ฆ่าหมาป่า 1

ฆ่าหมาป่า 1

บทนำ พายุคลั่งก่อเกิดจากปลายจอกแหน (เรื่องราวใหญ่โตล้วนก่อเกิดจากเรื่องเล็กๆ)

บทที่ 1 ชายเเดน

เมืองเล็ก ๆ ตรงชายแดนนามเยี่ยนหุย มีเนินเขาแห่งหนึ่งเรียกว่า “เป็นขุนพล” ชื่อเสียงเรียงนามฟังดูน่าเกรงขาม แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียง เนินดินขนาดเล็กเท่านั้น หากลำคอยาวหน่อย แค่ขำเลืองตาเล็กน้อยก็มองข้าม ไปยังอีกฟากหนึ่งของเนินเขาได้

เนินขุนพลแห่งนี้มิได้มีมาแต่เดิม ตามตำนานเล่าขานกันว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน กองทัพอาชาอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเหลียงสามค่ายเหล็กทมิฬยกทัพ พิชิตเหนือ ปราบปรามอนารยชนสิบแปดเผ่าสำเร็จ ยามกองทัพหวนคืนราชสำนักเดินทางผ่านเมืองเยี่ยนหุย จึงถอดชุดเกราะสภาพชำรุดเสียหายทิ้งไว้ที่นั่น วางกองรวมกันแล้วสูงพะเนินเทียบได้กับเนินเขาขนาดย่อมเลยทีเดียว ต่อมาฝุ่นธุลีทรายกลบฝังวายุพัดโหมพิรุณซัดสาด จนกลายเป็นเนินขุนพล เฉกเช่นทุกวันนี้

เนินขุนพลเป็นเพียงเนินดินรกร้าง เพาะปลูกพืชผลไม่ขึ้น กระทั่งต้นหญ้ายังขาดแคลน จะมาลักลอบพลอดรักกันยังไร้ที่กำบัง สภาพโล้นเลี่ยน เตียนตั้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไร คนแก่เฒ่าเล่ากันว่าเป็นเพราะกองทัพ ค่ายเหล็กทมิฬฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก่อกรรมทำเข็ญหนัก จึงก่อให้เกิดพลังอาฆาต รุนแรง ทว่าวันเวลาเคลื่อนผ่านไป เหล่าอันธพาลว่างงานมิมีอันใดทำก็มักใช้ ที่นั่นเป็นบ่อกำเนิด เสกสรรปั้นแต่งตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีดุร้ายออกอาละวาดตรงชายแดน นานวันเข้าจึงไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนไปที่นั่นอีก ยามพลบค่ำวันนี้ กลับมีเด็กวัยสิบกว่าปีสองคนวิ่งตรงไปที่เนิน สองคนนี้หนึ่งผอมสูงหนึ่งอ้วนเตี้ย มองรวมกันแล้วคล้ายชามกับตะเกียบวิ่งไล่ตามกัน

คนผอมสูงแต่งกายเฉกเช่นดรุณีน้อย เมื่อพิศดูค่อยพบว่าแท้จริงแล้ว เป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง มีชื่อเล่นว่าเฉาเหนียงจื่อ เนื่องจากหมอดูทำนายว่าเดิมที เขามีดวงเป็นสตรี แต่มาเกิดผิดท้อง เกรงว่าสวรรค์อาจเรียกตัวกลับไปเกิดใหม่ ทางบ้านกลัวว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน จึงเลี้ยงดูเยี่ยงสตรีมาโดยตลอด

ส่วนคนอ้วนเตี้ยนั้นเป็นบุตรคนเล็กของคนขายเนื้อแซ่เก๋อ มีชื่อเล่นว่า เก๋อพั่งเสี่ยว ตัวคนสมดังนาม เนื้อตัวอ้วนท้วนผิวเป็นมันเลื่อมคล้ายเคลือบด้วยน้ำมัน

ทั้งสองคนยึดคอยาวมองเนินขุนพล ทว่าต่างก็หวาดกลัวตำนานภูตผีอาละวาด จึงไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปใกล้ที่นั่น

เก่อพั่งเสี่ยวกำกระบอกสำริด “เนตรพันลี้” อยู่ในมือ พลางชะเง้อคอมองไปทางเนินขุนพล ปากเอ่ยพึมพำ

“เจ้าว่าตะวันตกดินแล้ว เหตุใดยังไม่ลงจากเขาอีก พี่ใหญ่ข้านี่ก็จริง ๆ เลย...เขาเรียกอะไรนะ....แขวนคอทิ่มกัน!”

เฉาเหนียงจื่อ

“เขาเรียกว่าแขวนขื่อทิ่มขา ต่างหากเล่า เจ้าเลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว รีบส่งเนตรพันลี้ให้ข้าเร็ว”

(เเขวนขื่นทิ่มขา อุปมาถึงความพากเพียรอุสาหะ)

ดรุณีปลอมผู้นี้แสร้งแสดงละครบ่อยเสียจนติดเป็นนิสัยและดูสมจริงอย่างมาก ทว่าน่าเสียดายตรงที่ความสมจริงนั้นกลับมีปัญหา เพราะมันหาได้เหมือนกุลสตรีในห้องหอไม่ แต่ดูคล้ายสตรีกร้านโลกปากร้ายเสียมากกว่า โดยเฉพาะนิสัยชอบฟ้อนกงเล็บหยิกเนื้อคน พอเขายื่นมือออกมาร่างเจ้าเนื้อของเก๋อพั่งเสี่ยวพลันรู้สึกเจ็บแปลบนิด ๆ จึงรีบส่งเนตรพันสี่ให้ไป พร้อมกำชับ

“เจ้าก็ระวังหน่อย อย่าทำมันเสียหายล่ะ ประเดี๋ยวบิดาได้สับข้าเป็นหมูบะช่อแน่”

“เนตรพันลี้” ที่ว่านั้นเป็นกระบอกขนาดเล็กทำจากสำริด โดยรอบสลักลวดลาย “ห้าค้างคาว” ด้านในติดแผ่นกระจกไว้ เมื่อยกขึ้นมองส่องแนบดวงตา กระทั่งกระต่ายที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ก็สามารถมองเห็นชัดเจนว่าเป็นตัวผู้ หรือตัวเมีย เนตรพันลี้ของเก๋อพั่งเสี่ยวจัดทำอย่างประณีตเป็นพิเศษ เพราะเป็นสมบัติตกทอดจากปู่ที่เคยเป็นทหารสอดแนมมาก่อน

เฉาเหนียงจื่อถือไว้ในมือพลางพิศดูด้วยความแปลกตาแปลกใจอยู่ เป็นนาน ก่อนยกขึ้นมองส่องดวงดาว

“ชัดมาก”

เก่อฟังเสี่ยวมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป แล้วชี้ว่า

“ข้ารู้ นั่นเรียกว่า ดาวประจำเมือง หรือเรียกอีกอย่างว่า 'ฉางเกิง' ชื่อเดียวกับพี่ใหญ่ข้าเลย อาจารย์เสิ่นเคยสอนไว้ ข้าจำได้”

เฉาเหนียงจื่อเบ้ปาก

“ใครเป็น “พี่ใหญ่” ของเจ้ากันหา? เจ้าดูสิว่า คนอื่นเขาสนใจเจ้าด้วยหรือ หน้าด้านวิ่งไล่ตามก้นเรียกเขาเป็นพี่ใหญ่อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักอับอายบ้างหรือ...โอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าลองดูสิว่านั่นใช่เขาหรือไม่”

เก๋อพั่งเสี่ยวมองตามนิ้วที่อีกฝ่ายชี้นำไป ใช่จริงด้วย

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสะพายกระบี่ ก้มหน้าเดินดุ่ม ๆ ลงมาจากเนินขุนพล เก๋อพั่งเสี่ยวก็ราวกับลืมเลือนความหวาดกลัวภูตผีจนหมดสิ้น รีบร้อนวิ่งรี่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่!”

เขารีบร้อนวิ่งเกินไปทำให้ปลายเท้าสะดุดอะไรบางอย่างแถวตีนเนินขุนพลเข้าจึงหกคะเมนล้มกลิ้งกลุก ๆ ไปหยุดตรงข้างปลายเท้าเด็กหนุ่มพอดี เก๋อพั่งเสี่ยวเงยใบหน้าเปื้อนฝุ่นขึ้นมา แต่แทนที่จะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน กลับฉีกยิ้มโง่งมหวังประจบอีกฝ่าย พร้อมอ้าปากเอ่ย

“แหะ ๆ พี่ใหญ่ ข้ารอท่านตรงนี้มาทั้งวันแล้ว”

เด็กหนุ่มนามว่าฉางเกิงชักเท้าที่เกือบเหยียบตัวเก๋อพั่งเสี่ยวกลับไป อย่างเงียบ ๆ

ทุกครั้งที่เห็นเก๋อพั่งเสียว เขามักรู้สึกแปลกใจเสมอ และคิดว่าคนขายเนื้อแซ่เก๋อที่เคยฆ่าหมูมาแล้วนับพันตัวอาจจะมีตาทิพย์ก็เป็นได้ เพราะตลอดหลายปีมานี้ยังไม่เคยพลาดพลั้งจับบุตรของตนเองมาเชือดแทนหมูเสียที ทว่าฉางเกิงนั้นมีนิสัยสุขุมหนักแน่น ปากยิ่งสั่งสมบุญบารมี ไม่ว่าในใจจะคิด เช่นไรก็ไม่เคยเอ่ยปากทำร้ายผู้คน

ฉางเกิงวางตัวสมดังที่ถูกเรียกขานเป็นพี่ใหญ่ ยื่นมือไปพยุงเก๋อพั่งเสี่ยวให้ลุกขึ้นมา ทั้งยังช่วยปัดฝุ่นละอองที่เปรอะเปื้อนตามตัว

“วิ่งทำไม ระวังสะดุดล้มได้แผล มาหาข้ามีธุระหรือ”

เก่อฟังเสี่ยว

“พี่ใหญ่ฉางเกิง พรุ่งนี้พวกบิดาท่านจะกลับกันมาแล้ว พวกเราก็ไม่มีเรียนเช่นกัน เช่นนั้นท่านไปร่วมวงแย่งอาหารห่านกับพวกเราดีหรือไม่ รับรองว่าต้องเล่นงานพวกเจ้าลิงหลี่จนปัสสาวะราดได้แน่!”

บิดาของฉางเกิงคือนายกองสวี....ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่บิดาผู้ให้กำเนิด

ตอนฉางเกิงอายุประมาณสองสามปี เขาติดตามมารดาม่ายนาม ซิ่วเหนียงเดินทางมาหวังพึ่งพิงญาติพี่น้องที่นี่ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าญาติพี่น้องกลับอพยพครอบครัวโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว ทั้งสองจึงเดินทางมาเสียเที่ยว ประจวบกับคู่ชีวิตของนายทหารรักษาการณ์เมืองเยี่ยนหุยอย่างนายกองสวี ลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรโดยไร้บุตรธิดา เขารู้สึกพึงใจในตัวซิ่วเหนียง จึงสู่ขอนางมาเป็นภรรยาคนใหม่

เวลานี้นายกองสวีพาผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางออกนอกด่านไปขนเครื่องบรรณาการรายปีจากพวก “ชาวหมาน” (ชาวหมาน หมายถึง คนเถื่อน หรือพวกอนารยชน เป็นคำเรียกคนต่างแดนอย่างดูแคลน อาทิ เป่ยหมาน คือ พวกคนเถื่อนทางเหนือ หนานหมาน คือ พวกคนเถื่อนทางใต้ เป็นต้น)

ลองคำนวณดูแล้วน่าจะเดินทางกลับมาถึงตัวเมืองอย่างเร็วก็ภายในวันสองวันนี้

หมู่บ้านชายแดนยากจนขนแค้น พวกเด็ก ๆ จึงไม่มีของกินเล่น ดังนั้นทุกครั้งที่พวกทหารขนเครื่องบรรณาการกลับมาจึงมักจะนำเนยแข็งและ เนื้อตากแห้งของพวกชาวหมานติดไม้ติดมือมาด้วย เพื่อโปรยแจกข้างทาง ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดพวกเด็กซุกซนให้เข้ามาแย่งชิงกันทุกครั้ง นี่ก็คือ “การ แย่งอาหารห่าน” นั่นเอง ในเมื่อต้อง “แย่งชิง” กัน เด็กเหล่านี้จึงหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทได้ยาก ทว่าขอเพียงมิได้ต่อยตีกันจนแขนขาหัก พวกผู้ใหญ่มักไม่ค่อยสนใจ และปล่อยให้พวกเขาหาสมัครพรรคพวกมาแก่งแย่งกันเอง พวกเด็ก ๆ ในเมืองนี้ต่างรู้กันดีว่าเวลาไปแย่งอาหารห่าน ใครดึงตัวฉางเกิงเข้ากลุ่มได้ รับรองว่าไม่มีทางพ่ายแพ้เด็ดขาด

เพราะฉางเกิงตั้งใจฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างไม่เคยย่อท้อมาตั้งแต่เด็ก... ในเมืองชายแดนแห่งนี้มีครอบครัวทหารอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมี เด็ก ๆ ฝึกฝนวิชาการต่อสู้กันไม่น้อย ทว่าการฝึกวิชาการต่อสู้นั้นจำเป็นต้อง อดทนต่อความเหนื่อยยากและความลำบาก ทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยตั้งใจ ฝึกฝนอย่างจริงจัง จึงไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนัก มีเพียงฉางเกิงเท่านั้นที่นับตั้งแต่ วันเริ่มฝึกกระบี่ ก็ยังคงเดินทางขึ้นไปฝึกฝนวิชากระบี่บนเนินขุนพลตามลำพังทุกวัน ไม่เคยหยุดพักเลยตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ นับว่าเป็นผู้ที่มีความพากเพียรอุตสาหะสูงจนน่าทึ่งคนหนึ่ง

บัดนี้ฮางเกิงยังมีอายุไม่เต็มสิบสี่ดี แต่สามารถถือกระบี่หนักหกสิบกว่า จินได้ (จิน คือ หน่วยชั่งตวงวัดของจีน โดย 1 จินเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม )

ด้วยมือข้างเดียวแล้ว แม้เขาจะมีวิชาฝีมือติดตัว แต่ก็ไม่เคยเข้าร่วม วงต่อสู้วิวาทกับเหล่าเด็กซุกซน ทว่าเด็กพวกนั้นกลับมีท่าทีกลัวเกรงเขาโดยไม่ทราบสาเหตุ

ฉางเกิงฟังแล้วก็มิได้นำพา เพียงยิ้มตอบ

“ข้าโตป่านนี้แล้ว ยังจะให้ไปแย่งอาหารห่านอะไรอีก”

เก๋อพั่งเสียวยังพยายามอ้อนวอนต่อ

“ข้าอุตส่าห์ขออาจารย์เสิ่นแล้ว อาจารย์เสิ่นยังพยักหน้าอนุญาตให้เราหยุดเรียนกันได้ในช่วงหลายวันนี้”

ฉางเกิงเอามือไพล่หลังเดินต่อไปเรื่อย ๆ กระบี่หนักแกว่งไกวมา ตีกระทบน่องเป็นครั้งคราว แต่เขาก็มิได้สนใจฟังคำพูดของเด็ก ๆ อย่างเก๋อพั่งเสี่ยวแม้แต่น้อย เขาจะเรียนหรือไม่เรียนหนังสือ จะฝึกหรือไม่ฝึกกระบี่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับคำอนุญาตของ อาจารย์ไม่

เก๋อฟังเสี่ยว

“อาจารย์เสิ่นยังบอกอีกว่าเขาต้องเปลี่ยนยาให้ท่านอาสือลิ่วพอดี หลายวันนี้คงไม่อยู่บ้านเช่นกัน เพราะต้องออกจากบ้านไปหาซื้อสมุนไพร ไหน ๆ ท่านก็ไม่มีที่ไปแล้วก็ไปกับพวกเราเถอะนะ วัน ๆ เอาแต่ฝึกกระบี่ สนุกตรงไหนกัน”

ในที่สุดคำพูดประโยคนี้ก็กระตุ้นความสนใจจากฉางเกิงจนได้ เขาชะงักเล็กน้อยก่อนถาม

“สือลิ่วเพิ่งกลับมาจากด่านฉางหยางมิใช่หรือ เหตุใดจึง ล้มป่วยอีกเล่า"

เก่อฟังเสี่ยว

“อา...ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เขายังไม่หายดีสักที"

“เช่นนั้นข้าคงต้องไปดูเขาเสียหน่อย”

ฉางเกิงโบกมือไล่ผู้ติดตามน้อย ทั้งสองคน

“รีบกลับบ้านไปเสีย ฟ้าใกล้ค่ำเต็มที กลับไปไม่ทันอาหารเย็น ระวังบิดาเจ้าจะฟาดก้นเอา"

เก่อฟังเสี่ยว

“เอ่อ พี่ใหญ่ เรื่องนั้น...."

ฉางเกิงไม่สนใจฟัง “เรื่องนี้” “เรื่องนั้น” ไม่รู้จักจบจักสิ้นของอีกฝ่าย เด็กชายอายุเท่านี้ อายุมากกว่าหนึ่งปีก็คือหนึ่งปี ส่วนสูงกับความคิดอ่าน ย่อมผิดแผกกัน ฉางเกิงไม่อาจเข้าร่วมวงเล่นสนุกซุกซนกับพวกเก๋อพั่งเสี่ยวอีกต่อไปแล้ว เขาอาศัยความสูงกับช่วงขายาวของตนให้เกิดประโยชน์ แค่ชั่วพริบตาเดียวก็เดินทิ้งห่างไปไกลแล้ว

เจ้าอ้วนน้อยวิ่งมาเสียเที่ยวเปล่า ชักชวนคนเข้ากลุ่มไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนหันกลับไปถลึงตาใส่เฉาเหนียงจื่อ

“เจ้าก็ ช่วยพูดอะไรบ้างสิ!”

เฉาเหนียงจื่อหน้าแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอย สีหน้าบูดบึงตอนชี้บอกเมื่อครู่นี้เลือนหายไปหมดสิ้น เวลานี้กลับเอามือกุมอกทำท่าเหมือนดรุณีน้อยเพ้อรัก

“พี่ใหญ่ฉางเกิงของข้า แค่ท่าเดินยังน่าดูกว่าผู้อื่น”

เก๋อฟังเสี่ยวพูดไม่ออก หมายมั่นปั้นมือว่าต่อไปจะไม่ชวนเจ้าตัวตลก น่าขายหน้านี่มาด้วยอีกแล้ว

"อาจารย์เสิ่น” กับ “ท่านอาสือลิ่ว” ที่เก๋อฟังเสี่ยวกล่าวถึงนั้นเป็นพี่น้องกัน และเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับฉางเกิงมาก่อน

เมื่อสองปีก่อน ตอนฉางเกิงยังเยาว์วัยกว่านี้ เขาลอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกประตูเมืองตามลำพัง ทำให้พลัดหลงโดยไม่ทันได้ระวังตัว จึงไปเจอกับฝูงหมาป่าเข้า และเกือบโดนคาบตัวไปแล้ว เคราะห์ดีที่สองพี่น้องแซ่เสิ่น เดินทางผ่านมาพอดี จึงสาดผงสมุนไพรขับไล่ฝูงหมาป่าหิวโหยไป และช่วยชีวิต น้อย ๆ ของเขาเอาไว้ได้ ต่อมาสองพี่น้องตัดสินใจพำนักอยู่ที่เมืองเยี่ยนหุยต่อในระยะยาว นายกองสวีจึงแบ่งเรือนที่ยังว่างในบ้านให้พวกเขาพักอาศัยโดย ไม่คิดค่าเช่า เพื่อตอบแทนบุญคุณที่พวกเขาช่วยชีวิตฉางเกิงไว้

สองพี่น้องคู่นี้ คนพี่มีนามว่า “เสิ่นอี้” เป็นบัณฑิตสอบตกที่เข้าสอบมาหลายครั้งก็สอบไม่ผ่านสักที แม้ยังอายุไม่มาก แต่สิ้นหวังและหมดใจกับเส้นทางรับราชการเสียแล้ว จึงปลีกตัวมาใช้ชีวิตเป็นผู้ซ่อนเร้นกายในถิ่นทุรกันดาร เช่นนี้ ชาวบ้านร้านตลาดล้วนเรียกขานเขาอย่างยกย่องว่า “อาจารย์เสิ่น”

นอกจากอาจารย์เสิ่นจะมาใช้ชีวิตเป็นยอดคนผู้ซ่อนเร้นกายที่นี่แล้ว ยังรับหน้าที่เป็นทั้งหมอรักษาคน คนช่วยเขียนสาสน์ อาจารย์สอนตามบ้าน และ “ช่างกล” อีกด้วย เขามีความสามารถหลากหลายด้าน ไม่เพียงรักษา บาดแผลฟกช้ำได้ ยังทำคลอดให้แม่ม้าเป็น ตอนกลางวันเปิดสอนหนังสือในบ้าน สอนพวกเด็ก ๆ อ่านหนังสือเรียนรู้ตัวอักษร พอตกเย็นหลังจากไล่ พวกเด็ก ๆ กลับไปแล้ว ยังม้วนแขนเสื้อลงมือซ่อมแซมเครื่องจักรไอน้ำ ชุดเกราะเหล็ก และหุ่นจักรกลต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน เรียกว่า ซ่อนเร้นกายจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้จริง ๆ

อาจารย์เสิ่นทั้งรู้จักหาเงิน ทั้งดูแลบ้าน กระทั่งจุดเตาก่อไฟทำอาหารยัง ทำได้ดี เรียกว่าเก่งกาจไปเสียทุกด้าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้องชายของเขาไม่มี อะไรทำ นอกจากทำตัวเป็นคนไม่เอาถ่านไปวัน ๆ...น้องชายของอาจารย์เสีน มีนามว่า “เสิ่นสื่อลิ่ว” ได้ยินว่าสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทางบ้านเกรง จะเลี้ยงได้ไม่ถึงตอนโต จึงมิได้ตั้งชื่อจริงให้ เนื่องจากเขาเกิดในวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง จึงใช้คำว่า “สือลิ่ว” เป็นชื่อตัวไป

วัน ๆ สือลิ่วไม่อ่านตำราวิชาความรู้ ไม่ทำงานทำการอื่นใด ขนาดขวดน้ำมันล้มหกเรี่ยราดยังไม่รู้จักหยิบจับตั้งขึ้นมา กระทั่งถังน้ำยังไม่เคยเห็นเขาแบกหิ้วมาก่อน ถ้าไม่ออกไปเที่ยวตะลอนก็เอาแต่ดื่มสุรา ไม่เคยสนใจศึกษา ศาสตร์วิชาใด ๆ เรียกว่าแทบมองหาข้อดีไม่ได้สักอย่าง

นอกจากหน้าตาดีเท่านั้น

เขาหน้าตาดีมากจริงแท้ กระทั่งผู้เฒ่าอายุยืนในเมืองยังออกปากว่า เขามีชีวิตอยู่มาจนอายุเกือบเก้าสิบปี ยังไม่เคยพบเจอคนหนุ่มที่ไหนหน้าตาดี พร้อมสมบูรณ์เท่านี้มาก่อน

แต่น่าเสียดายว่าต่อให้หน้าตาดีสักแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี...เพราะ เสิ่นสือลิ่วเคยป่วยหนักในวัยเยาว์ ไข้ขึ้นสูงจัดจนส่งผลเสียต่อร่างกาย ดวงตา สามารถมองเห็นสิ่งของชัดเจนเพียงแค่ในระยะสองฉือ เท่านั้น หากเดินถอยห่างออกไปสักสิบก้าว กระทั่งว่าเป็นบุรุษหรือสตรียังแยกแยะไม่ออก นอกจากนี้แล้วยังหูตึงอีกด้วย เวลาจะสนทนากับเขาทีก็ต้องตะโกนกรอกหูทุกวัน เวลาเดินผ่านหน้าประตูบ้านเสิ่น แม้จะมีกำแพงสวนขวางกั้น แต่ยังได้ยินคนสุภาพนุ่มนวลเป็นนิจอย่างอาจารย์เสิ่นแผดเสียงตะโกนใส่เขาราวกับสุนัขคลั่ง สรุปว่าเสิ่นสือลิ่วเป็นตัวอมโรคที่ทั้งหูหนวกและตาบอดนั่นเอง

หากอาศัยรูปร่างหน้าตาของเขา เดิมที่สามารถใช้ชีวิตเป็นเจ้าหนุ่ม หน้าขาวเกาะภรรยาฐานะร่ำรวยอยู่กินดีมีสุขได้ ทว่าน่าเสียดายที่ในเมืองเล็ก ๆ ตรงชายแดนเช่นนี้ นอกจากผียาจกก็มีแต่เทพยาจกเท่านั้น ต่อให้เซียนสวรรค์ลงมาที่นี่เองยังเลี้ยงดูเขาไม่ไหว

นอกจากนี้แล้วตามธรรมเนียมในท้องถิ่น หากผู้ใดมีบุญคุณใหญ่หลวง จนยากจะตอบแทนหมดสิ้น มักใช้วิธีกราบไหว้อีกฝ่ายเป็นพ่อบุญธรรม ถ้ามีลูกหลานให้ลูกหลานกราบไหว้ แต่ถ้าไม่มีลูกหลานก็กราบไหว้เสียเอง สองพี่น้องแซ่เสิ่นช่วยฉางเกิงจากคมเขี้ยวหมาป่า นับว่ามีบุญคุณช่วยชีวิต ดังนั้นฉางเกิงย่อมต้องกราบไหว้หนึ่งในสองคนเป็นพ่อบุญธรรม

อาจารย์เสิ่นร่ำเรียนตำรามามากจนสมองมีปัญหา รีบโต้แย้งทันทีว่า ไม่เหมาะสม ทั้งยังยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมรับเด็ดขาด กลับเป็นน้องชายของเขาท่านสือลิ่วที่ยอมรับได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งจัดแจงเปลี่ยนคำเรียกขาน เป็น “เจ้าลูกชาย” ในทันที

เช่นนี้แล้ว จอมเสเพลเสิ่นสือลิ่วจึงเป็นฝ่ายได้กำไรมหาศาล...เพราะถ้า ตัวอมโรคที่ดีแต่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไปวัน ๆ เกิดตกทุกข์ได้ยากในภายภาคหน้า ฉางเกิงก็ต้องรับเลี้ยงดูเขาไปจนตายนั่นเอง

ฉางเกิงเดินทะลุผ่านสวนบ้านตนเองอย่างคุ้นเคยดี จากนั้นเลี้ยวออกประตูข้างไปก็ถึงบ้านอาจารย์เสิ่นแล้ว บ้านสกุลเสิ่นมีบุรุษหนุ่มโสดเพียง สองคนเท่านั้น กระทั่งไก่ตัวเมียสักตัวยังจะไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องระมัดระวังผู้ใด แต่ไหนแต่ไรมาฉางเกิงก็เดินเข้าออกตามใจชอบ กระทั่งประตูยังไม่เคาะให้เสียเวลา

พอสาวเท้าเข้าไปในลานบ้าน กลิ่นยาสมุนไพรกับเสียงชวิน ก็ดังแว่วออกมา

อาจารย์เสิ่นกำลังนั่งขมวดคิ้วเคี่ยวยาอยู่ในลานบ้าน เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีลักษณะเช่นเดียวกับบัณฑิตทรงภูมิ สวมเสื้อคลุมยาวตัวเก่า หน้าตายังไม่แก่ แต่เพราะชอบขมวดคิ้วอยู่เป็นนิจ จึงแลดูเย็นชาไปบ้าง

เสียงชวินลอยออกมา( ชวินเป็นเครื่องคนตรีประเภทเป่าอย่างหนึ่ง ทำด้วยดินเหนียว ลักษณะเหมือนขวดกลม ๆ มีรูเป๋าที่ปากขวด ด้านข้างจะมีอีกหลายรูสำหรับใช้นิ้วปิดเปิดเปลี่ยนเสียง )จากในห้อง แสงสลัวของตะเกียงส่องกระทบตัวคนเป่าซวิน ปรากฏเป็นเงาสูงโปร่งบนหน้าต่าง แม้ฝีมือการเป่าจะไม่เลว แต่ก็ฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร และมักจะมีอยู่สองสามเสียงที่เป่าไม่ดัง กลายเป็นเสียงลมเสียงบอด จึงฟังดูอ่อนล้าปนวังเวงอย่างประหลาด ถ้าบอกว่านี่เป็นเสียงดนตรี อาจต้องฝืนใจสักนิด ฉางเกิงเงี่ยหูฟังอยู่

ครู่หนึ่ง พลางคิดว่าหากจำเป็นต้องเอ่ยชมจริง ๆ คงกล่าวได้แค่ว่าเขาร้องคร่ำครวญได้ชวนหวนไห้มาก

เสิ่นอี้ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ส่งยิ้มให้ฉางเกิง ก่อนตะคอกเสียงเข้าไปในห้อง

“พ่อบรรพบุรุษเอ๊ย โปรดยั้งปากไว้ไมตรีด้วยเถิด ข้าแทบปัสสาวะราดเพราะ เสียงเป่าของเจ้าแล้ว ฉางเกิงมา!”

คนที่กำลังเป่าชวินแสร้งทำหูทวนลม แต่ดูจากความสามารถในการรับฟังเสียงของเขาแล้ว คิดว่าคงจะไม่ได้ยินจริง ๆ

ฉางเกิงฟังแล้วรู้สึกว่าผู้เป่าชวินมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ไม่คล้ายคนล้มป่วย จึงรู้สึกโล่งใจไปกว่าครึ่ง ก่อนเอ่ยถาม

“ข้าได้ยินเก๋อพั่งเสี่ยวบอกว่าอาจารย์ ต้องเปลี่ยนยาให้สือลิ่ว เขาเป็นอะไรหรือ”

อาจารย์เสิ่นมองยาสมุนไพรที่ต้มเคี่ยวจนเริ่มออกสี พลางเอ่ยด้วยความขุ่นเคืองนิด ๆ

“มิได้เป็นอันใด แค่เปลี่ยนฤดูกาลเท่านั้น สี่ฤดูใช้ตัวยาแตกต่างกัน โรคนี้ต้องคอยประคบประหงมให้ดี ปรนนิบัติเอาใจยากนัก...จริงสิ เจ้ามา ได้จังหวะพอดี ไม่รู้วันนี้เขาไปได้ของเล่นอะไรมา เห็นว่าพรุ่งนี้เข้าจะเอาไปให้ เจ้าพอดี รีบเข้าไปดูเถอะ”

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!