ฉางเกิงยกชามยาที่ต้มเสร็จแล้ว เดินเข้าไปในห้องพ่อบุญธรรมของเขา
ในห้องของเสิ่นสือลิ่วมีแค่ตะเกียงน้ำมันที่กำลังส่องแสงสลัว ๆ เท่านั้น เปลวไฟเท่าเม็ดถั่วแลดูคล้ายหิ่งห้อยตัวน้อย เจ้าตัวกำลังนั่งพิงหน้าต่าง ใบหน้า กว่าครึ่งซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด เผยให้เห็นชัดเจนแค่บางส่วนเท่านั้น ดูท่าคงใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะเส้นสือลิ่วมิได้สวมกวาน เพียงปล่อยเส้นผมทิ้งตัว แผ่สยาย ตรงหางตากับติ่งหูมีแต้มไฝสีชาดเม็ดเล็ก ๆ คล้ายรอยเข็มตำ แสงสว่างอันน้อยนิดจากตะเกียงในห้องเหมือนถูกดึงมากระจุกรวมกันอยู่ตรงไฝสีชาดคู่นั้น จึงขับเน้นให้ดูเด่นสะดุดตายิ่ง
ยามมองคนท่ามกลางแสงตะเกียง มักแลดูงดงามกว่าปกติสามส่วน
ทุกผู้คนล้วนชมชอบสิ่งสวยงาม ต่อให้เคยเห็นจนชินตา ทว่าฉางเกิง ยังคงเผลอกลั้นหายใจไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขารีบกะพริบตาอย่างรวดเร็ว ราวกับต้องการสลัดภาพแต้มไฝสีชาดเด่นสะดุดตานั่นออกไปจากนัยน์ตา จากนั้นกระแอมให้ลำคอโล่ง แล้วกล่าวเสียงดัง
“สือลิ่ว ดื่มยา"
เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในช่วงเสียงแตกหนุ่ม เวลาพูดกับคนกึ่งหูหนวกจึง สิ้นเปลืองแรงไม่น้อย ดีที่คราวนี้เสิ่นสือลิ่วได้ยิน เสียงชวินชวนปวดปัสสาวะ ค่อยหยุดเงียบลง
กวาน คือ เครื่องประดับศีรษะของจีน เมื่อผู้ชายอายุครบยี่สิบปี จะมีพิธีสวมกวานเพื่อแสดงว่าบรรลุ นิติภาวะแล้ว
เสิ่นสือลิ่วหรี่ตาเพ่งมอง จนแยกแยะได้ว่าเป็นฉางเกิง
“ไม่รู้จักเด็กรู้จัก ผู้ใหญ่ เรียกใครกันหา"
อันที่จริงแล้วเขาอายุมากกว่าฉางเกิงแค่เจ็ดแปดปีเท่านั้น ยังไม่มีครอบครัว อาจเพราะตระหนักดีว่าตนเองเป็นเสมือนโคลนเหลวมิอาจก่อเป็นกำแพง จึงเตรียมใจไว้แล้วว่าคงหาภรรยามาตบแต่งด้วยไม่ได้ และต้องใช้ชีวิต โดดเดี่ยวไปจนตาย ดังนั้นเมื่อมีคนเสนอตัวยกบุตรให้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงเลี้ยงดูเช่นนี้ จึงแทบจับมัดติดตัวไว้ให้แน่น ยามว่างก็ชอบหยิบยกฐานะ “บิดา” ของตนเองมาตอกย้ำให้จำขึ้นใจ
ทว่าฉางเกิงหาได้สนใจไม่ ยกชามยาเดินเข้าไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ดื่มเสียตอนยังร้อน นี่ก็ค่ำแล้ว ดื่มเสร็จแล้วรีบนอนเถอะ"
เสิ่นสือลิ่ววางชวินลงด้านข้าง รับชามยามา
“เจ้าหมาป่าตาขาว เป็นบุตรข้าไม่ดีหรือ เสียแรงทำดีกับเจ้าจริง ๆ"
เขาดื่มยาได้โดยไม่รู้สึกกล้ำกลืนลำบาก เห็นได้ชัดว่าเคยชินแล้ว ยกกระดกดื่มรวดเดียวหมดชาม จากนั้นรับน้ำที่ฉางเกิงรินให้มาดื่มล้างปาก อึกสองอึก ก่อนโบกมือบอกพ่อแล้ว
“วันนี้มีตลาดนัดที่ด่านฉางหยาง ข้าเลยเอาของเล่นมาฝากเจ้า เข้ามานี่สิ”
กล่าวจบ เสิ่นสือลิวก็โน้มตัวลง ควานมือค้นหาใต้โต๊ะหนังสือให้วุ่น แต่เขามองเห็นไม่ชัด จึงต้องก้มลงต่ำเสียจนปลายจมูกแทบถูกับพื้นโต๊ะ ฉางเกิง เห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างระอาใจ
“หาอะไรหรือ ข้าหาให้"
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ฉางเกิงทนไม่ไหว บ่นอุบขึ้นมา
“ข้าโตป่านนี้แล้ว ท่านยังจะสรรหาของเล่นหลอกเด็กมาให้ข้าอีกทำไม”
แทนที่จะทำเช่นนั้นมิสู้ก่อเรื่องวุ่นวายให้มันน้อยลงหน่อย ข้าจะได้มีเวลาไปศึกษาอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้บ้าง...คำพูดประโยคหลังดังอยู่ในใจ ฉางเกิงรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว พอคำพูดมาถึงข้างปากก็รู้สึกว่าคงทำร้ายจิตใจคนฟังเกินไป จึงมิได้เอ่ยออกไป
เสิ่นสือลิ่วเป็นคนเสเพลที่ไม่เอาไหนสักอย่าง ทำตัวลอยชายไปวัน ๆ คนเดียวยังพอว่า กลับชอบลากฉางเกิงติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด ถ้าไม่เรียกเขาไปตลาดก็ต้องลากตัวเขาไปขี่ม้า มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ไปเก็บ 'ลูกสุนัข' จากที่ไหนมาให้เขาเลี้ยง...ครั้งนั้นทำเอาอาจารย์เสิ่นตกใจจนหน้าดำหน้าเขียวไปหมด เพราะเจ้าบอดนี่แยกแยะสุนัขกับหมาป่าไม่ออก ดันอุ้มลูกหมาป่า กลับมาเสียอย่างนั้น
นายกองสวีมักไม่อยู่บ้าน อีกทั้งเป็นคนไม่ค่อยพูดจา แม้จะดีกับ ฉางเกิงไม่น้อย แต่ก็มิได้คลุกคลีกับบุตรเลี้ยงมากนัก นับ ๆ ดูแล้ว ตลอด ช่วงสองปีสำคัญในวัยสิบสองสิบสามของฉางเกิง ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นข้างกาย พ่อบุญธรรมที่พึ่งพาไม่ค่อยได้อย่างเสิ่นสือลิ่วเสียมากกว่า
นับตั้งแต่เด็กน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาคมคาย เขาต้องพยายามข่มใจมากขนาดไหนถึงไม่โดนเสิ่นสือลิ่วชักนำให้เสียผู้เสียคน ไปก่อน
ฉางเกิงไม่อยากหวนคิด
เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยร่าเริงรักสนุก ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องวางแผนล่วงหน้า เวลาลงมือทำอะไรมักเคร่งครัดจริงจังมากเป็นพิเศษ ไม่ชอบให้ใครมารบกวน ดังนั้นจึงถูกเสิ่นสือลิ่วก่อกวนจนต้องหัวเสียอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็หัวเสียไม่ได้นานนัก เพราะเสิ่นสือลิ่วไม่ได้เอาเปรียบเขาด้วยคำเรียกขานเท่านั้น แต่ยังรักและเอ็นดูเขาเสมือนเป็นบุตรของตนจริง ๆ
มีอยู่ปีหนึ่งฉางเกิงป่วยหนัก นายกองสวีไม่อยู่บ้านเหมือนเช่นเคย หมอบอกว่าอาการน่าเป็นห่วงมาก พ่อบุญธรรมน้อยคนนี้นี่แหละที่อุ้มเขากลับบ้าน และคอยเฝ้าดูแลจนไม่ได้หลับได้นอนถึงสามวัน ทุกครั้งที่พ่อบุญธรรม สือลิ่วออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกล ไม่ว่าจะไปทำอะไรก็มักจะมีของ เล่นหรือขนมของว่างติดไม้ติดมือกลับมาฝากฉางเกิงเสมอ
ฉางเกิงไม่ชอบของเล่น แต่ไม่อาจไม่รักหัวใจที่มักจะคิดคำนึงถึงเขาอยู่เสมอ
สรุปว่าทุกครั้งเวลาฉางเกิงพบสือลิ่ว เพลิงโทสะมักลุกโชนติดง่ายกว่า ปกติ แต่ถ้าไม่เจอกันเลยก็เป็นต้องคิดถึงเสียทุกครั้งไป
บางครั้งฉางเกิงยังเคยคิดว่าแม้เสิ่นสือลิ่วจะเป็นพวกไหล่ไม่แบกหาม มือไม่หิ้วของ บุ๋นไม่ได้บู๊ไม่รอด แต่ต่อไปอาจจะมีใครสักคนมาถูกตาต้องใจ หน้าตาของเขาก็เป็นได้ ภายภาคหน้าเกิดพ่อบุญธรรมน้อยแต่งภรรยาสร้างครอบครัว และมีบุตรของตนเองแล้ว ยังจะคิดถึงบุตรบุญธรรมอย่างเขาคนนี้ อีกหรือไม่
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฉางเกิงก็รู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เขาค้นเจอกล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งจากโต๊ะของสือลิ่ว จึงสลัดความคิดเหลวไหลออกจาก หัว ก่อนยื่นกล่องส่งให้เสิ่นสือลิ่วโดยมิได้ใส่ใจมากนัก
“อันนี้หรือ”
เสิ่นสือลิ่ว
“ให้เจ้า ลองเปิดดูสิ”
คงเป็นง่ามไม้ยิงนก หรือไม่ก็เนยแข็งสักห่อกระมัง อย่างไรเสียก็คงไม่ใช่สิ่งของได้เรื่องได้ราวอะไร....ฉางเกิงเปิดดูโดยมิได้คาดหวังมากนัก ปากก็พร่ำบ่น
“มีเงินทองเหลือใช้ก็รู้จักประหยัดเสียบ้าง อีกอย่างข้าก็..."
อึดใจต่อมา พอฉางเกิงมองเห็นของในกล่องชัดถนัดตาพลันชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ในกล่องนั่นมีปลอกแขนเหล็ก!
“ปลอกแขนเหล็ก” ที่ว่านั้นแท้จริงแล้วเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเกราะเบาที่ ใช้กันในกองทัพ แค่สวมไว้ตรงข้อมือเท่านั้น ใช้งานสะดวกมาก ด้วยเหตุนี้จึงมักถูกถอดแยกออกมาใช้เพียงชิ้นเดียว ตัวปลอกแขนเหล็กมีขนาดกว้างประมาณ สี่ชุ่น” ด้านในสามารถซุกซ่อนใบมีดเล็ก ๆ ได้สักสามสี่เล่ม แต่มีดดังกล่าวต้องสั่งทำเป็นพิเศษ บางเฉียบดุจปีกจักจั่น จึงเรียกกันว่า “มีดปีกจักจั่น”
กล่าวกันว่ามีดปีกจักจั่นที่ดีที่สุดนั้น ยามกดกลไกในปลอกแขนเหล็ก ยิงออกไป มันสามารถตัดเส้นผมที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายจิ้ง “ขาดเป็นสองท่อนได้”
ฉางเกิงถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“นี่...ท่านเอามาจากไหนหรือ”
เสิ่นสือลิ่ว
“ชู่ว์...อย่าให้เสิ่นอี้ได้ยินนะ นี่ไม่ใช่ของเล่น ถ้าเขามาเห็นเข้า ประเดี๋ยวจะบ่นยืดยาวอีก...เจ้าใช้เป็นหรือไม่”
อาจารย์เสิ่นกำลังรดน้ำอยู่ในลานบ้าน อีกทั้งมิได้หูหนวก ย่อมได้ยิน เสียงคนในเรือนสนทนากันชัดเจน เขาลอบรู้สึกจนใจกับเจ้าคนกึ่งหูหนวกที่ชอบเอามาตรฐานของตนเองมาวัดผู้อื่นเสียจริง ๆ
ฉางเกิงเคยศึกษาวิธีถอดรื้อชุดเกราะเหล็กจากเสิ่นอี้มาบ้าง จึงสวมปลอกแขนเหล็กอย่างคล่องแคล่ว แต่แล้วกลับค้นพบความพิเศษอย่างหนึ่ง ของมัน
มีดปีกจักจั่นมิได้ผลิตขึ้นโดยง่าย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจึงพบเห็นน้อยมาก ปลอกแขนเหล็กในตลาดส่วนใหญ่ล้วนเป็นของเก่าที่โละออกมาจากกองทัพ ย่อมเป็นขนาดของบุรุษวัยฉกรรจ์ แต่อันที่เสิ่นสือลิ่วนำมาฝากนี้กลับ มีขนาดเล็กกว่าเท่าตัว จึงพอดีกับขนาดข้อมือของเด็กหนุ่ม
พอเห็นฉางเกิงนิ่งอึ้งไป เสิ่นสือลิ่วก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดจะถามอะไร จึงเอ่ยเสียงเนิบ ๆ
“ข้าได้ยินพ่อค้าบอกว่านี่เป็นของมีตำหนิ ไม่ได้มีปัญหาตรงไหน แค่ขนาดเล็กไปหน่อย เลยไม่มีใครสนใจ ถึงได้ขายให้ข้าแบบถูก ๆ ข้าเอง ก็ไม่ได้ใช้ เจ้าเอาไปเล่นเถอะ แต่ต้องระวังหน่อย อย่าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ”
ฉางเกิงทำหน้าดีใจอย่างที่น้อยครั้งจะแสดงให้เห็น
“ขอบคุณ...”
สือลิ่ว
“ขอบคุณใคร”
ฉางเกิงตะโกนทันที
“พ่อบุญธรรม!”
“แค่มีนมก็นับเป็นแม่ เจ้าเด็กแสบเอ๊ย”
เสิ่นสือลิ่วหัวเราะพลาง โอบไหล่ฉางเกิงพาเดินออกไป
“รีบกลับบ้านไป ช่วงเดือนผีเช่นนี้ อย่าออกไป วิ่งเพ่นพ่านข้างนอกยามค่ำคืน"
ฉางเกิงฟังแล้วค่อยนึกขึ้นได้ ที่แท้วันนี้ก็เป็นวันที่สิบห้า เดือนเจ็ด เขาเดินออกประตูข้างกลับเข้าบ้านตนเอง ตอนก้าวเข้าประตูบ้าน จู่ ๆ ก็รู้สึกว่า เพลงท่อนที่เสิ่นสือลิ่วเป่าชวินเมื่อครู่นี้ฟังคุ้นหูอยู่ไม่น้อย แม้จะเป่าเพี้ยนไปไกล แต่พอนึกย้อนให้ดีก็ฟังคล้ายเพลง “สู่สุขาวดี” ที่ชาวบ้านมักเล่นในงานศพเช่นกัน
“เป่าเพลงตามเทศกาลหรือ" ฉางเกิงครุ่นคิดเงียบ ๆ
เสิ่นสือลิ่วส่งฉางเกิงกลับไปแล้วก้มหน้าลง พยายามเพ่งสายตามองอยู่พักหนึ่ง ค่อยเห็นภาพธรณีประตูอยู่ราง ๆ จึงก้าวข้ามอย่างระมัดระวังเพื่อไป ปิดประตู อาจารย์เสิ่นที่ยืนรออยู่ในลานบ้านยื่นมือมาช่วยพยุงแขนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นพาเดินกลับเข้าไปในห้อง
อาจารย์เสิ่น
“ปลอกแขนทำจากเหล็กทมิฬเนื้อดีที่สุด มีดปีกจักจั่น สามเล่มด้านในยังเป็นผลงานที่ปรมาจารย์ชิวเทียนหลินผลิตขึ้นเองกับมือ นับตั้งแต่ปรมาจารย์ตายไปก็ไม่มีใครทำอีก...ช่างเป็นของมีตำหนิที่ค่าสูงควรเมืองจริง ๆ"
เสิ่นสือลิ่วมิได้โต้ตอบ
อาจารย์เสิ่น
“เอาเถอะ อย่ามาแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ใส่ข้าหน่อยเลย.... เจ้าคิดจะเลี้ยงดูเขาเป็นบุตรจริงหรือ”
“ย่อมจริง ข้าชอบเด็กคนนี้มีคุณธรรมดี”
ในที่สุดเสิ่นสือลิ่วก็ยอม เอ่ยปาก
“ท่านผู้นั้นก็คงจะมีความตั้งใจเช่นเดียวกัน...ภายภาคหน้าหากยกเด็กคนนี้ให้ข้าจริง ๆ คนพวกนั้นน่าจะยอมไว้วางใจ อีกทั้งตัวเขาเองก็จะได้ใช้ชีวิตสุขสบายขึ้นด้วย ออกจะเป็นเรื่องดีต่อกันทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
อาจารย์เสิ่นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“คงต้องทำให้เขาไม่เกลียดเจ้าเสียก่อน...เจ้าไม่วิตกเรื่องนี้บ้างเลยหรือ"
เสิ่นสือลิ่วหัวเราะ ยกชายเสื้อคลุม ผลักประตูเข้าไปในห้อง พลางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าชวนโดนต่อย
“คนเกลียดข้ามีถมไป”
ราตรีนี้ ลอยโคมในนทียามวิกาล ดวงวิญญาณหวนคืนสู่เคหา
ยังไม่ถึงยามอิ๋นดี ฉางเกิงก็ร้อนรุ่มจนรู้สึกตัวตื่นขึ้น แผ่นหลังขึ้นเหงื่อกางเกงชั้นในก็เปียกชุ่ม เด็กหนุ่มทุกคนเมื่อใกล้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ล้วนต้องเคย ผ่านเหตุการณ์ชวนแตกตื่นเช่นนี้กันทั้งนั้น...ต่อให้เคยมีคนช่วยชี้แนะมาก่อนก็ตาม แต่ฉางเกิงกลับไม่แตกตื่น และไม่ลนลานสักนิด ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาช่างเฉยเมยผิดปกติ แค่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นทำความสะอาดอย่าง ลวก ๆ สีหน้าแฝงความระอาน้อยนิดจนแทบมองไม่ออก
เขาเดินออกจากห้องไปตักน้ำเย็นมาถังหนึ่ง ราดรดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ขัดถูร่างกายที่กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโตรอบหนึ่ง ก่อนหันไปหยิบเสื้อผ้าที่วางพับไว้เรียบกริบข้างหมอนมาเปลี่ยน จากนั้นกระดกดื่มน้ำชาที่ชงทิ้งไว้ข้ามคืนหมดจอก แล้วเริ่มต้นศึกษาบทเรียนในวันนี้
ฉางเกิงไม่รู้ว่าครั้งแรกของคนอื่นเป็นเช่นไร แต่อันที่จริงแล้วเขาก็มิได้ฝันวาบหวามอันใดเลย
สิ่งที่เขาฝันเห็นคือทุ่งหิมะนอกด่านอันหนาวเหน็บจนทำให้ผู้คนแข็งตายได้
สายลมในวันนั้นดูคล้ายเส้นขนสีขาว พัดกระโชกรุนแรงอย่างไร้ปรานี เลือดยังไม่ทันไหลออกจากบาดแผลก็จับตัวเป็นน้ำแข็งเสียก่อน เสียงฝูงหมาป่า คำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังแว่วจากไกลเข้ามาใกล้ ทว่าประสาทดมกลิ่นที่สูญเสียประสิทธิภาพไปแล้วทำให้ไม่ได้กลิ่นคาวเลือด เพียงแค่สูดลมหายใจก็ ต้องสำลักความหนาวยะเยือกจนเสียดลึกถึงกระดูก ฉางเกิงแขนขาแข็งทือ และ ร้อนรนใจมาก คิดว่าตัวเองคงต้องโดนกลบฝังใต้กองหิมะเสียแล้ว
ทว่าเหตุการณ์กลับมิได้เป็นเช่นนั้น
ตอนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง พบว่ามีคนเอาเสื้อคลุมห่อตัวเขาแล้วอุ้มไว้ เขาจำได้ว่าคอเสื้อของคนผู้นั้นเป็นสีขาวสะอาดดุจดังหิมะ ในอ้อมกอดอวลกลิ่นสมุนไพรรสขมอยู่จาง ๆ พอเห็นเขาฟื้นคืนสติก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก แค่ล้วงขวดสุราส่งให้เขาดื่มอึกหนึ่ง
ฉางเกิงไม่รู้ว่านั่นเป็นสุราอะไร เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ลิ้มลองอีกเลย ตอนนั้นเขารู้สึกแค่ว่าสุราเผาดาบของนอกด่านยังไม่แรงเท่านี้ คล้ายกับมีลูกไฟร้อนผ่าวไหลวาบลงไปตามหลอดอาหารของเขา แค่จิบเพียงอึกเดียวก็จุดเลือดในกายของเขาให้เดือดพล่านขึ้นมา
คนผู้นั้นก็คือสือลิ่ว
ภาพในความฝันชัดเจนมาก วงแขนของสือลิ่วที่โอบอุ้มตัวเขาในฝัน คล้ายยังติดค้างอยู่บนตัว ฉางเกิงขบคิดหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี คนผู้นั้นมิใช่ตัวอมโรคหรอกหรือ เหตุใดตอนอยู่ในทุ่งหิมะอันน่ากลัวถึงได้มีวงแขนที่ทั้งแข็งแกร่งและมั่นคงเช่นนั้น
ฉางเกิงก้มหน้าลงมองปลอกแขนเหล็กตรงข้อมือแวบหนึ่ง ของสิ่งนี้ไม่รู้ว่าทำจากวัตถุดิบใด ยามสวมแนบกระชับแขน กลับไม่รู้สึกร้อนอบอ้าว ฉางเกิง อาศัยความเย็นเฉียบจากเนื้อเหล็ก นั่งรอให้จิตใจกับเลือดลมที่ปั่นป่วนสงบลง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา พลางสลัดความคิดเหลวไหลเรื่อง “ฝัน วาบหวามถึงพ่อบุญธรรม” ทิ้งไปจากนั้นจุดตะเกียงอ่านตำราเหมือนเช่นเคย
จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง “ครืน ๆ” มาแต่ไกล พื้นดินกับตัวบ้านหลังน้อยสั่นสะเทือน ฉางเกิงตกตะลึง ก่อนฉุกคิดขึ้นได้ ลองคำนวณวันดูแล้ว 'อินทรียักษ์' ที่ออกลาดตระเวนขึ้นเหนือคงใกล้เดินทางกลับมาแล้ว
“อินทรียักษ์” เป็นเรือลำใหญ่ยาวถึงห้าพันฉื่อ ด้านข้างตัวเรือลำนี้ยังมีปีกสองข้าง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ “ปีกเพลิง” นับพันนับหมื่นอัน ยามที่อินทรียักษ์บิน ปีกเพลิงทั้งหมดจะพ่นไอน้ำสีขาวออกมามากมายจนแลดูคล้ายห้วงฝัน ด้านในปึกเพลิงแต่ละอันจะเผาทองคำเหลวม่วงชามใหญ่ ซึ่งส่องแสงสีม่วงแดงวูบวาบอยู่ท่ามกลางม่านหมอก มองดูผิวเผินเหมือนโคมไฟนับหมื่นดวง
นับตั้งแต่พวกเป่ยหมานยอมก้มหัวถวายบรรณาการเมื่อสี่สิบปีก่อน
วันที่สิบห้า เดือนหนึ่งของทุกปี จะมีอินทรียักษ์จำนวนสิบกว่าลำบินออกจากเมืองสำคัญตรงชายแดนแล้วออกลาดตระเวนขึ้นเหนือ เพื่อแสดงแสนยานุภาพ โดยแต่ละลำล้วนมีเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว หากพวกชาวหมานมีความเคลื่อนไหวผิดปกติย่อมสังเกตเห็นได้ชัดเจน นอกจากออกปราบปราม และลาดตระเวนแล้ว อินทรียักษ์ยังทำหน้าที่คุ้มกันเครื่องบรรณาการจากพวกเป่ยหมานเผ่าต่าง ๆ ส่งกลับราชสำนักอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ทองคำ เหลวม่วง”
อินทรียักษ์ลำหนึ่งขนทองคำเหลวม่วงกลับมาจนเต็มลำก็เป็นจำนวน มากถึงเกือบล้านจิน เสียงฝีเท้าตอนขากลับย่อมหนักอึ้งกว่าตอนขาไปหลายส่วน ดังนั้นแม้จะอยู่ห่างกันไกลเกือบสามสิบลี้ก็ยังได้ยินปึกเพลิงกระพือลม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
การลาดตระเวนขึ้นเหนือของอินทรียักษ์จะเริ่มออกเดินทางในช่วงเดือนหนึ่ง เดินทางคราหนึ่งก็กินระยะเวลายาวนานถึงครึ่งปี ประมาณช่วงไฟลามทุ่ง ค่อยเดินทางกลับมา
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments