บรรพบุรุษสกุลสวีมีที่ดินสืบทอดต่อกันมาจำนวนหนึ่ง อีกทั้ง นายกองสวียังเป็นทหาร สภาพความเป็นอยู่ในท้องถิ่นจึงจัดว่าไม่เลวนัก งานการในบ้านก็มิได้มีอะไรมากมาย จึงรับเลี้ยงแค่หญิงสูงวัยผู้หนึ่งไว้คอย หุงหาอาหารและทำความสะอาดเท่านั้น เมื่อท้องฟ้าด้านนอกเริ่มทอแสงสว่าง แม่ครัวบ้านสกุลสวีค่อยลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ไปเคาะ ประตูห้องฉางเกิง
“คุณชาย ฮูหยินให้มาเรียนถามท่านว่าจะไปรับสำรับที่เรือน ด้วยหรือไม่เจ้าคะ"
ฉางเกิงกำลังตั้งอกตั้งใจคัดลายมือ พอได้ยินดังนั้นก็ชะงักมือที่กำลังถือพู่กัน ก่อนตอบกลับไปเหมือนเช่นเคย
“ไม่ล่ะ นางชอบความเงียบสงบ ข้าไม่ไปรบกวนจะดีกว่า รบกวนเจ้าช่วยบอกมารดาข้าด้วยว่าผู้บุตรฝากคำนับ”
แม่ครัวมิได้แปลกใจกับคำตอบของเขา เพราะสองมารดาบุตรคู่นี้มักถามคำตอบคำเช่นนี้อยู่เป็นนิจ จึงไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
แต่จะว่าไปก็น่าแปลก ตามหลักแล้วนายกองสวีเป็นแค่บิดาเลี้ยง ฉางเกิงกับซิ่วเหนียงต่างหากที่เป็นมารดาบุตรกันจริง ๆ ทว่ามารดาบุตรคู่นี้ กลับมีแค่ช่วงไม่กี่วันที่นายกองสวีอยู่บ้านเท่านั้น ที่ยอมออกมานั่งรับประทาน อาหารร่วมโต๊ะ และแวะเวียนคำนับเข้าเย็น แสร้งแสดงความกตัญญูกตเวที ขอเพียงเจ้าบ้านฝ่ายชายออกจากบ้านไป พวกเขาก็ใช้ชีวิตเสมือนเป็นคน แปลกหน้ายิ่งกว่าคนแปลกหน้ากันจริง ๆ เสียอีก ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคน ต่างอยู่ในเรือนของตน กระทั่งประตูใหญ่ฉางเกิงยังไม่เดินเข้าออกด้วยซ้ำ
ทุกวันจะเดินออกประตูข้างไปบ้านข้างเคียง บางครั้งสองมารดาบุตรคู่นี้ก็มิได้ พบหน้าค่าตากันนานสิบวันหรือครึ่งเดือนเลยทีเดียว
กระทั่งตอนฉางเกิงป่วยหนักจนเกือบทิ้งไปครึ่งชีวิตเมื่อปีก่อน ซิ่วเหนียง ยังแค่เหลือบมองแวบเดียวอย่างไม่ไยดี ดูเหมือนไม่สนใจความเป็นตายของ บุตรโทนผู้นี้เอาเสียเลย ยังคงเป็นท่านสือลิ่วที่อุ้มตัวไปประคบประหงมดูแล อย่างใกล้ชิด
แม่ครัวอดสงสัยไม่ได้ว่าฉางเกิงอาจจะมิได้ถือกำเนิดจากนาง แต่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว มารดาบุตรคู่นี้ก็หน้าตาคล้ายคลึงกันมาก ดังนั้น ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอย่างแน่นอน เพราะหากมิได้เป็นผู้ให้กำเนิดแล้ว สตรีอ่อนแอบอบบางเยี่ยงซิ่วเหนียง เดินทางร่อนเร่พเนจร มาต่างถิ่น กระทั่งตนเองยังแทบปกป้องคุ้มครองไม่ได้ ไยต้องลำบากหอบหิ้ว เด็กคนนี้มาด้วยเล่า
ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แม่ครัวถือถาดอาหารเข้ามา เอ่ยกับฉางเกิง
“วันนี้นายท่านคงกลับเข้าเมืองแล้ว ฮูหยินกำชับให้คุณชายรีบกลับมาเร็วหน่อยเจ้าค่ะ"
ฉางเกิงเข้าใจความหมายของนางดี นายกองสวีกลับมา พวกเขาก็ต้องแสร้งแสดงบทบาทมารดาผู้การุณกับบุตรแสนกตัญญูเหมือนเช่นเคย จึงพยักหน้าตอบรับไปคำหนึ่ง
"เข้าใจแล้ว"
สายตาของเขาเลื่อนมาจับที่ถาดอาหาร จู่ ๆ ฉางเกิงก็สังเกตเห็นเส้นผม ยาวเส้นหนึ่งติดอยู่ตรงที่จับถาด มือที่กำลังยื่นออกไปรับพลันหดกลับทันที ผมของแม่ครัวขาวโพลนหมดแล้ว เส้นผมสีดำนุ่มลื่นเส้นนี้ย่อมมิใช่ของนาง ส่วนนายกองสวียังไม่กลับมา ในบ้านนับนายรวมบ่าวแล้ว มีทั้งสิ้นสามชีวิต ดังนั้น ถ้าไม่ใช่แม่ครัว ย่อมต้องเป็นซิ่วเหนียงแล้ว
ฉางเกิงเป็นโรครักสะอาดอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง...เพียงนึก รังเกียจมารดาเท่านั้น
ตอนอยู่บ้านข้างเคียง จะให้เขาใช้ขามที่พ่อบุญธรรมใช้แล้วมากินข้าวต่อก็ยังได้ แต่พอกลับมาบ้าน ขอเพียงเป็นสิ่งที่ซิ่วเหนียงเคยสัมผัสมาก่อน เขาจะไม่ยอมแตะต้องมันอีกแม้แต่นิดเดียว แม่ครัวล่วงรู้นิสัยแปลกประหลาดของเขาดี จึงรีบเก็บผมเส้นนั้นอย่างระมัดระวัง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ฮูหยินคงทำร่วง โดยมิได้ตั้งใจ ของว่างนี้ออกจากเตาก็ไม่มีใครเคยแตะต้อง โปรดวางใจได้เจ้าค่ะ"
ฉางเกิงยิ้มให้นางอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้ามีเรื่องอยากขอคำชี้แนะ จากอาจารย์เสิ่นพอดี ประเดี๋ยวจะไปกินที่เรือนพ่อบุญธรรม"
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รับถาดอาหารมา เพียงหยิบตำราบนโต๊ะมาหนีบ ไว้ใต้รักแร้ คว้ากระบี่หนักอึ้งที่แขวนไว้ด้านหลังประตู แล้วเดินออกจากเรือนไป
ในบ้านข้างเคียง อาจารย์เสิ่นกำลังม้วนแขนเสื้อ ลงมือทาน้ำมันให้ชุดเกราะที่โดนถอดรื้อเป็นชิ้น ๆ อยู่ในลานบ้าน
ชุดเกราะเหล่านี้ถูกส่งมาจากทหารป้องกันเมือง ในกองทัพทหารของ เมืองเยี่ยนหุยก็มี “ช่างกล” คอยดูแลชุดเกราะโดยเฉพาะเช่นกัน แต่ชุดเกราะ ของทางกองทัพมีจำนวนมากเกินไป มักจะทำไม่ทันเสมอ จึงต้องแบ่งกระจาย งานให้ช่างกลชาวบ้านทั่วไปรับไปทำบ้าง “ช่างกล” คือคนที่คอยดูแลซ่อมแซม ชุดเกราะเหล็กและเครื่องจักรกล วัน ๆ ต้องคอยทะเลาะต่อยตีกับท่อนเหล็กพวกนั้น นับว่าเป็นช่างฝีมืออย่างหนึ่ง แต่ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว “ช่างกล” ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตีสุนัขทำเล็บเท้าโกนผม ล้วนจัดอยู่ใน “เก้าระดับชั้นล่าง เช่นกัน ทว่าทำอาชีพนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะอดตาย แต่ก็ไม่ได้มีหน้ามีตาอะไร ไม่รู้ ทำไมบัณฑิตรู้หนังสืออย่างอาจารย์เสิ่นถึงได้มีงานอดิเรกแปลกประหลาดเช่นนี้ นอกจากชอบทำสิ่งเหล่านี้ในยามว่างแล้ว ยังใช้ฝีมือทางด้านนี้หาเงินอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนเสิ่นสือลิ่วที่โผล่เข้ามาในฝันของเด็กหนุ่มโดยไม่ตั้งใจกำลังนั่งอยู่ ตรงธรณีประตู เหยียดขาทั้งสองข้างออกมา และเอนตัวพิงกรอบประตูเสมือนไร้กระดูก ข้างกายยังมีชามยาว่างเปล่าวางอยู่ใบหนึ่งเขาดื่มหมดแล้วก็ไม่รู้ จักเอาไปเก็บล้าง
สื่อลิ่วยืดตัวบิดขี้เกียจ กวักมือเรียกฉางเกิงด้วยสภาพที่เหมือนใกล้ตาย เต็มที พร้อมสั่ง
“เจ้าลูกชาย ไปหยิบกาสุรามาให้ข้าที”
อาจารย์เสิ่นที่สองมือเปื้อนน้ำมันเครื่อง เหงื่อไหลโซมกายเอ่ย
“ไม่ต้อง สนใจเขา กินข้าวมาหรือยัง"
ฉางเกิง
"ยัง"
อาจารย์เสิ่นหันไปตะโกนใส่สือลิ่ว
“ตื่นเช้ามาก็ดีแต่นั่งรอกิน! ไม่รู้จักทำงานทำการบ้างหรือ ไปตักข้าวสารมาต้มโจ๊กสิ!"
เสิ่นสือลิ่วเอียงคอ แสร้งทำหูหนวกได้จังหวะพอดี ย้อนถามอย่างช้า ๆ
"หา? อะไรนะ"
“ข้าทำเอง”
ฉางเกิงเจอจนชินแล้ว
“เอาข้าวอะไรดี"
คราวนี้ท่านสือลิ่วได้ยินชัดแล้ว เขาเลิกคิ้วเรียวยาว ถามอาจารย์เสิ่น
“ใช้งานเด็กให้มันน้อยหน่อย เหตุใดเจ้าไม่ไปทำเอง”
คนสุภาพอย่างอาจารย์เสิ่นโดนเจ้าน้องชายตัวแสบยั่วโมโหให้ต้องเดือดดาลทุกวันสิน่า
“ไหนตกลงกันไว้ว่าจะผลัดกันทำไม่ใช่หรือ ลูกผู้ชายชาตรี เจ้าไม่ได้ยินก็ช่างเถิด แต่พูดแล้วไม่รักษาคำพูดมันใช้ได้หรือ!”
เสิ่นสือลิวยังคงเล่นลูกไม้เดิม แสร้งทำเป็น “ไม่ได้ยิน” แล้วเอ่ยถาม
“เขากำลังเห่าอะไรอยู่ตรงนั้น”
ฉางเกิง
“.......”
อันที่จริงแล้วบางครั้งการเป็นคนหูหนวกก็สะดวกดีไม่น้อย
“เขาบอกว่า...”
ฉางเกิงก้มหน้าลงก็มองสบสายตาขี้เล่นของสือลิ่วพอดี พริบตานั้นภาพความฝันในคืนก่อนหน้าพลันผุดแวบขึ้นมาทันที จู่ ๆ เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วตนเองใช่ว่าจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยอย่างที่คิด ลำคอฉางเกิงแห้งผาก รีบตั้งสติเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
“ท่านผู้เฒ่าก็นั่ง ต่อไปเถอะ อย่าสิ้นเปลืองแรงเล่นลูกไม้แต่เช้าเลย”
วันนี้เสิ่นสือลิ่วไม่ได้ดื่มจนเมา มโนธรรมที่พอมีอยู่บ้างยังไม่โดนแช่บ่มจนกลายเป็นกากสุรา เขายิ้มหน้าระรื่นพลางดึงมือฉางเกิง อาศัยยืมแรงฉุดตัวเองลุกขึ้นยืน จากนั้นตบศีรษะเด็กหนุ่มเบา ๆ อย่างสนิทชิดเชื้อ ก่อนเดินกระย่องกระแย่งเข้าครัว เตรียมตัวลงมือทำงานแล้วจริง ๆ...ร้อยวันพันปี
ท่านสือลิ่วจะยอมลงมือทำงานสักครั้ง หาได้ยากมากจริง ๆ ยากยิ่งกว่ารอต้นปรงออกดอกเสียอีก
ฉางเกิงรีบเดินตาม ก็เห็นพ่อบุญธรรมของเขาเดินอาด ๆ ตรงเข้าไปคว้าข้าวสารหลายกำ โยนลงหม้อ ตักน้ำเทโครมตามเพื่อชาวข้าวจนน้ำหก กระเซ็นไปทั่ว จากนั้นยอมลดตัวยื่นสองนิ้วลงไปทำท่ากวนในน้ำอย่างส่ง ๆ แล้วดึงออกมาสะบัดไล่น้ำ ก่อนประกาศเสียงดัง
“ล้างไปครึ่งหนึ่งแล้ว เสิ่นอี้ มาผลัดกันได้แล้ว"
อาจารย์เสิ่น
“.......”
เสิ่นสือลิ่วสะบัดมือแล้วคว้ากาสุราบนชั้นวางเหนือเตาเดินออกมา แหงนหน้ากระดกดื่ม ท่วงท่าดุจเมฆเหินน้ำไหล แม่นยำไร้ที่ติ...บางครั้งฉางเกิง ก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะแกล้ง 'ตาบอด' ด้วยก็เป็นได้
อาจารย์เสิ่นคงยอมแพ้แล้ว เพราะไม่ได้โต้แย้งสิ่งใดอีก แค่สบถด่าพลางคว้าจ้าวเจียว มาล้างมือให้สะอาด จากนั้นวิ่งเข้าห้องครัวไปนึ่งขนม แล้วเริ่มต้น เก็บกวาดสิ่งที่สือลิ่วทำเละเทะไว้ ฉางเกิงหยิบบทความที่ตนเองหัดคัดลอกเมื่อเช้าออกมา ส่งให้อาจารย์เสิ่นดูทีละแผ่น เสินอี้ตรวจดูและวิจารณ์เสร็จ ฉางเกิงก็ยัดกระดาษแผ่นนั้นเข้าเตา ช่วยก่อไฟอีกแรง
“ลายมือเขียนพู่กันนับว่าก้าวหน้าขึ้นมาก ช่วงนี้คงลงแรงไปไม่น้อย” อาจารย์เสิ่นเอ่ย
“บทความที่เจ้าคัดลอกมาคือบทศาลาริมทางของอันติ้งโหว กู้อวิ๋นสินะ”
ฉางเกิง
“อืม”
สือลิ่วที่กำลังนั่งเอ้อระเหยลอยชายได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปมองทันที สีหน้าฉายแววแปลกใจแวบหนึ่ง
อาจารย์เสิ่นไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“อันติ้งโหวนำกองทัพทหารออกรบตอนอายุสิบห้า ศึกเดียวสร้างชื่อเสียงเลื่องลือ ตอนอายุสิบเจ็ดเป็นแม่ทัพใหญ่ รับพระบัญชาไปปราบปรามตะวันตก ระหว่างยกทัพไปปราบปรามตะวันตกเดินทางผ่านนอกเมืองซีเหลียง เห็นซากปรักหักพังโบราณ จึงทอดถอนใจว่าทิวทัศน์ในอดีตยังคงเดิม ขุนเขาสายธารไหลผ่านร้อยปี จึงหยิบพู่กันมาแต่ง “ลำนำ ศาลาริมทาง เดิมทีเขียนแล้วก็แล้วไป คิดไม่ถึงว่าพวกชอบประจบสอพลอข้างกายจะลักลอบเก็บงำไว้ แล้วยังนำไปสลักลงบนแผ่นหิน...จะว่าไปแล้ว ลายมือของกู้อวิ๋นก็ได้รับการสอนมาจากปราชญ์เมธีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคอย่าง อาจารย์โม่เซิน ดังนั้นย่อมมีค่าคู่ควรให้เก็บรักษา ทว่าตอนเขียนบทศาลาริมทาง เขายังเยาว์วัยนัก อีกทั้งเปี่ยมล้นด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคนหนุ่ม จึงแสดงความคิดไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำออกไปบ้าง เพราะยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอในเมื่อเจ้าคิดจะฝึกคัดลายมือเขียนพู่กัน มีบทความโบราณตั้งมากมายไม่ยอมคัดลอก เหตุใดจึงเลือกบทความของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้เล่า”
ฉางเกิงม้วนกระดาษที่เขียนคัดลายมือจนเต็มแผ่นยัดเข้าเตาไฟอย่าง ไม่เสียตมเสียดาย
“ข้าเคยได้ยินคนเล่าขานกันมาว่าตอนยังอยู่ในมือของท่านโหวผู้เฒ่า เหยี่ยวทมิฬ เกราะทมิฬ อาชาทมิฬ สามค่ายใหญ่เหล็กทมิฬพิชิต พวกเป่ยหมานสิบแปดเผ่าจนราบคาบ ต่อมาพอตกทอดถึงมือท่านโหวน้อย ยังสามารถปราบปรามกลุ่มโจรซีอวี้ จนยอมก้มหัวศิโรราบอีก...ข้ามิได้ชมชอบลายมือเขาเป็นพิเศษ เพียงอยากรู้ว่าลายมือของผู้ที่กุมสามค่ายใหญ่เหล็กทมิฬ ไว้ในมือเป็นเช่นไรเท่านั้น”
ทัพพีในมืออาจารย์เสิ่นขยับคนหม้อโดยไม่รู้ตัว แต่สายตาคล้ายมอง ล่องลอยไปไกล ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างข้า ๆ
“อันติ้งโหวแซ่กู้นามอวิ๋น มีนามรองว่าจื่อซี เป็นบุตรโทนขององค์หญิงใหญ่ในอดีตฮ่องเต้กับอันติ้งโหวผู้เฒ่า บิดามารดาลาจากโลกนี้ไปตั้งแต่เขายังเยาว์วัย เบื้องบนในเวลานี้ทรงเมตตาสงสาร จึงรับเลี้ยงไว้ในวัง พร้อมทั้งพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ สืบทอดต่อ เดิมทีเกิดมาเป็นชนชั้นสูงใช้ชีวิตสุขสบาย แต่กลับดึงตนจะไปนอนกลางดินกินกลางทรายที่ซีอวี้ จะเป็นวีรบุรุษหรือไม่ใช้วีรบุรุษ ข้าเองก็สุดรู้ แต่เกรงว่าสมองคงไม่ค่อยดีนัก”
อาจารย์เสิ่นสวมเสื้อตัวเก่าผ่านการซักล้างบ่อยครั้งจนสีซีดขาว ชายเสื้อยังเปรอะเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องจากชุดเกราะ ตรงลำคอคล้องผ้ากันเปื้อน สภาพอนาถไว้ผืนหนึ่ง....สองพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อีกทั้งในบ้านยังไม่มีสตรีคอยดูแล แต่ละคนจึงมีสภาพดูไม่ได้ อย่างผ้ากันเปื้อนผืนนั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เอากลับมาก็ไม่เคยนำไปซักล้างเลยหรือไม่ เพราะมองแทบไม่เห็นเนื้อสีเติมแล้ว เวลาพันสวมไว้บนตัวจึงดูไม่ได้เอาเสียเลย
มีแค่ใบหน้าที่ดูเด่นชัดดี
เสิ่นอี้มีจมูกโด่งเป็นสัน ยามมิเอ่ยวาจาหรือยิ้มแย้ม ใบหน้าด้านข้าง แทบจะเรียกได้ว่าเคร่งขรึมเย็นชา เปลือกตาของเขาเต้นกระตุกเล็กน้อย จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“นับตั้งแต่ท่านโหวผู้เฒ่าจากไป ค่ายเหล็กทมิฬสร้างผลงานดีเด่นเกินหน้านาย จนเบื้องบนนึกหวาดระแวง กอปรกับขุนนางสอพลอในราชสำนัก สร้างเรื่องวุ่นวาย...."
จู่ ๆ สือลิ่วที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขัดขึ้น
“เสิ่นอี้”
ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตาต่างหันกลับไปมองพร้อมกัน สือลิ่วกำลังจ้องมองใยแมงมุมเล็ก ๆ เหนือขอบประตู ปกติแล้วสือลิ่วเป็นคนดื่มสุราไม่แสดงออกทางสีหน้า ยิ่งดื่มมากใบหน้าก็ยิ่งซีดขาว เก็บงำอารมณ์ทุกอย่างเข้าไปในดวงตาหมดสิ้น จนอ่านความรู้สึกไม่ออก
เขาเอ่ยเสียงต่ำ
“อย่าพูดเหลวไหล”
ปกติแล้วสองพี่น้องสกุลเสิ่นไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องอาวุโส น้องชายไม่เคารพพี่ชาย พี่ชายยังตามใจน้องชายจนเสียคน วัน ๆ ทะเลาะกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ความสัมพันธ์ยังคงแน่นแฟ้นดี
ฉางเกิงไม่เคยได้ยินสือลิ่วเอ่ยเสียงแข็งเช่นนี้มาก่อน
เขาเป็นคนค่อนข้างความรู้สึกไว แต่เพราะไม่รู้ความนัย จึงขมวดคิ้ว
ขากรรไกรของเสิ่นอี้หดเกร็ง พอรู้สึกได้ว่าฉางเกิงกำลังมองสังเกตนเอง จึงพยายามเก็บงำอารมณ์ แล้วยิ้มตอบ
“ถือเสียว่าข้าพลั้งปาก...แต่การดำทอราชสำนักก็เป็นเสมือนกับแกล้มสุราหลังมื้ออาหารอยู่แล้วไม่ใช่หรือข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
ฉางเกิงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วน จึงหาเรื่องเปลี่ยนบทสนทนาอย่างหัวไว ถามว่า
“แล้วช่วงสิบปีนับจากยกทัพพิชิตเหนือจนถึง ปราบปรามตะวันตกเล่า ใครเป็นผู้คุมค่ายเหล็กทมิฬหรือ"
“ไม่มีใครคุม” เส้นอี้ตอบ
“หลังจากยกทัพพิชิตเหนือ ค่ายเหล็กทมิฬก็ ซบเซาลง บ้างจากไป บ้างล้มตาย พวกคนเก่าแก่ที่ยังอยู่ในกองทัพล้วนท้อแท้ หมดสิ้นกำลังใจ สิบกว่าปีผ่านไป ยอดขุนพลทหารในเวลานั้นผลัดเปลี่ยนรุ่น ใหม่ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนใหม่มานานปีล้วนเก่าชำรุดหมดสภาพ จวบจนเมื่อหลายปีก่อนเกิดเหตุจลาจลในซีอวี้ ราชสำนักจนปัญญา จึงให้อันติ้งโหวรับภารกิจในยามวิกฤต รื้อฟื้นค่ายเหล็กทมิฬขึ้นใหม่ แต่แทนที่จะบอกว่าแม่ทัพกู้รับดูแลค่ายเหล็กทมิฬต่อ มิสู้กล่าวว่าเขาขัดเกลากองกำลังอันแข็งแกร่งขึ้นใหม่ที่ซีอวี้จะเหมาะสมกว่า หากเจ้ามีโอกาส จะลองศึกษาจากบทความของเขาในเวลานี้ก็ได้”
ฉางเกิงนิ่งอึ้ง
“หรือว่าอาจารย์เสิ่นเคยเห็นบทความในภายหลังของอันติ้งโหว?”
เสินอี้ยิ้มตอบ
“แม้จะหายาก แต่ก็มีหลุดลอดออกมาตามท้องตลาดบ้าง สักหนึ่งถึงสองฉบับ ล้วนกล่าวอ้างว่าเป็นลายมือจริง ส่วนจะจริงหรือปลอมนั้น ข้าเองก็ดูไม่ออก”
เขาเล่าพลางพ่นควันขาวออกจากปาก จากนั้นยกชามข้าวกับอาหารขึ้นโต๊ะ ฉางเกิงตาไวรีบขยับเข้าไปช่วย ตอนเขายกโจ๊กเดินเฉียดไหล่เสิ่นสือลิว กลับถูกตัวอมโรคผู้นั้นยื่นมือมาคว้าไหล่เขาไว้ก่อน
ฉางเกิงเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าเด็กทั่วไป จึงมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน แม้เนื้อตัวกระดูกจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ส่วนสูงเกือบไล่ตามพ่อบุญธรรมน้อยของเขาทันแล้ว ดังนั้นแค่เงยหน้าเล็กน้อยก็มองเข้าไปในดวงตาของสือลิ่วได้พอดี อันที่จริงแล้วสือลิ่วมีดวงตาดอกท้อตรงตามตำราคู่หนึ่ง แต่มีเพียงตอนทอดสายตามองอย่างไร้จุดหมายเท่านั้นถึงจะพอดูออกบ้าง เพราะยามเขาเพ่งสายตาจดจ่อ ดวงตาคู่นั้นก็คล้ายเหวลึกที่ปกคลุมด้วยม่านหมอก แลดูดำมืดจนอ่านอะไรไม่ออก
ฉางเกิงพลันใจสั่นลดเสียงลงต่ำ จงใจเอ่ยคำเรียกขานที่ปกติแล้วไม่ค่อยยอมใช้นัก
“พ่อบุญธรรม มีอะไรหรือ"
สือลิ่วเอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าเอาแต่คิดจะทำตัวเป็น วีรบุรุษ คนเป็นวีรบุรุษเคยมีจุดจบที่ดีด้วยหรือ ขอแค่เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีสุข กินอิ่มสวมใส่อุ่น นอนตื่นโดยปราศจากเรื่องทุกข์กังวลก็พอ นั่นคือชีวิตที่ดีที่สุด แล้ว ต่อให้ยากจนข้นแค้นหรือว่างไปบ้างก็ไม่เป็นไร”
โดยมากแล้วสือลิ่วมักแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ประจำ นาน ๆ จะพูด ภาษาคนยืดยาวสักครั้ง แต่พอเอ่ยปากกลับสาดน้ำเย็นใส้หน้าฉางเกิง คนพิการกึ่งหนวกกึ่งใบ้อย่างเขาย่อมปราศจากปณิธานอันสูงส่ง ไร้ซึ่งความฮึกเหิม แต่คำพูดชวนผิดหวังอย่างให้ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เช่นนั้น เด็กหนุ่มมีหรือจะยอมรับฟัง?
ฉางเกิงไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายดูแคลน จึงคิดในใจด้วยความขุ่นเคือง ถ้าขืนใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ อย่างท่าน ภายภาคหน้าใครจะหาเลี้ยงปากท้องคนในบ้าน ใครจะคอยดูแลท่านกินข้าวสวม เสื้อผ้า นี่มันคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอวโดยแท้
เขาปัดมือสือลิ่วทิ้ง เอ่ยอย่างขอไปที
“อย่าจับชี้ขั้ว ระวังโจ๊กจะหกลวก ท่าน"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments