บทที่ 4 อินทรียักษ์

บ้านสกุลเสิ่นมิได้เคร่งครัดมารยาท “ยามรับประทานไม่พูด ยามเข้านอนไม่คุย” ดังนั้นในระหว่างรับประทานอาหาร อาจารย์เสิ่นจึงอธิบายเกี่ยวกับ “คัมภีร์มหาบุรุษ” ให้ฉางเกิงฟังไปด้วย ทว่าสอนไปสอนมาก็เริ่มหลงลืม ประเด็นสำคัญกลับแทรกเรื่อง ช่วงฤดูหนาวต้องบำรุงรักษาชุดเกราะอย่างไร เข้ามาแทน เดิมทีเสิ่นอี้เป็นคนรอบรู้หลากหลายด้าน คิดอะไรได้ก็พูดเรื่องนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้เป็นอะไร จู่ ๆ ก็เล่าวิธีรักษาโรคระบาดม้าให้ฉางเกิงฟังอย่าง กระตือรือร้น กระทั่งคนหูตึงอย่างสือลิ่วยังทนฟังไม่ไหว ต้องบังคับให้เขา

หุบปากเสีย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ อาจารย์เสิ่นที่ยังพล่ามได้ไม่หนำใจ เอ่ยกับฉางเกิงในระหว่างเก็บจานชาม

“วันนี้ข้าต้องจัดการชุดเกราะพวกนี้ให้เสร็จ พวกเขาไม่รู้จักถนอมรักษากันบ้างเลย ข้อต่อบางส่วนขึ้นสนิมหมดแล้ว ตอนบ่ายข้าคงต้องออกจากบ้านไปเก็บสมุนไพร พวกเก๋อพั่งเสี่ยวขอลาหยุดไปเที่ยวเล่นกัน แล้วตัวเจ้าเล่าคิดจะทำอะไร”

ฉางเกิง

“เช่นนั้นข้าจะไปที่เนินขุนพลเพื่อฝึก...”

คำว่า “กระบี่” ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก พอหันกลับไป เสิ่นสือลิ่วก็คว้ากระบี่เหล็กของเขาไปแขวนไว้บนผนังแล้ว พร้อมประกาศว่า

“เจ้าลูกชายไป อินทรียักษ์กำลังจะกลับเข้าเมืองแล้ว เราไปชมดูความครึกครื้นกันเถอะ”

ฉางเกิงเอ่ยอย่างหมดแรง

“พ่อบุญธรรม เมื่อครู่นี้ข้าบอกอาจารย์เสิ่นว่า...”

เสินสือลิ่ว

“อะไรนะ? เจ้าพูดเสียงดังหน่อย”

นั่นปะไร เอาอีกแล้ว

อินทรียักษ์มาแล้วก็ไปเหมือนกันทุกปี ฉางเกิงคิดไม่ออกว่ามันมีอะไร แปลกใหม่น่าไปดูตรงไหน แต่เขายังไม่ทันจะได้โต้แย้ง สือลิ่วก็ฉุดเขาโดยไม่เสียเวลาพูดให้มากความ กึ่งดึงกึ่งลากตัวเขาเดินไปข้างหน้า ช่วงปลายฤดูร้อนเช่นนี้ยังคงมีไอร้อนอบอ้าว ดังนั้นเสื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างล้วนเลือกใช้ผ้าเนื้อบางเบา สือลิ่วแนบชิดกับแผ่นหลังของฉางเกิงเกือบทั้งตัว กลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ จากอ้อมกอดโอบล้อมห่อหุ้มรอบตัวฉางเกิง เหมือนกับในฝันของเขาไม่มีผิด

ฉางเกิงพลันรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก ลอบก้มหน้าลงหลบ พ่อบุญธรรมน้อยของเขาโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เขาทั้งอุดจมูก เบือนหน้าหนี และแสร้งทำเป็นจาม สือลิ่วกลับยิ้มพลางเอ่ยยั่วแหย่

“มีคนคิดถึงเจ้าสินะ ใช่ดรุณีน้อยหน้ากลมบ้านเหล่าหวังหรือไม่”

ในที่สุดฉางเกิงก็ทนไม่ไหว ชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย แล้วเอ่ยเสียงแข็ง

“พ่อบุญธรรมพูดจาหยอกล้อผู้เยาว์เช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ”

เสิ่นสือลิ่วไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ยังคงเอ่ยต่อพร้อมทำหน้ายิ้มทะเล้น

“ไม่เหมาะสมหรือ อ้อ ข้าไม่เคยเป็นบิดาใครมาก่อน จึงไม่รู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน เอาไว้คราวหน้าจะระวังแน่นอน”

ใครที่คิดเจรจากับเสิ่นสือลิ่วอย่างเอาจริงเอาจังก็มีแต่จะโดนเขายั่วโมโห จนอกแตกตายเท่านั้น ฉางเกิงสลัดมือที่วางพาดอยู่บนไหล่ตนทิ้ง แล้วเดินนำหน้าออกไปก่อน

อาจารย์เสิ่นร้องตะโกนกำชับมาจากด้านหลัง

“สือลิ่ว เจ้าก็รีบกลับมาหน่อยล่ะ ผ่าฟืนไว้ด้วย!"

เสิ่นสือลิ้วเผ่นหนีรวดเร็วราวกับทาน้ำมันใต้ฝ่าเท้า พร้อมตะโกนตอบ อย่างหน้าไม่อาย

“ไม่ได้ยิน แล้วเจอกัน!"

ฉางเกิงโดนอีกฝ่ายทั้งผลักทั้งรุนหลังจนต้องวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปด้วยขณะร้องถาม

“ตกลงว่าท่านหูหนวกตั้งแต่เมื่อไร”

เห็นสือลิ่วยิ้มเฉย ไม่ยอมตอบคำถามสีหน้าดูลึกลับยากคาดเดา

เวลานี้ทั้งสองคนวิ่งผ่านประตูใหญ่บ้านฉางเกิงพอดี จู่ ๆ ประตูก็เปิด

"แอ๊ด” ออกมา

สตรีนางหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีพื้นเรียบ ๆ เดินออกมา พอฉางเกิงเห็นสตรีนางนั้นสีหน้าอับจนระคนหงุดหงิดใจของเขาพลันแข็งค้าง เขารู้สึกเหมือนโดนสาดน้ำเย็นตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แววตาที่กำลังจะกดข่มความฉุนเฉียว เอาไว้เมื่อครู่นี้พลันกลายเป็นหลุมโพรงว่างเปล่า กระทั้งความมีชีวิตชีวายังเลือนหายไปพร้อมกัน

สตรีตรงหน้าก็คือซิ่วเหนียง มารดาในนามของฉางเกิงนั่นเอง

นางมีอายุไม่น้อยแล้ว ทว่ารูปโฉมยังคงงดงามมิสร่างซา เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางแสงอรุณแรกแย้มเช่นนี้ แลดูคล้ายภาพวาดหญิงงามผู้แสนอ่อนโยน และเยือกเย็น สตรีเช่นนี้ต่อให้เป็นม่ายก็ไม่สมควรต้องลดตัวลงมาเป็นภรรยา ของนายทหารรักษาการณ์เมืองเล็ก ๆ ตรงชายแดนเลย

ซิ่วเหนียงก้มศีรษะจัดแจงชุดให้เรียบร้อย ก่อนย่อกายลงคารวะเสิ่นสือลิ่วพร้อมกล่าวทักทาย

“ท่านสือลิว"

เสิ่นสือลิ่วมักทำตัวอันธพาลใส่เสิ่นอี้แค่คนเดียว ยามพบเจอสตรี เขาจะเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพบุรุษทันควัน ขยับเบี่ยงตัวเล็กน้อย พยายามไม่มองใบหน้าของซิ่วเหนียงตรง ๆ ก่อนเอ่ยทักทายตอบอย่างสุภาพ

“สวีฮูหยิน ข้าจะพาฉางเกิงออกไปเที่ยวผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย”

“รบกวนแล้ว”

จิ๋วเหนียงคลี่ยิ้มโดยไม่ให้เห็นฟัน เพียงยกมุมปากเท่านั้น จากนั้นหันไปหาฉางเกิง เอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“วันนี้บิดาเจ้ากลับมาแล้ว ถ้าเจ้าจะออกไปข้างนอก อย่าลืมนำชาดกลับมาให้มารดาด้วยตลับหนึ่ง”

เสียงของนางแผ่วเบาราวกับยุง แค่เป่าทีเดียวก็ปลิวกระเด็น แต่ฉางเกิงยังไม่ทันจะได้ตอบรับ เจ้าคนหูหนวกแซ่เสิ่นกลับชิงรับคำเสียก่อน

“อ้อ ฮูหยินโปรดวางใจ”

ฉางเกิง

“....”

เวลานี้ เขาเริ่มจะเข้าใจเงื่อนไขในการหูหนวกของพ่อบุญธรรมบ้างแล้ว ตอนเสิ่นอี้พูดกับเขา เขาจะไม่ได้ยิน ถ้าเป็นคนอื่นพูดกับเขา อยากได้ยินหรือไม่ได้ยินก็แล้วแต่ใจเขา แต่ถ้าเป็นดรุณีน้อยหรือสตรีเต็มตัว ต่อให้เป็นเสียงยุง ตัวเมียบินนิ่ง ๆ เขายังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

ดีแต่กินและชอบทำตัวเกียจคร้านก็แล้วไปเถอะ นี่ยังจะมาทำตัวเจ้าชู้ ชีกออีก! ประโยคที่ว่า “ภายนอกสวยดั่งทองหยก ภายในดุจฝ้ายเปื่อยเน่า” เหมือนสร้างมาเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะจริงๆ

ตอนอินทรียักษ์เดินทางกลับมา ตรงประตูเมืองมักเต็มไปด้วยพวก เด็ก ๆ ที่มารอแย่งอาหารห่านกับชาวบ้านจากหมู่บ้านโดยรอบที่วิ่งมาร่วมวงครึกครื้นด้วย พอผู้คนมารวมตัวกันเยอะเข้าก็มีคนหัวใสออกมาตั้งแผงขายอาหาร จนค่อย ๆ กลายเป็นตลาดขนาดไม่เล็ก คนในพื้นที่จึงเรียกกันว่า “ตลาดห่านป่า”

แต่ไหนแต่ไรมาเสิ่นสือลิ่วไม่เคยสังเกตสีหน้าใครต่อให้เห็นก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น เขาทำเหมือนดูไม่ออกว่าอารมณ์ของบุตรบุญธรรมในตอนนี้กำลังอึมครึมมากแค่ไหน เอาแต่เดินวนเวียนไปมาอยู่ในตลาดห่านป่าที่เต็มไปด้วย ผู้คนอย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าพบเห็นอะไรก็ดูน่าสนใจไปเสียหมด

ฉางเกิงมีสีหน้าหงุดหงิด แต่ยังคงเดินตามเสิ่นสือลิ่วไม่ยอมห่าง บางครั้งก็คอยมองอีกฝ่ายไม่ให้โดนคนเบียดหายไปไหน

หลายปีมานี้บ้านเมืองวุ่นวาย ราษฎรล้วนยากจนขนแค้น สิ่งที่นำมาค้าขายกันในตลาดส่วนใหญ่ก็มีแค่ผลผลิตเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน กินไม่ได้กินดี ๆ ดื่มก็ไม่ได้ดื่มดี ๆ ลำบากแทบตายแล้ว กล่าวกันว่าทุกคนต้องใช้ชีวิตกันอย่างยากแค้นแสนเข็ญเพราะภัยสงคราม อีกทั้งยังต้องเสียภาษีหนักขึ้นทุกปี อันที่จริงแล้วเมื่อก่อนก็มีสงครามเช่นกัน ทว่าหลังรบราเสร็จ ยังมีช่วงหยุดพักฟื้นสักระยะหนึ่ง แต่หลายปีมานี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผู้คนเหมือนจะไม่ได้หยุดพักหายใจหายคอกันเลย ลองคำนวณดูแล้ว แค่ช่วงยี่สิบปีมานี้ แคว้นต้าเหลียงยกทัพพิชิตเหนือตามด้วยปราบปรามตะวันตก อาณาจักรแผ่อำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร แว่นแคว้น รอบข้างล้วนตาหน้าเข้ามาสวามิภักดิ์ เห็นได้ว่ามีอานุภาพน่าเกรงขามเพียงใด ทว่าราษฎรกลับยากจนลงทุกวัน มันช่างน่าแปลกเสียจริง

ฉางเกิงเดินวนตามอย่างเบื่อหน่าย จนอยากจะอ้าปากหาวหวอด ได้แต่ ภาวนาให้เสิ่นสือลิ่วที่ทำตัวเหมือนคนบ้านนอกพบเห็นอะไรก็อยากรู้อยากเห็น ไปเสียทุกอย่างหมดความสนใจไว ๆ และปล่อยเขากลับไปสักที เขายอมไปช่วยงานอาจารย์เสิ่นยังดีกว่า

เสิ่นสือลิ่วซื้อถั่วคั่วเกลือที่คั่วจนดำเกรียมมาห่อหนึ่ง เดินพลางเอามือบีบแกะกินไปด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ก็ยื่นมือออกไป ยัดถั่วคั่วเกลือเม็ดหนึ่งเข้าปาก ฉางเกิงอย่างแม่นยำ ราวกับมีดวงตางอกอยู่ด้านหลังศีรษะ ฉางเกิงไม่ทันตั้งตัว เลียถูกปลายนิ้วอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ ด้วยความตื่นตระหนกจึงเผลอกัดเนื้อกระทุ้งแก้มนุ่ม ๆ ในโพรงปาก ทำให้เกิดแผลเลือดไหล เจ็บจนต้องร้อง “ซี้ด” จึงถลึงตาใส่เสิ่นสือลิ่วที่เป็นตัวต้นเหตุด้วยความโมโห

“บุปผายังคงมีวันผลิบานใหม่ มนุษย์เราไม่อาจย้อนคืนวัยเยาว์”

เสิ่นสือลิวไม่ได้หันไปมอง บีบถั่วเม็ดหนึ่งแล้วยกซูขึ้นสูง เล็งตรงไปทาง ดวงอาทิตย์ มือทั้งสองข้างของเขาดูดีมาก เรียวยาวขาวเนียน ราวกับมือคุณชายตระกูลใหญ่ เดิมทีควรถือม้วนคัมภีร์หรือคีบเม็ดหมาก แทนที่จะเป็น ถั่วคั่วดำปี๋ที่ดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย

เสิ่นสือลิ่วบ่นเหมือนคนสูงวัย

“รอเจ้าโตแล้วจะรู้เอง ช่วงวัยหนุ่มของ คนเราสั้นเท่าเม็ดถั่ว แค่กะพริบตาก็ผ่านเลยไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีก ถึงตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจเองว่าตัวเองสูญเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์มากเพียงใด”

ฉางเกิงขบคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก คนอย่างเสิ่นสือลิ่วยังมีหน้ามาว่า คนอื่น “สูญเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์” ได้ด้วยหรือ

ตอนนั้นเอง จู่ ๆ ผู้คนที่ยืนอออยู่ใกล้ประตูเมืองก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี

แม้จะกึ่งตาบอด แต่เสิ่นสือลิ่วยังพอมองเห็นอินทรียักษ์ที่กำลังจะร่อน ลงมาแต่ไกล มันกลับมาแล้ว!

ปีกเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนหันขึ้นฟ้า ไอน้ำสีขาวพ่นออกมาพร้อมกันจนกลายเป็นภูเขาเมฆดุจดังปุยฝ้ายโปรยปรายลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จากนั้นเงารางเลือนของเรือขนาดยักษ์ก็ค่อย ๆ แล่นแหวกทะลุออกมา มังกรวารีแปดตัว ที่ประดับอยู่ด้านข้างหัวเรือดูสมจริงราวกับมีชีวิต และกำลังแล่นฝ่ากลุ่มเมฆหมอกตรงเข้ามา

เสิ่นสือลิ่วตกตะลึง แล้วจู่ ๆ ก็ทำท่าเงี่ยหู แต้มไฝสีขาดตรงดิ่งหูคล้ายสะท้อนประกายสีแดงวูบหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบา

“เหตุใดปีนี้เรือถึง ดูเบานัก"

แต่รอบตัวอื้ออึงไปด้วยเสียง “ครืน ๆ" ดังสนั่นหวั่นไหวของอินทรียักษ์ ระคนกับเสียงโห่ร้องของฝูงชน ดังนั้นเสียงแผ่วเบาราวถอนหายใจของเขาจึงโดนกลบหายไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งฉางเกิงที่เดินตามติดอยู่ข้างกายเขาก็ยังไม่ได้ยิน

พวกเด็ก ๆ เริ่มชูตะกร้าไม้ไผ่ของตนเอง เจ้าผลักข้าดันแย่งที่ยืนกัน เพื่อรอรับอาหารห่านบนกำแพงเมืองมีทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเรียงแถวออกมา ทหารถ่ายทอดคำสั่งมาหยุดยืนรอคำสั่งด้านหน้ากัมปนาทสำริดสูงสามจั้ง

กัมปนาทสำริดมีลักษณะคล้ายแตรขนาดใหญ่ วางตั้งอยู่บนกำแพงเมือง ผิวด้านนอกมีสนิมเขียวเกาะหนาเป็นชั้น สนิมยังขึ้นได้อย่างพอเหมาะพอดีจน แลดูคล้ายลวดลายแกะสลัก ทหารถ่ายทอดคำสั่งคนนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก จ่อหน้าตรงปลายกัมปนาทสำริด แล้วเปิดช่องปาก เสียงลอดผ่านกัมปนาท สำริดขนาดยักษ์ออกไป แล้วขยายดังขึ้นหลายสิบเท่า พร้อมทั้งสะท้อนก้อง

ออกไปไม่หยุด

“ห่านกลับ เปิด....ธาร...ใต้....ดิน...”

ทหารทั้งสองแถวกำด้ามจับกงล้อไม้ขนาดใหญ่ยักษ์บนกำแพงเมืองพร้อมตะโกนเสียงดัง พวกเขาแต่ละคนล้วนเปลือยกายท่อนบน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อเด่นชัดเป็นลูก จากนั้นออกแรงดันพร้อมกัน กงล้อไม้เริ่มหมุนตัวดัง “เอี๊ยดอ๊าด” ถนนสายหนึ่งที่ปูด้วยแผ่นหินชิงสือใต้กำแพงเมืองแยกตัวจากหนึ่ง กลายเป็นสองตามเสียง ฟันเฟืองที่เชื่อมต่อกันจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มขยับหมุน แผ่นหินแยกตัวออกไปทั้งสองข้าง จนเหลือแค่ถนนเล็กสองสาย พอให้เดินสวนทางกันได้

พื้นแยกตัวออก เผยให้เห็นธารน้ำใต้ดินมืดลึกสายหนึ่งที่ไหลทอดยาว ผ่านตลอดทั้งเมืองเยี่ยนหุย

ทหารถ่ายทอดคำสั่งเป่าสัญญาณต่ำยาวผ่านกัมปนาทสำริต เสียงดังกังวานแหวกอากาศออกไป ข้างบนอินทรียักษ์ส่งสัญญาณดังยาวตอบกลับมา จากนั้นปีกเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนก็เดินเครื่องพร้อมกัน หมอกไอน้ำระเบิต พวยพุ่งออกมาโดยรอบ...มันเตรียมตัวร่อนลงแล้ว

อาหารห่านระลอกแรกร่วงตกลงมาดุจบุปผาโปรยปราย พวกเด็ก ๆ ที่ อยู่ด้านล่างต่างยื่นมือออกไปไขว่คว้าแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง

แต่น่าเสียดายที่เส้นทางโปรยอาหารท่านมิได้ยึดยาวนัก ไม่นานอินทรี ยักษ์ก็ร่อนลงธารใต้ดิน และหยุดจอดบนผิวน้ำตรงหน้าทุกคน ตัวเรือแลดู น่าเกรงขาม เนื้อเหล็กกล้าเย็นยะเยือกสะท้อนแสงแวววาว คล้ายแฝงด้วย ไอสังหารอย่างบอกไม่ถูก เสียงสัญญาณที่ฟังดูโหยหวนอย่างประหลาดจาก บนเรือ ยังคงดังก้องกังวานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสียง "ครืน ๆ" ดังกระหึ่ม ไปทั่วทั้งเมืองเยี่ยนหุย ราวกับว่าภูตผีวิญญาณนับพันปีในสนามรบตื่นขึ้นมา ส่งเสียงขานรับ

อินทรียักษ์แล่นตามธารใต้ดินเข้ามาในเมือง เสียงน้ำกระแทกซัดสาด ทหารถ่ายทอดคำสั่งเปิดปากส่งเสียงดังยาวอีกรอบ

"ดับ...ไฟ..."

ปีกเพลิงทั้งสองข้างของอินทรียักษ์ดับลงตามเสียง กลิ่นเหม็นไหม้นิด ๆ โชยคลุ้งในอากาศหลังสิ้นเสียงระเบิดของประทัด อินทรียักษ์แล่นตรงเข้ามาตามเส้นทางน้ำ มังกรวารีที่ประดับตกแต่งรอบตัวเรือคล้ายภาพสัญลักษณ์ บางอย่างที่หยุดนิ่งท่ามกลางกระแสกาลเวลา แลดูน่าเกรงขามและคล้ายแต่ง ด้วยความชั่วร้ายนิด ๆ

ฉางเกิงยืนเบียดไหล่ขนไหล่มองอินทรียักษ์แล่นจากไกลเข้ามาใกล้ แม้ปากเขาจะบ่นว่าไม่อยากมา ทว่าแท้จริงแล้วแม้จะเคยเห็นอินทรียักษ์เดินทาง กลับมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอได้เห็นมันปรากฏอยู่ตรงหน้าจริง ๆ เขาก็อด ตกตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของมันไม่ได้อยู่ดี

ขนาดอินทรียักษ์ที่ใช้ลาดตระเวนขึ้นเหนือยังเป็นเช่นนี้ แล้วสามค่าย ใหญ่เหล็กทมิฬอันเป็นอาวุธสำคัญของแว่นแคว้นจะยิ่งใหญ่อลังการเพียงใด

ทว่าเด็กหนุ่มถูกกักขังอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ทั้งคับแคบและห่างไกลความ เจริญอย่างเยี่ยนหุย ดังนั้นกระทั่งแค่จะคิดภาพยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ

เมื่ออินทรียักษ์แล่นเข้ามาใกล้ ปีกเพลิงที่ดับไปแล้วยังคงส่งไอร้อนแผ่ พุ่งใส่หน้าฉางเกิงคว้าจับคนข้างกายโดยไม่รู้ตัว พร้อมเอ่ย

“อินทรียักษ์มาแล้ว ตรงนี้คนเยอะเกินไป เราถอยออกไปหน่อยเถอะ”

ไม่มีใครตอบรับ เขาคว้าได้แค่เพียงความว่างเปล่า พอฉางเกิงหันไป มองก็พบว่าพ่อบุญธรรมที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวายของเขาหายตัวไปตั้งแต่ตอนไหน ก็ไม่รู้

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!