลูกสาวที่ยังไม่ฟื้นของเขาเสร็จ
" มิต้องห่วงไปดอกขอรับท่านออกพระ กระผมตรวจดูแล้วด้วยว่าแม่หญิงนั้นนอนหลับไม่เต็มตื่นแลมีเลือดลมตามประสาหญิง จึงได้หมดสติไปเช่นนี้ขอรับ "
" เช่นนั้นรึ ได้ยินท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็เบาใจ "
คุณพระแสงเดชว่าแล้วทำสีหน้าผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
" เกิดอะไรขึ้นนะ "
นับดาวที่เพิ่งจะข้ามเวลามาแอบดูเหตุการณ์ที่มีคนมากมายอยู่ในห้องของงามจันทร์พูดขึ้นอย่างสงสัย ไหนจะแม่หญิงปากร้ายผู้นั้นที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่นั่นอีก
" ไม่สบายงั้นเหรอ แต่คุณลุงคนนั้นบอกว่าพักผ่อนน้อยหรือว่า.. จะเป็นลม! “
“ เอาไงดีนะถ้าถึงขั้นเป็นลมขนาดนี้ไปเช็กที่โรงพยาบาลจะดีกว่าไหมนะ แต่ว่าเราจะพาเธอไปยังไงกันล่ะ? เปลี่ยนเป็นแอมโมเนียกับน้ำหวานสักแก้วแล้วกัน "
ว่าแล้วนับดาวก็สอดส่องมองหาแหวนวงเดิมที่มักจะหายไปจากนิ้วของเธอทุกทีที่ข้ามเวลามาที่แห่งนี้ ก่อนจะเห็นมันอยู่ในพานเครื่องประดับอันเล็กที่เดิมจึงค่อยๆ ย่องไปหยิบมันมาใส่แล้ววาร์ปกลับมายุคปัจจุบันของตัวเอง
" ตอนแรกว่าจะเอายาอมไปฝากสักหน่อยแต่เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้เย็นๆ น่าจะดีกว่าล่ะนะ "
ร่างสูงยิ้มออกมาก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องครัว
" เอาขนมไปฝากด้วยดีไหมนะ หรือว่ายาดมสักหลอดดี… "
.
.
" หืม ไปกันหมดแล้วแฮะเหลือแต่สองคนนั้นชื่ออะไรนะถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะชื่อยิ้มกับแย้มรึเปล่า "
" เอาเถอะก็คิดเอาไว้แล้วแหละว่าต้องเป็นแบบนี้งั้นเอาวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน "
นับดาวพูดกับตัวเองเจ้าตัววางถาดขนมบราวนี่ฉ่ำๆ ที่แม่ของเธอเป็นคนทำเองกับมือและน้ำส้มคั้นสดๆ ที่เจ้าตัวเป็นคนทำขึ้นเองเอาไว้ที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่หน้าฉากกั้นห้องอันเดิมของเขา ก่อนจะวางจดหมายที่เจ้าตัวเขียนด้วยลายมือน่ารักๆ ให้อีกคนเอาไว้ด้วย
" หวังว่าเธอคงจะไม่เอาไปเททิ้งหรอกนะ รู้รึเปล่าเธอเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันคั้นน้ำส้มให้แบบนี้ ขนาดตัวเองฉันยังให้แม่บ้านทำให้เลยแต่ไม่ต้องห่วงฉันชิมมาแล้วรับรองกินได้แน่นอน "
ร่างสูงเอ่ยออกมาเบาๆ เขามองไปที่ร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ กับการเป็นลมของเจ้าตัวแล้วเดินกลับไปที่หลังฉากกั้นห้องเพื่อกลับสู่ยุคปัจจุบันของตัวเอง
" หวังว่าคงจะไม่เป็นอะไรมากหรอกนะ แม่หญิงงามจันทร์… "
" อือออ "
ไม่นานหลังจากที่นับดาวกลับไปร่างบางบนเตียงก็เริ่มขยับตัวก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
" อีแย้มแม่นายฟื้นแล้วมึง "
" จริงด้วยวะ มึงคอยดูแม่นายด้วยอียิ้มเดี๋ยวกูจักไปเรียนคุณพระนายท่านว่าแม่นายฟื้นแล้ว "
" เออๆ รีบไปรีบมาล่ะมึง "
" เออกูรู้แล้วล่ะน่า "
" จะประคารมกันอีกนานไหมล่ะมึงไม่เห็นรึว่ากูเวียนหัวจะตายแล้วน่ะอีเวร! "
" เจ้าค่ะแม่นาย!! "
บ่าวทั้งสองรีบรับคำก่อนที่นางยิ้มจะเอายาหม่องไปให้แม่นายของมันดม
" งั้นบ่าวไปเรียนคุณพระท่านก่อนหนาเจ้าคะว่าแม่นายฟื้นแล้ว "
" เออ! จักไปไหนก็ไป "
" เจ้าข้าา "
นางแย้มรีบออกไปจากห้องในทันทีหลังจากที่ได้รับสายตาคาดโทษจากเจ้านายของมัน
" แม่นายเจ้าคะ "
" กระไร "
" มิรู้ผู้ใดเอาถาดขนมแลน้ำมาวางไว้กงนี้เจ้าค่ะ "
นางยิ้มบอกเจ้านายของมันก่อนจะยกถาดขนมอันนั้นไปให้เจ้านายพร้อมกับกระดาษใบเล็กสีสวยที่ถูกเขียนด้วยลายมือน่ารักๆ
" มีจดหมายด้วยเจ้าค่ะ "
" ไหน! "
" นี่เจ้าค่ะ " นางยิ้มยื่นจดหมายใส่มือเจ้านายของตัวเอง
" นี่มัน "
ดวงตาคู่สวยสั่นไหวทันทีที่ได้เห็นเนื้อความในจดหมาย ร่างบางนิ่วหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปมก่อนจะทำหน้าตาตื่นออกมา
" อียิ้ม! มึงเอาไปเททิ้งบัดเดี๋ยวนี้ "
" เจ้าข้าา "
นางยิ้มรับคำทันทีที่เห็นหน้าตาตื่นของเจ้านายตนเองก่อนจะชะงักไปเพราะเปิดประตูออกมาเจอคุณพระแสงเดชที่กำลังเดินมาถึงหน้าประตูพอดี
" นั่นถาดกระไร? แล้วนั่นน้ำกระไรกันจึงได้มีสีสันราวกับสีย้อมผ้าเช่นนี้ "
คุณพระแสงเดชถามนางยิ้มอย่างสงสัย
" มิมีกระไรหรอกเจ้าค่ะคุณพ่อ แค่ขนมแลน้ำส้มน่ะเจ้าค่ะ "
ร่างบางที่เดินออกมาหาพ่อตัวเองด้านนอกเอ่ยขึ้น
" น้ำส้มงั้นรึ? "
" เจ้าค่ะ "
งามจันทร์พยักหน้าก่อนจะมองพ่อตัวเองที่ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาดมอย่างสงสัย
" อืม.. กลิ่นหอมดีจริงแล้วเหตุใดลูกจึงไม่กินเล่า พ่อได้ยินเจ้าสั่งให้อียิ้มมันเอาไปเททิ้งใช่ลือแล้วนี่เจ้าไปหาน้ำส้มเช่นนี้มาจากที่ใดกัน พ่อมิเคยเห็นที่ใดมาก่อนเลยหนา "
" จักว่าเป็นส้มโอส้มแก้วรือก็คงมิใช่ แล้วนี่มันน้ำส้มกระไรกัน "
" ลูกก็มิทราบได้เจ้าค่ะ หากแต่ว่าเห็นเป็นสีประหลาดจึงมิใคร่กล้ากิน "
" กลัวจักเป็นพิษงั้นรึ "
" เจ้าค่ะ "
" อืม "
คุณพระแสงเดชพยักหน้าให้ลูกสาวอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่วางแก้วน้ำส้มออกจากมือด้วยว่าพอใจในกลิ่นหอมของมันที่ทำให้สดชื่นดีจริง
" แล้วนี่.. ขนมกระไรกันไยช่างแปลกตานัก เจ้าไปซื้อมาจากตลาดบ้านขนมรึพ่อจึงมิเคยเห็นมาก่อน รึจักเป็นขนมใหม่เล่า "
" ลูกเองก็มิทราบได้เช่นกันเจ้าค่ะ "
" มิทราบได้รึ? "
คุณพระมองหน้าลูกสาวอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปหานางบ่าวที่ถือถาดขนมอยู่แทน
" อียิ้ม!!! "
" บะๆๆ บ่าวก็มิทราบได้เช่นกันเจ้าค่ะ บะ บ่าวเพียงแต่พบมันวางอยู่ในหอนอนของแม่นายพร้อมกับกระดาษใบหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะคุณพระท่าน "
" อียิ้ม!!! "
ร่างบางตวาดบ่าวคนสนิทของตัวเองทันทีที่มันเผลอหลุดปากเรื่องจดหมายออกมา
" กระดาษกระไรกันรึเจ้า ผู้ใดกันที่เอาของพวกนี้มาให้บอกพ่อได้รึไม่เล่าแม่งามจันทร์ "
คุณพระถามลูกสาวด้วยสายตาและน้ำเสียงดุๆ จนเจ้าตัวไม่อาจปฏิเสธได้
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะส่งกระดาษสีสวยในมือของตัวเองให้ผู้เป็นพ่อไป แล้วตามท่านไปนั่งที่หอนั่งหน้าหอนอนของตัวเอง
" หืมมม นี่มันกระไรกันเล่าแม่งามจันทร์นางผู้นี้เป็นใครกันผู้ใดกันที่ส่งน้ำส้มและขนมบอ บรา บออะไรวะนี่มาให้เจ้ากัน แลยังจดหมายเล็กนี่ที่ลงชื่อผู้เขียนว่านับดาวอีกดูจากชื่อแล้วก็คงจักมิใช่บุรุษเป็นแน่ ใช่หรือไม่เล่า "
คุณพระแสงเดชมองหน้าลูกสาว
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางพยักหน้าให้พ่อของตนเองเบาๆ อย่างจำใจ เพราะดูเหมือนว่าเธอคงจักต้องเล่าเรื่องของนางผีตนนั้นที่ไม่อยากพูดถึงให้ผู้เป็นพ่อฟังเสียแล้ว
" เรื่องมันเป็นมาเช่นไรเล่า เหตุใดในจดหมายสีสวยนี่จึงได้มีแต่ความห่วงใยอยู่เสียเต็มในตัวอักษรนี่เชียวแม่ "
" เรื่อง... เรื่องมันเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ "
ร่างบางว่าจากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องเมื่อคืนของตัวเองให้ผู้เป็นพ่อฟัง
" ออเจ้าหมายจะบอกพ่อว่านางเป็นผีงั้นรึ "
" ผีรึ!!! " นางยิ้มและนางแย้มเอ่ยซ้ำเสียงดังอย่างตกใจ
" ลูกคิดเช่นนั้นเจ้าค่ะไม่เช่นนั้นนางจักหายตัวไปโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นได้เช่นไรกัน แล้วยังมิได้เข้าออกทางประตูหรือหน้าต่างบานใดเลยเจ้าค่ะ "
" อืม ก็จริงของออเจ้าว่าแต่ออเจ้าบอกพ่อว่าเนื้อตัวนางก็อุ่นเหมือนอย่างเราๆ มิใช่รือ "
" เจ้าค่ะ หากแต่.. ทั้งวาจาคำพูดแลการแต่งตัว หาได้เหมือนชาวอโยธยาเราไม่ "
" เช่นนั้นเรื่องของนางก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ “ คุณพระเอ่ย
“ แล้วเหตุใดนางจึงได้เขียนจดหมายที่มีแต่ความห่วงใยแม้จะมีถ้อยคำจิกกัดเจ้าอยู่บ้างก็ตามเช่นนี้มาให้เจ้ากันเล่า ในเมื่อไม่เคยพบปะกันมาก่อน "
" ลูกก็มิทราบได้เจ้าค่ะ "
" อืม เช่นนั้นก็มาลองพิสูจน์กันดูว่านางเป็นห่วงเจ้าจริงหรือคิดร้ายต่อเจ้ากันแน่ "
" อย่างไรรึเจ้าคะ "
ร่างบางถามพ่อของตัวเองและมองตามสายตาของท่านไป ที่กำลังมองถาดขนมแลน้ำส้มอยู่
" ก็ลองกินดูอย่างไรล่ะ "
" อียิ้มอีแย้ม! "
" จะ เจ้าคะ "
นางบ่าวทั้งสองรับคำตัวสั่นด้วยว่าพอจะรู้ชะตาของตัวเอง
" พวกเอ็งลองกินดู หากแม้นว่ามิตายข้าจักตกรางวัลให้คนละบาทเสียเป็นไร "
" แล้วหากตายเล่าเจ้าคะ "
นางยิ้มรีบถามกลับไปทันที
" ตายก็เอาไปฝังสิวะ! หรือพวกมึงคิดขัดคำสั่งกูรึ อีทาส! "
ชายวัยกลางคนกระทืบเท้าเสียงดังด้วยความหงุดหงิดที่ถูกพวกบ่าวยอกย้อน
" หะ หามิได้เจ้าค่ะ "
" หามิได้ก็รีบกินเข้าไปเสียทีสิวะ "
" เจ้าข้า!!! "
นางยิ้มและนางแย้มรับคำทั้งน้ำตาก่อนจะค่อยๆ คลานเข้าหาถาดขนมแล้วนางยิ้มก็หยิบบราวนี่ก้อนหนึ่งขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเอาเข้าปากไปเล็กน้อย
ส่วนนางแย้มเองก็จิบน้ำส้มคั้นสดๆไปหนึ่งจิบเช่นกันก่อนที่ทั้งสองจะต้องตาโตออกมาด้วยความประหลาดใจ แล้วพากันเปลี่ยนกันชิมของอีกฝ่ายจากนั้นก็ตะกละตะกลามกินกันเสียจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
" นี่ก็ผ่านมานานกว่าห้าบาทแล้วแต่อีสองตัวนี้หาเป็นไรไม่ เช่นนั้นก็รู้แล้วว่าขนมแลน้ำส้มนี่หาได้มีพิษต่อเจ้าไม่แม่งามจันทร์ "
" เจ้าค่ะ " ร่างบางพยักหน้าเบาๆ อย่างฝืนๆ
" แล้วเป็นเช่นไรบ้างอียิ้มอีแย้ม รสชาติเป็นเช่นไรวะ "
คุณพระแสงเดชถามนางบ่าวทั้งสองด้วยความอยากรู้
" หอมมมม สดชื่นนน หวานนน เปรี้ยวกลมกล่อมเหลือเกินเจ้าค่ะคุณพระนายท่าน เป็นบุญของบ่าวเหลือเกินเจ้าค่ะที่ได้กินน้ำแก้วนั้น "
นางแย้มว่าด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขเหลือทน
" บ่าวด้วยเจ้าค่ะคุณพระนายขนมหน้าตาประหลาดนั่นมีรสหวานฉ่ำและขมนิดๆ ที่ปลายลิ้น แต่เพลากินแล้วกับหยุดปากเสียมิได้เลยเจ้าค่ะทั่วทั้งพระนครนี้บ่าวไม่เคยเห็นขนมที่ทั้งนุ่มลิ้นหวานหอมและฉ่ำขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะแม่นายเจ้าขา ราวกับเป็นขนมที่มาจากสวรรค์ชั้นฟ้าก็เสียไม่ปานเจ้าค่ะ "
นางยิ้มว่าด้วยใบหน้าราวกับเพ้อฝันและอยากจะลองลิ้มรสมันอีกสักครา
" ขนาดนั้นเลยรึพวกเอ็ง "
" เจ้าค่ะคุณพระนาย "
นางแย้มยืนยันในคำพูดของตัวเอง
" บ่าวว่าหากแม่นายบอกว่านางผู้นั้นมิใช่คนหากแต่เป็นผีสาง บ่าวกะ ก็ว่านางคงจักเป็นนางฟ้าหรือนางไม้จำแลงเล่ากระมังเจ้าคะ จึงได้นำของเลิศรสเช่นนี้มาให้แม่นายของบ่าวได้ "
นางยิ้มพูดขึ้นก่อนจะเข้าไปบีบนวดเท้าให้ร่างบางที่เงยหน้าหันไปมองหน้าพ่อของตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น
" หากนางเป็นนางฟ้าหรือนางไม้จริงพ่อนี้ก็คงจักเบาใจหนา ด้วยว่ามีคนเมตตาแลเป็นห่วงลูกสาวพ่อเพิ่มอีกสักคนแม่เจ้าเองก็คงจักเบาใจเช่นกัน "
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางรับคำพ่อของตัวเองเสียไม่ได้แม้ว่าเธอจะคิดต่างออกไปจากการกระทำที่นางผู้นั้นทำกับเธอเมื่อคืน
" หากคุณพ่อได้มาเจอะเจอเช่นลูกคุณพ่อก็คงจักต้องเปลี่ยนความคิดเป็นแน่ เพราะลูกว่าอีไพร่ผู้นั้นหากมันไม่ใช่คนก็คงจักเป็นผีห่าตายโหงเสียมากกว่าเจ้าค่ะ "
ร่างบางคิดในใจแล้วมองพ่อของตัวเองที่กำลังพูดกับบ่าวคนสนิททั้งสองของเธอว่าหากคราหน้านางผู้นั้นนำขนมมาให้อีกแล้วเธอไม่กินให้นำไปให้ท่านลองชิมบ้าง
" นางผู้นั้นเป็นใครกันแน่นะ "
ร่างบางได้แต่ถามตัวเองในใจ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 25
Comments