กราบเท้าฉันสิคะนายน้อย
“ดารินทร์อยู่ไหน?” สุรเสียงเอ่ยถามสาวรับใช้ใบหน้าซีดเซียวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ใบหน้านิ่งขรึมยังคงสงบราบเรียบ
“……” ไม่ทันได้รับคำตอบ
“มาถึงก็ร้องเรียกหายัยแวมไพร์เลือดสกปรกนั่นเลย คิดถึงยัยนั่นมากถึงเพียงนี้ หึ…” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนเขาทุกระเบียบนิ้วยิ้มเยาะ จะเป็นใครไปไม่ได้หากมิใช่ ราอูล มัวล์ เอนส์เวิร์ธ น้องชายฝาแฝดที่ไม่ค่อยจะลงรอยของเขานั่นเอง
“……” ฟาร์อูล พยักหน้าเชิงสั่งให้สาวรับใช้ถอยร่นออกห่างวงสนทนา
“ฉันไม่ได้ถามแกฉะนั้นอย่าเสือก” ฟาร์อูลเอ่ยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ไม่รู้ทำไมเจ้าราอูลจึงจงเกลียดจงชังดารินทร์นัก ตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเท้าเข้ามาเป็นคนของตระกูลเอนส์เวิร์ธ เจ้าน้องชายตัวดีก็คอยตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่เข็ญสารพัด สงสารก็แต่มนุษย์สาวที่พึ่งแปรเปลี่ยนมาเป็นเผ่าพันธุ์แวมไพร์อย่างดารินทร์
นอกจากจะต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ ยังจะต้องรับมือกับเจ้าน้องชายฝาแฝดที่แสดงท่าทีปฏิปักษ์ชัดเจน
“ก็ไม่ได้อยากจะเสือกแค่ขัดหูขัดตาก็เท่านั้น” ราอูลแสยะยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวราวกับกระดาษตัดกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อทำให้ดูไม่จืดชืด ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้าของพี่ชายด้วยใบหน้าเรียบนิ่งคาดเดายาก ทว่ารู้สึกเย็นยะเยือกในเวลาเดียวกัน
“มึงรังแกดารินทร์อีกแล้ว?” ฟาร์อูลเลิกคิ้วสงสัยในตัวน้องชาย
“ใครใช้ให้มึงรับมนุษย์สกปรกเข้าตระกูล ช่วยไม่ได้ก็กูรังเกียจพวกมนุษย์โง่เง่า” ราอูลไม่ชอบใจนักกับนิสัยเมตตาอารีย์ของพี่ชายฝาแฝด
“ท่านแม่สอนมึงให้มีจิตใจคับแคบพาล เกลียดคนโน้นคนนี้ไปทั่วรึ?”
“……” เขาไม่ตอบ ราอูลหยักไหล่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินผ่านไป
ตระกูลแวมไพร์ เอนส์เวิร์ธ เป็นตระกูลแวมไพร์สายพันธุ์ดุร้ายที่สุดพอๆกับตระกูล เอเธอนอล เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในวัฎจักรสิ่งมีชีวิตของโลกที่อยู่มาช้านาน
พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่เปิดเผยตัวตนอาศัยซื้อเลือดจากตลาดมืดเพื่อดำรงชีวิต ปราศจากการเข่นฆ่าเผ่ามนุษย์ตามข้อตกลงของผู้นำตระกูลและรัฐบาล
ผู้นำตระกูลเอนส์เวิร์ธ มาร์โคล พร้อมภรรยา มิเชล มัวล์ เอนส์เวิร์ธ เป็นแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์สายปกครอง ผู้เป็นบิดามารดรเข้าสู่ช่วงจำศีลหลับไหลมานานกว่าสิบปีแล้ว
พวกเขาทั้งสองต้องใช้เวลาจำศีลเพื่อฟื้นฟูพลังและคงสภาพร่างกายให้เยาว์วัย อีกเพียงสามเดือนจึงจะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมา จึงมอบหมายตำแหน่งผู้นำให้แก่ลูกชายทั้งสอง
ปกติเขาและราอูลไม่ค่อยลงรอยเป็นทุนเดิม หลังเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนเขาได้ช่วยเหลือสาวน้อยวัยยี่สิบปีที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมครอบครัว ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูนอนหายใจรวยริน เธอบาดเจ็บสาหัส ด้านพ่อแม่ของเธอเสียชีวิตคาที่
“ฉันไม่สามารถช่วยพ่อแม่ของเธอได้แล้ว หากยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ดื่มเสีย” ฟาร์อูลใช้มีดกริชกรีดข้อมือเป็นทางยาว หยาดเลือดสีเข้มหยดลงบนริมฝีปากอวบอิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งลมหายใจรวยรินกลับมาเป็นปกติ นัยตาสีน้ำตาลคาราเมลแปรสภาพกลายเป็นสีนิลเฉกเช่นชายหนุ่มผู้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ต่อไปนี้เธอคือคนของตระกูลเอนส์เวิร์ธโปรดจำให้ขึ้นใจไม่ใช่มนุษย์สาวอีกแล้ว”
สามเดือนก่อน
ค่ำคืนพายุลมกระโชกแรงในฤดูร้อนช่วงต้นเดือนเมษายน พายุฤดูร้อนในปีนี้แปรปรวนหนักกว่าทุกปีทำให้เกิดพายุฝนพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ท้องฟ้าสีเพลิงเปร่งประกายแสงแลบวาบพร้อมกับเสียงครึกโครมสนั่นหวั่นไหว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผมสีขาวดุจเกร็ดหิมะมัดหางม้าสภาพเปียกโชกโอบอุ้มมนุษย์สาวแรกแย้ม ทั่วร่างเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบดินโคลนผสมคราบเลือดเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่
“ไปตามหมอประจำตระกูลมา” ฟาร์อูล นายน้อยใหญ่ตระกูลเอนส์เวิร์ธหันไปบอกมือขวาคนสนิท
“ผมตามมาแล้วครับอีกสักเดี๋ยวคงถึง” อัวริโต้ก้มโค้งท่าทีสงบเสงี่ยม เขาสังเกตุมองมนุษย์สาวผู้นี้ที่นายน้อยเป็นคนช่วยชีวิต อายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบต้นทว่าความสวยสะดุดตากลับโดดเด่นมีออร่าเกินกว่าใคร
ร่างกายเธอมีกลิ่นอายของนายน้อยฟาร์อูล นายน้อยคงไม่ได้เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นแวมไพร์ ฝ่าฝืนกฎของตระกูลหรอกนะ...
“นายน้อยครับผมมีคำถาม”
“ว่าไง”
“ทำไมนายน้อยถึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอฝืนชะตาชีวิตมนุษย์ ตระกูลของเราเคร่งครัดกฎข้อนี้มากนะครับ ขืนนายท่านและนายหญิงรู้เข้านายน้อยจะไม่ถูกลงโทษหรอครับ” มือขวาคนสนิทมีสีหน้าลำบากใจไม่น้อยกับการตัดสินใจของผู้เป็นนายในครั้งนี้
“เธอเป็นคนของตระกูลเราแล้วอัวริโต้ เธอดื่มเลือดของฉันแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้” ดวงตาสีนิลทอดมองหญิงสาวด้วยแววตาอบอุ่น เขาเองก็ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รู้สึกเอ็นดูเธอ หากแต่ความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกหวังดีที่ไม่ใช่ความรู้สึกฉันชู้สาวก็เท่านั้นเอง
“ผมเกรงว่ามันจะมีผลกระทบตามมาทีหลัง”
“ฉันเป็นคนเริ่มย่อมยอมรับผลที่ตามมา ไม่ต้องกังวลใจไปหรอก เธอน่าสงสารนะ...ต่อไปนี้เธอจะอยู่ในบ้านหลังนี้ในฐานะน้องสาวบุญธรรมของฉัน” ฟาร์อูลเปล่งเสียงหนักแน่น ประกาศก้องให้ทุกคนภายในบ้านรับรู้โดยทั่วกัน
หมอประจำตระกูลเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมอุปกรณ์การรักษา พลางสอดส่องว่าใครเป็นอะไรจึงปลุกเขาตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนี้
“ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนครับลุงโจ” ฟาร์อูลก้มโค้งท่าทีนอบน้อมแสดงความจริงใจต่อผู้อาวุโสของตระกูล
“ใครเป็นอะไรล่ะหืม?” โจนาธาน หมอประจำตระกูลเอนส์เวิร์ธ ลูกพี่ลูกน้องของนายท่านมาร์โคล
“น้องสาวบุญธรรมของผมเองครับ รบกวนช่วยรักษาให้หน่อยนะครับ”
“น้องสาวบุญธรรม?”
“ครับ ไว้ผมค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลังนะครับ”
“อืม...”
โจนาธานแวมไพร์สายรักษาลงมือตรวจเช็คอาการของสาวน้อยแรกแย้มตรงหน้า คิ้วหนาขมวดสลับมองพ่อหลานชายตัวดี แวมไพร์วัยกลางคนส่ายหน้ารู้สึกหนักใจ ดูท่าหลานชายของเขาจะก่อเรื่องเข้าแล้ว
“อาการของเธอปลอดภัยดีผลพวงมาจากการใช้เลือดแวมไพร์บริสุทธิ์แปรเปลี่ยนสภาพร่างกายมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ อธิบายมาสิว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร” ผู้เป็นลุงเอ่ยถามหลานชายน้ำเสียงวิตกกังวล เขาทราบดีถึงกฎเกณฑ์ปฏิบัติของตระกูล
“ผมบังเอิญเจอเธอประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตคาที่”
“เอ็งก็เลยหอบลูกสาวชาวบ้านมาแล้วเปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์อย่างนั้นรึฟาร์อูล แล้วเรื่องศพพ่อแม่เธอล่ะจัดการอย่างไร” หลานชายคนนี้อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัว คอยดูเถอะปัญหาที่ตามมาเป็นพรวนยาวยิ่งกว่าขบวนรถไฟเสียอีก
“เรื่องนั้นผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับลุงโจ”
“ไปเอาใครก็ไม่รู้เข้ามาในตระกูลสุ่มสี่สุ่มห้า นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าแค่เห็นว่าสวยก็จับเข้ามานะฟาร์อูล” โจนาธานตักเตือนด้วยความเป็นห่วง ด้วยนิสัยโผงผางของลูกพี่ลูกน้องของเขา หากรู้เรื่องเข้าคงเอ็ดตะโรจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ลุงเห็นผมเป็นสมภารกินไก่วัดหรอครับ ผมเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวจริงๆ” ฟาร์อูลยืนยันหนักแน่น
“เอาเถอะเรียนผูกก็ต้องรู้จักเรียนแก้ เธอฟื้นขึ้นมาก็สอนวิธีขั้นพื้นฐานให้เธอปรับตัวใช้ชีวิตประจำวันให้ได้ก็แล้วกัน ลุงไปล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่งครับลุง”
“ไม่ต้องหรอกแค่นี้เอง”
“ขอบคุณมากนะครับลุงโจ ขออภัยที่รบกวนเวลานอนอีกครั้งครับ”
“......” มือหนายกสะบัดทีนึงแทนคำตอบ
หญิงสาวหลังจากฟื้นตื่นลุกขึ้นมาด้วยความงุนงง เธอลืมตาตื่นนอนขึ้นมาในบ้านของใครก็ไม่ทราบ ท่าทีระแวดระวังภัยของเธอเสมือนกระต่ายน้อยตัวเล็กคอยหลบซ่อนจากภยันตราย
ความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบคือเธอและครอบครัวกำลังเดินทางกลับบ้าน ขณะพายุฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย บดบังทัศนียภาพการขับรถ หลังฉลองงานเกษียณของผู้เป็นบิดา
โครมม!!
เสียงรถยนต์เสียการทรงตัวกระแทกอัดก็อปปี้ต้นไม้ใหญ่ริมทาง เสียงในหูอื้ออึ้ง ร่างกายเจ็บแปลบก่อนจะชาไปทั่วร่าง หยาดเลือดไหลรินลงมาจนดวงตาพร่ามัว
ก่อนลมหายใจในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตจะดับสิ้น เธอเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งหยิบยื่นหนทางรอดให้เธอด้วยแววตาอบอุ่น
“เธอชื่ออะไร” น้ำเสียงอ่อนนุ่มเอ่ยถามเธอฉุดเธอตื่นจากภวังค์
“ดะ...ดารินทร์ค่ะ”
“ฉันฟาร์อูล เรียกพี่ฟาร์อูลก็ได้ ขอแสดงความเสียใจเรื่องพ่อแม่ของเธอด้วย เธอมีญาติพี่น้องที่ไหนอีกหรือเปล่า?”
“......” เธอส่ายหน้าเล็กน้อย
“เดี๋ยวฉันจะเป็นธุระจัดการเรื่องพิธีศพของพ่อแม่เธอ เธออยากไปร่วมงานไหม?”
“อยากค่ะ” ดวงตากลมโตน้ำตาคลอเบ้าพยายามสะกัดกลั้นไม่ให้ไหลรินล่วงหล่นลงมา พ่อแม่คือครอบครัวเพียงสองคนที่เธอมีอยู่บนโลกนี้ สิ้นพวกท่านทั้งสองแล้วเธอรู้สึกเคว้งคว้างหาทางออกไม่เจอ
“เดี๋ยวเราไปกัน”
“ไม่เป็นไรยังมีฉันอยู่ต่อไปนี้เธอคือน้องสาวของฉัน ไม่ต้องกลัวอะไร...” เขาอ่านสีหน้าของเธอออก เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าอยู่บนโลกใบนี้เพียงคนเดียว มือหนาวางลงบนศรีษระเล็ก เขาลูบผมหนายาวสลวยราวกับต้องการปลอบประโลม
“......” เธอใจชื้นอยู่บ้าง อย่างน้อยเธอก็ยังพอโชคดีเจอคนจิตใจดีคอยอุปถัมภ์ เธอจะไม่มีวันลืมบุญคุณของเขาเลย
หลังพิธีฌาปนกิจร่างบิดามารดาเธอต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตประจำวันในฐานะแวมไพร์ โดยมีอาหลิน สาวใช้แวมไพร์ที่คอยบอกและสอนเธอในสิ่งที่ควรจะรู้ เธอให้ความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
ข้อแรกเลยที่เธอทึ่งคือแวมไพร์สามารถเดินกลางแดดได้ ไม่เหมือนในนิทานที่เธอเคยฟังมา เพียงแต่ว่าหากแดดจ้าจนเกินไปจะทำให้เลือดกำเดาไหลได้
ข้อสองแวมไพร์สามารถดื่มเลือดจากแก้วได้โดยไม่ต้องไปกระซวกขย้ำคอใคร เธอค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ข้อสามแวมไพร์สามารถดื่มเลือดแวมไพร์ด้วยกันเองได้ แต่ไม่สามารถรับรสชาติอาหารทั่วไปของมนุษย์ได้
ข้อสี่แวมไพร์สามารถสมสู่กับมนุษย์ได้แต่ไม่สามารถมีลูกร่วมกันได้ เนื่องจากเป็นกฎของตระกูลเพื่อคงรักษาสายเลือดบริสุทธิ์
ข้อห้าแวมไพร์มีสามสาย 1.สายปกครอง 2.สายรักษา 3.สายต่อสู้ แวมไพร์ทุกตนมีพลังจิตแตกต่างกันไปตามฐานะของตนเอง ส่วนเธอนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองคือสายไหน
ข้อที่หกห้ามเปิดเผยสถานะของตนเองต่อหน้ามนุษย์ ห้ามเข่นฆ่ามนุษย์ตามมติสัญญาลงนามมนุษย์และแวมไพร์
“กฎเยอะแยะเต็มไปหมดเลยอาหลิน” ดารินทร์บ่นพึมพำเสียงอู้อี้ในลำคอ
“เธอเป็นเลือดผสมตนเดียวในตระกูลย่อมต้องเคร่งครัดเรื่องกฎ จะได้ไม่มีใครมาตราหน้าเธอให้เสียถึงนายฟาร์อูลได้” อาหลิน สาวใช้คนสนิทของเธอเอ่ย
“อืมเข้าใจแล้ว”
“เอ้ะ...” อาหลินชะงักชั่วครู่ก่อนมองเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดี กระแสจิตแข็งกร้าวส่งเรียกตามเนื้อความของผู้ส่ง
“นายน้อยราอูลเรียกเธอเข้าพบ”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?” นายน้อยราอูลเธอพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างแล้ว เขาคือน้องชายฝาแฝดพี่ฟาร์อูลผู้ชอบเก็บตัวเงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร จะว่าไปเธอก็ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาเขามาก่อน
“เธอซวยแล้วนะสิดารินทร์” อาหลินกรอกตาไปมา ไม่รู้จะช่วยหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้งอาหลิน ฉันควรจะไปทำความรู้จักกับนายน้อยราอูลบ้างตามมารยาท”
“อย่าโลกสวย นายน้อยราอูลนะดุจะตายไปไม่เหมือนนายน้อยฟาร์อูลสักนิด เดี๋ยวเธอจะเข้าใจรีบไปอย่าให้นายน้อยรอนาน”
“จ๊ะอาหลิน ฉันจะรีบกลับมานะ”
“พระเจ้าคุ้มครองนะดารินทร์!”
“เธอทำตัวตลกนะอาหลิน คิก..คิก” หญิงสาวไม่รู้ชะตากรรมของตนเองจึงส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา ขณะที่อาหลินลอบกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ เธออดเป็นห่วงดารินทร์ไม่ได้จริงๆ
ภายในห้องทำงานสีดำทะมึนปราศจากแม่สีอื่นคุมโทน ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่ฟาร์อูลของเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน หากแต่ทรงผมของเขานั้นเสยขึ้นลุคคุณชาย ขณะทรงผมของพี่ฟาร์อูลนั้นไว้ยาวมัดรวบสไตล์ผู้ชายเซอร์ เขานั่งไขว้ห้างเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวโปรด
“นายน้อยเรียกดารินทร์มาพบมีอะไรให้รับใช้หรอคะ” หญิงสาวสอดประสานฝ่ามือวางด้านหน้า ใบหน้าสวยก้มมองต่ำไม่กล้าอาจสบตาชายหนุ่ม
“ฉันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ใครอนุญาตให้เธอยืนค่ำหัวผู้ใหญ่ไม่มีมารยาท!” ร่างสูงตะคอกใส่เธอเสียงดัง ร่างเล็กสะดุ้งโหยงสุดแรง
“ขอโทษค่ะนายน้อย ดารินทร์ไม่รู้ความ นายน้อยโปรดให้อภัย” เธอคุกเข่าย่อลงกับพื้น ก้มหน้างุดรู้สึกกลัวจับใจ
“ก็แค่อยากเห็นพวกเลือดสกปรกที่ไอ้ฟาร์อูลมันรับเลี้ยงก็เท่านั้น” น้ำเสียงเย้ยหยันเอ่ยกระทบเธออย่างดูถูกดูแคลน
“......” ดารินทร์หน้าชา ไม่คิดว่าเธอจะถูกต้อนรับด้วยคำพูดเหล่านี้
“ทำไมเงียบล่ะมันแทงใจดำอย่างนั้นหรอ? คิดจะจับไอ้ฟาร์อูลหวังตำแหน่งนายหญิงของตระกูลสินะ ฉันรังเกียจพวกผู้หญิงที่ใช้ร่างกายเข้าแลก!”
“นายน้อยเข้าใจผิดแล้วค่ะ ระหว่างเราสองคนเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ”
“ฉันไม่ได้ยินคลานเข่าเข้ามาพูดใกล้ๆ ให้ฉันได้ยิน” ราอูลออกคำสั่งด้วยสีหน้าเงียบขรึม ดวงตาคมเฉียบมองหญิงสาวที่กำลังก้มหน้างุดตรงหน้า
“......” ร่างบางลังเลใจไม่กล้าเข้าใกล้ ก่อนจะทำทีแข็งใจคลานเข่าเข้าใกล้เขา กลิ่นอายจากกายแกร่งทำเธออกสั่นขวัญแขวน เธอเว้นระยะห่างจากเขาไม่มากนักแต่ก็ใกล้พอที่จะลอบมองร่างสูง
“พูดอีกที”
“เราสองคนเป็นเพียงพี่น้องที่หวังดีต่อกันจริงๆค่ะ ไม่มีอะไรแอบแฝง นายน้อยอย่าได้กังวลไปเลยนะคะ”
“อ๋อ...จะหมายความว่าไม่ได้เป็นนายหญิงก็ไม่เป็นไรถึงอย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวของนายน้อยตระกูลเอนส์เวิร์ธอยู่ดี เธอฉลาดดีนะ” รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมยกยิ้มบริเวณมุมปาก มองจ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็ง
“นายน้อยเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะคะ ดารินทร์ต้องทำยังไงนายน้อยถึงจะเชื่อคะ”
“ไม่ต้องทำไงหรอกแต่ต่อไปนี้ฉันจะทำให้เธอไม่มีความสุขในบ้านหลังนี้ จนต้องเป็นฝ่ายเก็บข้าวของออกไป” สุรเสียงเข้มแข็งกล่าววาจาเฉือดเฉือนเธอ เขาไม่มีทางยอมให้พวกเลือดสกปรกมาเกาะตระกูลเขาแบบมีความสุขหน้าตาย
“......” เธอเงียบฟังวาจาบาดหูด้วยท่าทีสงบนิ่ง พูดไปเขาก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี
“หึ...คิดจริงๆหรอว่าฉันจะรับเธอเข้ามาเป็นคนในตระกูล พวกเลือดสกปรกคู่ควรแล้วหรอ”
ซ่าา!
แก้วชาน้ำร้อนไอระอุถูกสาดปะทะร่างบางจนเนื้อตัวบวมแดง ดารินทร์รีบสะบัดหยดน้ำร้อนออกจากร่างพัลวัน ผู้ชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนักถึงกับทำร้ายผู้หญิงได้ลงคอ
“ไอ้ราอูล!” บานประตูไม้สักถูกเตะออกพร้อมน้ำเสียงเดือดดาลตะคอกดังกึกก้อง ใบหน้าหล่อเหลาตึงเครียดขบกรามสันจนเส้นเลือดปูด
“วิ่งโร่มาปกป้องเชียวนะ” ราอูแสยะยิ้มมองฮีโร่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments