ฉางเกิงเขย่งปลายเท้า พยายามกวาดตามองหาคนเหนือฝูงชนอย่าง ยากลำบาก พร้อมตะโกนเรียก
“สือลิ่ว!”
ไม่มีคนตอบรับ ผู้คนที่วิ่งไล่ตามอินทรียักษ์เริ่มกรูกันเข้ามา บ้างโห่ร้อง ด้วยความยินดี บ้างร้องตะโกน “มาแล้ว” บ้างก็บ่นด้วยความโมโหว่า “อย่า เบียดสิ”
ฉางเกิงโดนคนเบียดชนหลายหนจนพลอยรู้สึกหงุดหงิด จึงตะโกนเสียงขุ่นคลักราวกับจะพ่นไฟเต็มที
“พ่อบุญธรรม!”
กระแสคลื่นคนวิ่งกรูกันมาตามตลิ่งธารใต้ดิน ฉางเกิงชะเง้อมองหาคน พยายามฝืนตัวยืนต้านกระแสคนอย่างยากลำบาก ไม่นานนักก็โดนเบียดชน กระแทกไหล่จนเหงื่อแตกเต็มหน้า ความรู้สึกตกตะลึงตอนเห็นอินทรียักษ์ เมื่อครู่นี้เหือดหายไปหมดสิ้น มีพ่อบุญธรรมเช่นนี้ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองต้องอายุสั้นลงไปกี่ปี
ฉางเกิงขบคิดด้วยความเดือดดาลใจ “เสิ่นสือลิ่วนี่มันกินอิ่มไม่มีอะไร ทำจริงแท้ อากาศร้อนขนาดนี้ จะทำอะไรก็ไม่ทำ กลับดึงดันจะวิ่งออกมาดูคนเสียอย่างนั้น!
ตอนนั้นเอง ก็มีคนร้องตะโกนเสียงแหลมดังมาจากจุดที่อยู่ห่างออกไป ไม่ไกลนัก
"อย่าเบียด มีคนร่วงลงไปแล้ว!"
ฉางเกิงหันขวับไปมองต้นตอของเสียงอย่างควบคุมตัวไม่อยู่ และเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ตรงริมตลิ่ง
“โอ้แม่เจ้า ร่วงลงไปได้อย่างไรล่ะนั่น!"
“ไปเรียกทหารที่เข้าเวรตรงโน้นสิ!”
“ถอยหน่อย! ถอยหน่อย! ออกไปไม่ได้ นี่มัน....”
ฉางเกิงคิดจะหลบทางให้คนที่กำลังพยายามเบียดออกมา พลันได้ยิน
เสียงคนพูดว่า
“ท่านสือลิ่ว ระวังหน่อย!”
ฉางเกิงตกตะลึง สงสัยว่าเส้นประสาทของตนเองคงจะขมวดตึงเกินไป แล้วรีบสาวเท้าไปข้างหน้า ยื่นมือไปคว้าตัวคนที่เพิ่งเบียดฝ่าออกมาจาก ริมตลิ่ง
“ใครร่วงลงไปหรือ คงไม่ใช่เสิ่นสือลิ่วกระมัง”
ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นได้ยินคำถามของฉางเกิงชัดเจนหรือไม่ พยักหน้ารัวตอบ
“ดูเหมือนจะใช่...ปล่อยข้าออกไปก่อนเถอะ”
ฉางเกิงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง “วิ่ง” ดังลั่นในหัว ระหว่างโดนไอร้อนจาก อินทรียักษ์ลวก แผ่นหลังของเขากลับมีเหงื่อเย็นไหลท่วมอย่างผิดเวลา ฉางเกิงสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นรีบเบียดสวนฝูงชนตรงเข้าไปที่ริมตลิ่งจนตัวลอย เท้าแทบไม่ติดพื้น หลังจากซวนเซหลายก้าวค่อยยึดเกาะรั้วยืนได้อย่างมั่นคง พอเขาชะโงกหน้ามองลงไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังดิ้นรนตะเกียกตะกายอยู่ใน น้ำอย่างยากลำบาก
ธารใต้ดินอยู่ห่างจากพื้นตลิ่งประมาณหกเจ็ดจั้ง ลึกจนมองลงไปไม่เห็นก้น และแผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา ริ้วคลื่นสีขาวตัดผ่านเป็นทาง คนที่อยู่ในน้ำกำลังลอยเท้งเต้ง กระทั่งความเคลื่อนไหวสักนิดยังไม่มี และดูไม่ออกว่า เป็นใครกันแน่
ฉางเกิงถอดเสื้อนอกของตัวเองออก
“หลบทางหน่อย รบกวนหลบทางที!"
ด้านข้างมีคนโพล่งว่า
“กระโดดลงไปเลยไม่ได้ รีบส่งเชือกให้เด็กหนุ่ม
คนนั้นก่อนเร็ว!”
ไม่รู้ว่าใครมะรุมมะตุ้มยัดเชือกเส้นหนึ่งใส่มือ ฉางเกิงรับไว้ทันที เงยหน้ามองอินทรียักษ์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแวบหนึ่ง ก่อนกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล
“จับให้แน่น! เร็วเข้า ๆ อินทรียักษ์มาแล้ว คนอาจโดนชนกระเด็นได้!”
อินทรียักษ์ที่กำลังแล่นตรงเข้ามากระแทกธารน้ำใต้ดินเกิดเป็นคลื่นสูง เกือบเท่าตัวคน ฉางเกิงเพิ่งจะลงน้ำก็โดนคลื่นซัดเข้ากลางอกจนเผลอสูด ลมหายใจเข้า ทำให้สำลักน้ำไปอีกหนึ่ง จนเกือบถูกกระแสน้ำพัดม้วนไปแล้ว จึงรีบยึดจับเชือกป่านที่โรยลงมาจากตลิ่งไว้แน่น และปาดน้ำออกจากใบหน้า
เสียงน้ำกับอินทรียักษ์ที่ลดความเร็วลงยังคงดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในหู ภาพตรงหน้าของฉางเกิงโดนบดบังด้วยคลื่นขาว เขารู้สึกเหมือนจะได้ยินคน บนตลิ่งร้องตะโกนว่า
“อย่าปล่อยเชือก! อินทรียักษ์มาแล้ว รีบดึงตัวเด็กหนุ่ม คนนั้นขึ้นมาเร็ว จะไม่ทันแล้ว!”
ฉางเกิง
“รอประเดี๋ยว!”
ทว่าในน้ำเสียงดังสับสนวุ่นวายจนไม่ได้ยินกระทั่งเสียงร้องตะโกนของตนเอง เขาจึงทำได้เพียงพยายามโบกมือไปทางตลิ่งอย่างสุดชีวิต เพื่อบอก ให้พวกเขารู้ว่าอย่าเพิ่งดึงเชือก จากนั้นออกแรงว่ายไปตรงจุดที่คลื่นแรงสุด ระหว่างที่ชุลมุนก็มีคนคว้ามือที่พยายามควานหาสะเปะสะปะของเขา ฉางเกิง ไม่ทันได้คิดอะไรมาก รีบกำข้อมืออีกฝ่ายแน่น แล้วดึงตัวคนเข้ามากอดไว้ แต่เขายังไม่ทันมองให้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อินทรียักษ์ก็ส่งเสียงดัง “ครืน ๆ” แล่นตรงเข้ามาแล้ว
คนบนตลิ่งไม่กล้าชักช้า รีบออกแรงดึงเต็มกำลัง เชือกหยาบขรุขระรัด เอวฉางเกิงแน่น ฉางเกิงรู้สึกตัวหนักอึ้ง ชายฉกรรจ์หลายคนบนตลิ่งกำลังร่วม แรงร่วมใจกันลากตัวเขาขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พอโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าน้ำหนักไม่ถูกต้อง ฉางเกิงรีบกะพริบตาไล่หยดน้ำที่เกาะค้างอยู่บนแพขนตา และพบว่าคนที่เขาลากตัวมาไม่ใช่เสิ่นสือลิ่ว แต่เป็นเด็กอายุ สิบเอ็ดสิบสองปี...นั่นก็คือดรุณีปลอมนามเฉาเหนียงจื่อนั่นเอง
เวลานี้อินทรียักษ์ส่งเสียงสัญญาณดังแหลมดุจดาบยาวแทงสวบเข้ามา ในสองหูของเขา ฉางเกิงได้ยินเสียงลั่นวิ่งก้องหู แต่ไม่มีเวลาให้ขบคิดอะไรอีก แล้ว เขาส่งเสียงร้องดัง พร้อมดันตัวเฉาเหนียงจื่อที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรขึ้นไปก่อน
คนที่อยู่บนตลิ่งส่งเสียงดังโหวกเหวกพลางช่วยกันดึงตัวเด็กหนุ่มทั้งสองขึ้นไปทีละคนทว่าช้าไปอยู่ดี เพราะขาทั้งสองข้างของฉางเกิงยังลอยอยู่ นอกตลิ่ง อินทรียักษ์ก็แล่นผ่านโดยไม่มีการหยุดชะงัก ตอนปีกเพลิงข้างหนึ่ง ใกล้จะสัมผัสถูกน่องเปลือยเปล่าของเขา ปีกเพลิงยังไม่ทันถึงตัวดี ลมร้อนผ่าว ก็พวยพุ่งเข้ามาลวกเนื้อเขาจนรู้สึกเจ็บแล้ว
“อย่าแตะปีกเพลิง!"
"ระวัง!"
จู่ ๆ มือขาวซีดคู่หนึ่งก็ยื่นออกมา ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ก็คว้าจับแขนสองข้างของฉางเกิง แล้วดึงกระชากเขาลอยขึ้นไปทั้งตัว ผู้คนที่มุงอยู่โดย รอบต่างส่งเสียงร้องอุทาน ก้มตัวลงพร้อมกัน ฉางเกิงรู้สึกว่าตัวเองเกือบลอย ปลิวออกไปแล้ว จากนั้นก็หล่นลงในอ้อมกอดของคนผู้หนึ่ง เขาสูดลมหายใจ เข้าลึกอย่างห้ามไม่อยู่ กลิ่นสมุนไพรโชยเข้ามาในโพรงจมูกทันที ฉางเกิงเงยหน้าขึ้นมอง ปลายจมูกเกือบถูกับปลายคางคมสันของเสิ่นสือลิ่ว
สีหน้าของเสิ่นสือลิ่วเรียบสนิทดุจผิวน้ำนิ่ง
“ข้าแค่ละสายตาแวบเดียวเจ้าก็ก่อเรื่องเสียแล้ว!"
ฉางเกิงโดนแย่งคำพูด จึงพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เสิ่นสือลิ่วบ่นด้วยความโมโห
“บนตลิ่งมีทหารเยอะขนาดนี้ จำเป็นต้องให้เด็กอย่างเจ้าออกหน้าช่วยคนด้วยหรือ"
ฉางเกิง
“....”
หัวใจที่เหมือนลอยกระเด้งขึ้นมาจุกแน่นอยู่ตรงลำคอพลันเหวี่ยงตัว กลับคืนที่เดิมเลือดลมที่คั่งค้างอยู่ในอกทะลักกระจายออกไปตามแขนขาที่เหน็บชา เวลานี้เขาเพิ่งจะพ่นลมหายใจออกมาได้เป็นครั้งแรก หลังจากกลั้น หายใจมานานจนตับไตไส้พุงปั่นป่วนไปหมด สองขาอ่อนยวบจนเกือบยืนไม่อยู่ เฉาเหนียงจื่อถูกคนอุ้มไปด้านข้าง สำลักไอก่อนจะค่อย ๆ ได้สติกลับมา
เสิ่นสือลิ่วเห็นเด็กคนนั้นไม่เป็นไรมากก็หิ้วตัวฉางเกิงมุดออกจากฝูงคน หัวคิ้วของเขาขมวดแน่น ลากฉางเกิงเดินกะโผลกกะเผลกพลางพร่ำบ่นไม่หยุดปาก
“อุณหภูมิของปีกเพลิงยังไม่ลดลง ถ้าเกิดสัมผัสถูกมันเข้า อาจโดนกรีดขาขาด ครึ่งท่อนได้ อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้าอยากจะเป็นคนพิการอย่างนั้นหรือเจ้าลูกสุนัขไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา...”
ฉางเกิงตัวสั่นเทา พอได้สติกลับมา ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ได้ยิน เจ้าคนกึ่งหูหนวกแซ่เสิ่นกระทำตนประหนึ่งโจรชิงฟ้องร้องก่อน โพล่งคำพูดที่ อัดแน่นด้วยโทสะออกมาเป็นชุด เขาจึงยืดคอตะคอกกลับไป
“ข้าคิดว่าคนที่ร่วงลงไปคือท่าน!"
เสิ่นสือลิ่วเลิกคิ้วเรียวคมเข้มขึ้นข้างหนึ่ง
“อย่ามาแก้ตัว ข้าเป็นผู้ใหญ่ ตัวโตเช่นนี้ มีหรือจะร่วงตกแม่น้ำโดยไร้เหตุผล”
ฉางเกิง
“ ...”
จิตใจที่ว้าวุ่นด้วยความเป็นห่วงของเขากลับถูกมองไปในแง่ลบเสียอย่างนั้น ไอร้อนแล่นวาบจากลำคอขึ้นมาถึงใบหูจนแดงเถือกไปหมด บอกไม่ถูกว่า กำลังโกรธหรืออายกันแน่ เปลวเพลิงปีศาจคุกรุ่นเต็มท้อง ต่อให้น้ำท่วมทะลักใส่ยังทำอะไรไม่ได้
“เอาเถอะ อย่ามาโต้เถียงกันตรงนี้เลย”
เสิ่นสือลิ่วยื่นมือไปลูบเส้นผมยาวที่เปียกชุ่มของฉางเกิง จากนั้นถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนมาห่อตัว เด็กหนุ่มไว้
“ตรงนี้วุ่นวายเกินไป วันนี้ข้าจะไม่คิดบัญชีกับเจ้า รีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ระวังจะจับไข้”
เขาช่างใจกว้างน่าดู!
ฉางเกิงสะบัดมือเสิ่นสือลิ่วทิ้งด้วยความโมโห ทว่าออกแรงมากไป ฝ่ามือจึงสัมผัสกับวัตถุแข็ง ๆ สักอย่างตรงแขนเสื้อ กระทบแรงจนปวดจี๊ดไป ถึงกระดูก
เสิ่นสือลิ่วเอ่ย
“อ้อ นั่นเป็นตลับขาดที่ข้าเพิ่งซื้อมาเมื่อครู่นี้ อย่าลืมเอากลับไปให้มารดาเจ้าด้วยล่ะ....เอ๊ะ ฉางเกิง เจ้าจะไปไหน”
ฉางเกิงไม่รอให้เขากล่าวจบ ก็ทิ้งเขาแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ
อันที่จริงแล้วฉางเกิงทราบดีว่าตนเองกำลังทำตัวไร้เหตุผล เขาแค่โดนชี้นำให้หลงคิดไปเองจากการฟังความข้างเดียว ไม่ทันได้มองให้ดีก่อนว่าคนที่ร่วงลงไปคือใคร รีบร้อนกระโดดลงน้ำไปด้วยความตื่นตระหนก พ่อบุญธรรมจะตำหนิก็สมควรแล้ว แต่พอคิดว่าตอนตนเองกำลังร้อนรนดุจไฟสุมทรวง เจ้าคนซีกอนั่นกลับมัวแต่เลือกสีชาดอยู่ด้านข้างก็พานนึกโมโหจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สะกดเพลิงโทสะนี้ลงไปไม่ได้
เสิ่นสือลิ่วโดนฉางเกิงสลัดทิ้งโดยไม่รู้สาเหตุ จึงลูบจมูกอย่างเก้อ ๆ เพราะไม่เข้าใจ จึงคิดไปว่าเด็กหนุ่มก็มักจะอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้แหละ ในใจคิด ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้คงเก็บปลอกแขนเหล็กไว้อีกสักวันค่อยให้เขา คราวนี้ฉางเกิงโกรธจริงจังแล้ว จะปะเหลาะอย่างไรดีล่ะ
เขาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากริมตลิ่งธารใต้ดิน อินทรียักษ์ แล่นผ่านข้างกายเขาไป ไฟตรงท้ายเรือเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ธารใต้ดินด้านหลัง ค่อย ๆ ประกบกลับคืนตามเดิม เสิ่นสือลิ่วครุ่นคิดด้วยความกลัดกลุ้มเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันไปมองไฟท้ายเรือ แต่แววตากลับไม่ได้เลื่อนลอยเหมือนยาม มองไปไกล ๆ ในเวลาปกติ หัวคิ้วค่อย ๆ ขมวดทีละนิด จากนั้นเสินสือลิ่วก็ขยับตัว ดจมัจฉาแหวกว่ายกลืนหายไปในฝูงชน เขาเดินอย่างไร้สุ่มเสียง ร่างกาย เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ดูไม่ออกเลยว่าเป็นถึงคนตาบอดตาบอด
ฉางเกิงมุ่งหน้าตรงกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ลมร้อนพัดมากระทบ ร่างที่เย็นเฉียบจากธารใต้ดิน ทำให้ใจเขาเริ่มสงบเยือกเย็นลง เพลิงโทสะที่คุกรุ่นอยู่ตรงหว่างคิ้วค่อย ๆ สลายไป ดวงตาเรียวยาวของเขาคู่นั้นคล้าย ซิ่วเหนียงมาก ใบหน้าที่เพิ่งเติบโตเริ่มปรากฏเค้าโครงคมชัด ดูไม่ค่อยคล้าย ขาวจงหยวน...แต่ก็ไม่เหมือนคนนอกเผ่า สรุปว่าหล่อเหลาคมคายเป็น เอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
เท้าหน้าฉางเกิงเพิ่งก้าวผ่านเข้าประตูบ้าน ก็เห็นแม่ครัวกำลังยืนเขย่งเท้าชะเง้อคอมองออกมาด้านนอก พอคนครัวเห็นสภาพอันน่าอเนจอนาถของเขาก็ตกตะลึง
“ตายแล้ว เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ได้เล่า”
“ไม่มีอะไร”
ฉางเกิงเอ่ยอย่างหมดแรง
“มีคนร่วงลงไปในธารใต้ดิน จึงช่วยฉุดดึงอีกแรง เลยเปียกซักไปทั้งตัว”
แม่ครัวสูงวัยวิ่งก้าวสั้น ๆ ตามหลังฉางเกิง พลางเอ่ยพล่ามยาว
“ฮูหยิน บอกว่ายังไม่ต้องจัดสำรับเจ้าค่ะ ข้าว่านางคงจะรอท่านนายกองกลับมาก่อน กระมัง...จริงสิ ฮูหยินยังกล่าวอีกว่าหากคุณชายกลับมาแล้วให้ไปหานางที่เรือน เห็นว่ามีเรื่องส่วนตัวระหว่างมารดาบุตรอยากสนทนากับท่าน”
ฉางเกิงชะงักฝีเท้าวูบหนึ่ง ไหล่เกร็งแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะผงกศีรษะตอบรับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วเดินตรงกลับเรือนตัวเองไปเปลี่ยนชุดแห้งสะอาดตัวใหม่ เขาพับเสื้อคลุมตัวนอกของเสิ่นสือลิ่วพลางขบคิดด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นหยิบตลับชาดในแขนเสื้อเดินตรงไปที่เรือนของซิ่วเหนียง
แม่ครัวสูงวัยประหลาดใจกับความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่าง มารดาบุตรคู่นี้เป็นอันมาก แต่ไม่กล้าซักถามอย่างเปิดเผย จึงทำได้เพียงแอบชะเง้อคอมองตาม ฉางเกิงหยุดยืนหน้าประตูห้องซิ่วเหนียง จัดเสื้อผ้าตัวเอง ให้เรียบร้อยไร้ที่ติ ดูท่าทางจริงจังราวกับกำลังจะพบแขก หลังจากจัดแจง ตัวเองเสร็จแล้ว ค่อยเคาะประตูห้องซิ่วเหนียง ก้มหน้าหลุบตาลงเอ่ย
“มารดา”
น้ำเสียงเย็นชาของสตรีนางหนึ่งดังลอดออกมาจากในห้อง
“เข้ามาสิ”
ฉางเกิงยื่นมือออกไปผลักประตู พอก้าวเข้าห้องแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง แม่ครัวที่กำลังแอบดูอยู่นั้นก็ประสานสายตากับเขาพอดีจึงสะดุ้งโหยง รีบลนลานเบนสายตาหลบไปทางอื่น พอชะเง้อคอมองอีกรอบ บานประตูก็งับปิดไปแล้ว จึงมองอะไรไม่เห็นอีก
ภายในห้องซิ่วเหนียงค่อนข้างมืดสลัว เพราะนางเอาผ้าม่านมาบังหน้าต่างฝั่งที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ราวกับมิอาจพบเจอแสงตะวัน เอาแต่นั่งอยู่ในมุมมืด หันหน้าเข้าหาคันฉ่อง
ฉางเกิงมองแผ่นหลังของนาง ไม่รู้ว่านางกินยาอะไรผิดสำแดง ถึงได้สวมชุดกระโปรงหรูฉวินสีเหลืองห่าน อีกทั้งหวีเกล้าผมทรงสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ทว่ากาลเวลายังปรานีต่อนางไม่น้อย กอปรกับแสงในห้องค่อนข้างมืดสลัว จึงช่วยซ่อนเร้นริ้วรอยเล็ก ๆ ตรงหางตา ทำให้นางแลดูคล้ายดรุณีน้อยวัยสิบห้าสิบหกปีจริง ๆ
ขณะฉางเกิงกำลังขยับปากทำท่าจะเอ่ยเรียกนาง ซิ่วเหนียงกลับซิง กล่าวขึ้นก่อน
“ไม่มีคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่ามารดา....ตลับชาดซื้อมาด้วยหรือไม่"
เมื่อฉางเกิงได้ยินดังนั้นก็กลืนคำเรียก “มารดา” ที่กำลังจะเอ่ยเป็นครั้งที่สองลงคอไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกย่อยมันจนแหลกละเอียด จากนั้นเดินตรงเข้าไปด้านใน วางตลับชาดที่ถูกเขากำไว้ ในอุ้งมือจนร้อนผ่าวลงบนโต๊ะประทินโฉมของซิ่วเหนียงอย่างเบามือ
“ตลับนี้สีสวย ดูสดใสดี”
ในที่สุดชีวเหนียงก็คลี่ยิ้มนิด ๆ คล้ายตระหนี่รอยยิ้ม นางใช้ปลายนิ้วแตะชาดเล็กน้อยมาแต้มบนกลีบปากสีซีด ก่อนมองสำรวจตนเองในคันฉ่องอย่างกระตือรือร้น พร้อมเอ่ยถาม
“งามหรือไม่”
ฉางเกิงยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเฉยชา ไม่ได้โต้ตอบใด ๆ ในใจ ลอบบ่น ไม่รู้ว่าว่างนักหรืออย่างไร ซิ่วเหนียงเรียกเขามาเพราะเหตุใดกันแน่ ขณะเขากำลังครุ่นคิดเช่นนั้น จู่ ๆ เปลือกตาข้างหนึ่งก็เต้นกระตุกสองทีโดยไม่มีสาเหตุ หัวใจฉางเกิงพลันหดเกร็ง ลอบเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีขึ้นมา
ตอนนั้นเอง ซิ่วเหนียงพลันเอ่ยขึ้น
“ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกไม่ต้องเรียกข้าว่ามารดาอีก วาสนาระหว่างเราสองแม่ลูกจบสิ้นลงในวันนี้แล้ว”
นางเอ่ยพลางเชิดใบหน้าที่แต่งแต้มจนแลดูงดงามเปล่งปลั่งขึ้น แล้วยื่นมือเรียวยาวออกไป ทำท่าเหมือนจะช่วยจัดคอเสื้อให้ฉางเกิง ทว่าฉางเกิงกลับ ถอยหลบ
“หมายความว่าอย่างไร"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments