ตอนที่ 2
บ่อบัวบึงขนาดใหญ่ขอบเขตใกล้เทือกเขามีบัวหลวงบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวนชวนหลงใหล คุณประโยชน์ของกอบัวเหล่านี้มากล้น ทั้งยังสร้างเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำแก่เจ้าของไม่น้อย อาจจะด้วยเพราะบัวเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกสัดส่วน บึงบัวรายล้อมด้วยสัตว์น้ำนานาชนิดที่เจ้าของนำมาปล่อยเลี้ยงไว้เป็นอาหาร กลีบดอกบัวยามเบ่งบานสีสวยชวนมอง หญิงสาวนางหนึ่งพายเรือไล่เก็บดอกบัวตามยอดสั่งซื้อของแม่ค้าในตลาดพลางเชยชมความงามของเหล่าดอกบัวหลากสี
มือเรียวเอื้อมไปดึงก้านดอกบัวตรงหน้า ทว่าฝ่ามือยามจุ่มลงน้ำกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างคล้ายเส้นผมยาวสลวย เธอรีบชักมือกลับมาก่อนเพ่งเล็งสิ่งผิดปกติใต้บึงบัว ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย เมื่อเห็นว่ามันเป็นหนึ่งในวัชพืชใต้น้ำ
หมู่นี้บรรยากาศบึงบัวหลังบ้านวังเวงชอบกล แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อย สุนัขที่เลี้ยงไว้ก็พากันมาเห่าหอนตามริมขอบสระโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำเอาเธอขนลุกขนพองไม่กล้ามาเหยียบบริเวณหลายวัน หากไม่ใช่เพราะวันนี้แม่ค้าเจ้าประจำสั่งดอกบัวตูมหลายกิโล เธอคงไม่คิดก้าวขาลงเรือมาเก็บดอกบัวให้เป็นแน่ ครั้นจะให้ผู้เป็นพ่อที่อายุมากแล้วมาเก็บเธอก็กระไรอยู่ เงาตะคุ่มใต้ท้องเรือว่ายวนเวียนจนน้ำกระเพื่อมระลอกใหญ่ทำให้เรือที่แน่นิ่งเริ่มโคลงเคลง ดวงตากลมโตมองระลอกน้ำที่แผ่เป็นวงกว้างด้วยหัวใจเต้นระส่ำ วัชพืชใต้ผืนน้ำแผ่ขยายใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนคล้ายเรือนผมยาวของหญิงสาว
“บุหงา บุหงาเอ้ย...” เสียงแหบพร่าของตาบัวเจ้าของบึงบัวบ่อใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านคุ้มงาม เท้าสะเอวชะเง้อคอร้องเรียกหาลูกสาวบริเวณหลังบ้าน หลังล่วงเลยเวลามานานตั้งแต่มาบอกกล่าวว่าจะไปเก็บดอกบัวส่งให้แม่ค้าในตลาด
“จ๋าพ่อ” เธอสะดุ้งโหยง บุหงาเงยหน้ายกมือปาดหยาดเหงื่อเย็นบริเวณกรอบหน้า ก่อนหันมองพ่อที่ยืนรออยู่บนสะพานไม้
เธอขยี้ดวงตาทั้งสองข้างใต้ผืนน้ำพลันปรากฎเป็นวัชพืชดังเดิม ฝูงปลาแหวกว่ายทวนกระแสน้ำ อวดลีลาลวดลายของตนกันยกใหญ่ เรือโคลงเคลงกลับมาแน่นิ่งบุหงาสลัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะรีบพายเรือกลับเข้าฝั่ง หลังเห็นดอกบัวเพียงต่อจำนวนสั่งซื้อและจำนวนที่จะนำไปไหว้พระที่วัดในวันพรุ่งนี้
“เย็นนี้เอากับข้าวไปให้พ่อครูเป็นเพื่อนพ่อหน่อยนะ” เสียงแหบตามวัยของตาบัวเอ่ย พร้อมเอื้อมไปประคองลูกสาวเพียงคนเดียวขึ้นจากเรือ แกดันแผ่นหลังของบุหงาให้เดินนำพร้อมหันใบหน้าเหี่ยวย่นมองกลับหลังไปยังบึงบัวที่แกรัก ด้วยหมู่นี้แกรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างเหมือนมีสิ่งเร้นลับอาศัยอยู่ใต้ผืนน้ำอันเงียบสงบของแก มิเช่นนั้นคงไม่ร้อนใจรีบมาตามบุหงา แกใช้โอกาสนี้ทำทีไปเยี่ยมเยียนพ่อครู หากมีอะไรดั่งที่แกสังหรณ์ใจพ่อครูคงไม่ปล่อยผ่าน
“แกตายไปแล้วพ่อจะให้ฉันเอาไปให้ทำไมจ๊ะ” เธอนิ่วหน้างุนงงกับคำพูดของพ่อ ชาวบ้านลือกันหนาหูว่าแกโดนของเข้าตัวทำให้เลือดออกทั้ง 8 ทวาร ธาตุแตกสิ้นชีพต่อหน้าลูกศิษย์ลูกหาที่คอยรองมือรองเท้า เธอก็อยากไปร่วมงานฌาปนกิจอยู่หรอกหากไม่ติดกิจธุระพอดิบพอดี เธออยากไปส่งพ่อครูแต่ถูกผู้เป็นพ่อห้าม ให้เหตุผลว่าพ่อครูตายเพราะของเข้าตัว ในยามฌาปนกิจของที่เหลืออยู่อาจจะยังไม่สิ้นกลายเป็นลมเพลมพัด จึงให้บุหงาคอยเฝ้าที่เรือน
“แกฟื้นแล้ว เอากับข้าวไปให้พ่อครูเป็นเพื่อนพ่อที อย่างน้อยแกก็เคยช่วยเหลือเรา” ตาบัวพลันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เมียของเขาถูกผีปอบเข้าสิง ก็มีแต่พ่อครูที่ยื่นมือช่วยเหลือขจัดปัดเป่าผีร้ายให้ แม้ว่าจะสายเกินแก้ หมอผีคนอื่นที่เขาว่าเก่งนักเก่งหนา เมื่อรู้ว่าสุดทางรอดจึงประวิงเวลาคอยสูบเงินทองของตาบัว มีเพียงพ่อครูเพลิงแม้จะพูดจาขวานผ่าซากบอกตามตรงว่าหมดหนทางรอดเพราะกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ อีผีปอบมันกัดกินอวัยวะภายในของแม่บุษบาหมดแล้ว ทำได้เพียงผ่อนปรนความเจ็บปวดและให้แม่บุษบาจากไปอย่างสงบโดยไม่คิดเงินสักบาท ภายหลังการจากไปของแม่บุษบาพ่อครูบุกไปกำราบเจ้าของปอบจนทำให้ผีปอบอีหมอกถูกทำลาย บุญคุณครานั้นตาบัวจำไม่รู้ลืม
“ฟื้น? พ่อหมายความว่าไงจ๊ะ” เสียงหวานถามสีหน้าตื่นตระหนก
“แกตายแล้วฟื้นนะสิ” ตาบัวพูด
“พ่อพูดจริงหรือจ๊ะคนเราตายแล้วฟื้นได้ด้วยหรอ”
“พ่อจะโกหกเอ็งทำไม”
“จ๊ะ เดี๋ยวเย็นนี้บุหงาเตรียมกับข้าวแล้วจะเรียกพ่อจ๊ะ” แม้นจะอยากถามเซ้าซี้ผู้เป็นพ่อแต่เธอเลือกที่จะเก็บงำความสงสัย อยากไปเห็นกับตาเนื้อว่าพ่อครูเพลิงผู้ที่มีบุญคุณต่อครอบครัวของเธอนั้นตายแล้วฟื้นจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอก็ยิ่งสงสัยว่าเขาได้เจอกับแม่บุษบาของเธอบ้างหรือเปล่า
“ขอบใจมากลูก” ผู้เป็นพ่อตบบ่าเล็กลูกสาว
ตาบัวยืนเฝ้าลูกสาวจำแนกสายบัวจนเสร็จบริเวณหลังบ้านท่ามกลางแสงแดดจ้าด้วยความเป็นห่วง เขาเหลือบุหงาเพียงคนเดียวจึงหวงแหนยิ่งชีพ คอยดูแลเคี่ยวเข็ญบุหงาให้อยู่ในกรอบศีลธรรม แม้ว่าหญิงสาวในวัยเดียวกันกับลูกสาวของเขาจะตบแต่งออกเรือนไปบ้างแล้ว บางคนก็เปลี่ยนผัวเสมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า สร้างความอับอายให้แก่ครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน
“พ่อจะมายืนเฝ้าทำไมจ๊ะแดดร้อนเผาเนื้อหมดแล้ว” มือนุ่มยกหมวกสานสวมลงบนศรีษระหนาสีดอกเลาของผู้เป็นพ่อ ด้วยอายุอานามใกล้จะแปดสิบทำให้สุขภาพร่างกายเริ่มถดถอย เรี่ยวแรงที่เคยมีก็เสื่อมถอยตามสภาพ ด้วยเพราะร่างกายของแม่บุษบาเจ็บออดๆ แอดๆ มานาน กว่าจะมีลูกได้อายุตาบัวก็ปาไปเกือบหกสิบ เดชะบุญที่ได้เมียเด็กกว่าเกือบยี่สิบปี มิเช่นนั้นคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าโซ่ทองคล้องใจคนนี้ บุหงาหน้าตาสะสวยเหมือนผู้เป็นแม่สาวสุพรรณ ได้ผิวขาวนวลเนียนทางพ่อที่ย้ายถิ่นฐานมาจากลำพูน
“มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน เอ็งยิ่งเป็นที่หมายตาของพวกเสือสิงห์ พ่อไม่วางใจ...” ตาบัวเอ่ยอย่างหนักใจ นับวันชายหนุ่มพากันแวะเวียนมาขายขนมจีบไม่เว้นว่าง ทำให้ตาบัวต้องไล่ตะเพิดเสียวุ่นวาย ครอบครัวใครก็อยากมาเกี่ยวดอง เห็นบุหงามันเป็นเด็กขยัน แม้จะมีดื้อซนตามประสา แต่ลูกสาวของเขาก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางให้ปวดใจ หากบุหงานิสัยเหมือนอีแหวนไม่แคล้วต้องโดนหวายประเคนลงกลางหลังจนเนื้อปริแตกกันไปข้าง
นางบุหงาเกิดมามีหน้าตาสะสวยผิวพรรณงามตั้งแต่น้อย ไปที่ใดก็มีแต่คนรักใคร่เอ็นดูมัน ได้ขนมน้ำหวานกลับบ้านทุกครั้งที่กลับจากโรงเรียน หลังจบมัธยมต้นตาบัวก็ไม่คิดส่งลูกสาวเข้าไปเรียนในเมือง ให้เธอออกมาช่วยงานถึงอย่างไรทรัพย์สมบัติของเขาก็ต้องตกเป็นของบุหงาอยู่ดี จะส่งไปร่ำเรียนให้เป็นขี้ข้าเขาทำไม บางคนพ่อแม่ส่งไปร่ำเรียนท้องโย้กลับมาบ้านอีกต่างหาก แม้นบุหงาจะสวยสะคราญราวกับมีนะเมตตาติดตัวแต่กำเนิด ทว่าความโชคดีนี้ย่อมนำพามาซึ่งหายนะแก่มันในสักวัน สวยจนเป็นภัยแก่ตนเองเขาพึ่งเข้าใจก็ตอนที่ลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยสาว ผู้เป็นพ่อได้แต่คิดไม่ตก เขาจะวางใจก็ต่อเมื่อบุหงามันตบแต่งออกเรือน
“พ่อพูดเหมือนฉันทำตัวเป็นหญิงงามเมือง” บุหงาหรี่สายตามองพ่อก่อนจะเกาะแขนกำยำที่สักอักขระล้านนาเต็มสองแขน เธอรู้ความกังวลของตาบัวดี จึงใฝ่ดีรักนวลสงวนตัว ไม่ใคร่อยากรู้อยากลองความรักของหนุ่มสาว เพราะทุกครั้งก็มักจะเห็นอีหอมและอีแหวนฟูมฟายทั้งน้ำตา กลับมาให้เพื่อนอย่างเธอคอยปลอบใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากมีความรักแล้วมันจะเจ็บออกปานนั้นก็อย่ามีเลยจะดีกว่า
ตาบัวชื่นชอบและร่ำเรียนไสยเวทย์สายขาวจากทางล้านนาบ้านเกิดมาบ้างประปรายก่อนจะมาพบรักกับแม่ของเธอที่สุพรรณบุรี อาคมสายขาวคอยปัดเป่าเภทภัยและรักษาอาการเจ็บไข้ของบุหงาในบางครั้งบางคราว ตอนเด็กเธอมักจะชอบถามพ่อว่าพ่อเป็นพ่อผี แต่มักจะโดนผู้เป็นพ่อเขกศรีษระกลับมา
“พ่อไม่วางใจพวกเสือสิงห์กระทิงแรดมันต่างหาก วันๆ จ้องแต่จะเจ็บเอ็งทำเมีย พอเอ็งเริ่มแตกเนื้อสาวพวกผีทะเลก็แวะเวียนมาไม่ขาดสาย พ่อไม่อยากได้พวกกุ๊ยเป็นลูกเขย” ตาบัวคว้านยาสูบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ บุหงาจุดไม้ขีดไฟส่งมอบให้พ่ออย่างรู้งาน ริมฝีปากเหี่ยวย่นพ่นกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งลอยคละคลุ้ง
“พ่อคิดมากไปแล้ว บึงบัวก็อยู่หลังบ้านเราแค่นี้พ่อจะลามไปเรื่องนั้นให้ตัวเองกังวลทำไม พวกมันมาเกี้ยวฉันแต่ฉันไม่เล่นด้วยซะอย่าง เดี๋ยวบุหงาไปทำกับข้าวก่อนนะจ๊ะพ่อ” พ่อของเธอคงจะหมายถึง สิงห์ ลูกกำนันเกื้อ ตัวตั้งตัวตีจับกลุ่มเป็นอันธพาลกินเหล้าเมายาเคล้านารีทำตัวเถลไถลไปวันๆ คอยผลาญเงินของพ่อที่ร่ำรวยผิดหูผิดตาหลังได้ดำรงตำแหน่งกำนัน คงจะมีเงินใต้โต๊ะจากกองกลางเลี้ยงจนอู้ฟู่ทั้งพ่อและลูก ไม่เช่นนั้นลูกชายคงไม่ทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ให้ชาวบ้านเอือมระอา
“รีบไปเถอะ”
อาหารพื้นบ้านเรียบง่ายไข่เจียว ปลาแดดเดียวทอดกรอบ แกงส้มผักบุ้งนาใส่ปลาช่อน ตบท้ายด้วยน้ำพริกตาแดงที่เธอตำเองจนเนื้อเนียนละเอียด ถูกบรรจุลงในปิ่นโตหลายชั้นสีไข่ พ่อครูเพลิงเป็นคนชอบกินอาหารเรียบง่ายไม่ต้องหรูหรามากมาย แม้อาหารที่เธอทำจะเทียบไม่ติดกับเมนูอาหารเหลาบนภัตตาคารที่เหล่าลูกศิษย์ลูกหานำมาประเคนถึงที่ แต่ถึงอย่างนั้นกับข้าวบ้านๆ เหล่านี้พ่อครูเพลิงก็ฟาดเรียบเสียทุกครั้ง
“กับข้าวเสร็จแล้วจ๊ะพ่อ”
“งั้นไปกันเลย...” ตาบัวรีบร้อนอยากไปดูอาการพ่อครูที่เคยช่วยเหลือครอบครัวในอดีต แม้นว่าชาวบ้านจะยำเกรงหรือเกรงกลัวคุณไสยของพ่อครูไม่ทราบแน่ แทบไม่มีใครในหมู่บ้านเฉียดกรายเข้าใกล้บ้านไม้ทรงไทยหลังนั้นเลย นอกเสียจากคนต่างถิ่นที่แวะเวียนไม่ขาดสาย ทุกปีพิธีไหว้ครูจะถูกจัดอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ลูกหาจัดจ้างวงดนตรี คณะลิเก นางรำชื่อดัง ซุ้มแจกอาหารหลายสิบร้านเทียบเท่างาดวัดกันเลยทีเดียว
บุหงาสวมเสื้อทรงกระบอกความยาวถึงข้อแขน นุ่งผ้าซิ่นตีนจกสีน้ำตาลแดงเดินตามหลังตาบัวอย่างสงบเสงี่ยมซ่อนความซุกซนภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง ทั้งสองเดินตามทางจนมาถึงบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่โอ่อ่า ช่วงเวลาปกติลูกศิษย์ลูกหาเต็มตำหนัก คอยปรนนิบัติพัดวีให้พ่อครูไม่ขาดสาย บัดนี้ตำหนักที่เคยครึกครื้นกลับปิดประตูเงียบเชียบ ทำเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย
“ทำไมปิดบ้านเงียบจัง” หญิงสาวกระพริบตาถี่ พ่อของเธอมักจะมาพูดคุยกับพ่อครูเป็นประจำ เธอจำเป็นที่จะต้องติดสอยห้อยตามมา ทำให้พ่อจะรู้จักลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายแหล่อยู่บ้าง หนึ่งในคนที่เธอสนิทที่สุดก็คือ มิ่ง ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนมือขวาของพ่อครู
“อ้าวตาบัวหวัดดีจ๊ะ” มิ่งเดินลงบันไดมาพอดิบพอดีรีบยกมือไหว้ผู้อาวุโส สองแขนหิ้วรูปปั้นหน้ายักษ์รวมถึงเครื่องรางของขลังวัตถุอาถรรพ์มหาเสน่ห์โลกีย์พะรุงพะรังเต็มอ้อมแขน ยังไม่รวมบางชิ้นที่อยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง
“นั่นเอ็งจะไปไหน ข้าเอากับข้าวมาให้” ตาบัวชี้นิ้วมาทางปิ่นโตความสูงห้าชั้นสีไข่ในมือลูกสาว
“เอาของพวกนี้ไปเผาทำลายที่วัดจ๊ะ” มิ่งยกวัตถุอาถรรพ์ของรักของหวงของพ่อครูให้ตาบัวดู ชายชราถึงกับผงะอึ้ง ของแต่ละชิ้นกว่าพ่อครูจะบุกบ่าฝ่าฟันเอามาได้เลือดตาแทบกระเด็น บางชิ้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉียดตายเพื่อให้ได้มันมาทั้งนั้น อยู่ๆ เกิดตัดใจสั่งให้ไอ้มิ่งหอบเอาไปทิ้งทำลาย สิ่งใดหนอเปลี่ยนใจพ่อครูผู้ทรงสิทธิ์
“เอ็งล้อข้าเล่นหรือ” ตาบัวฉงน เหลือบมองเจ้าของเงาร่างใหญ่บนตำหนัก
“ตาบัวก็ขึ้นไปถามพ่อครูเองสิจ๊ะ หลังฟื้นตื่นขึ้นมาก็เอะอะโวยวายจะเผาทำลายของพวกนี้ให้หมด ฉันห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง” มิ่งถอนหายใจพรืดใหญ่เหนื่อยหน่ายใจยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าพอเขาเอาไปเผาทำลายแล้วจะเกิดนึกครึ้มอยากได้คืนอีก
“เออทำดีๆล่ะ...” ตาบัวได้แต่ย้ำเตือนให้มิ่งระวังตน สิ่งของเหล่านี้อบอวลไปด้วยมนต์ดำผสานความอาฆาตพยาบาท หากไม่ระมัดระวังสิ่งที่สิงสู่ในวัตถุอาถรรพ์เหล่านั้นอาจจะย้อนมาทำลายผู้ครอบครองได้
“จ๊ะตาบัวเดี๋ยวฉันกลับมากินข้าวนะบุหงาเหลือไว้ให้ฉันด้วย” มิ่งหันมาพูดกับหญิงสาว เขาส่งยิ้มจนตาหยี ไม่วายโดนตาบัวตวัดหางตามองดุ
“ไอ้มิ่งนี่มึงก็ไม่เว้นลูกกูไว้คนหนึ่งไอ้ห่าเปรต!”
“ตาบัวก็หวงเกิ๊นนน”
“ได้จ๊ะพี่มิ่ง”
บุหงาพยักหน้ารับก่อนจะรีบดันหลังพ่อขึ้นตำหนัก หากแวะพูดคุยกับพี่มิ่งนานกว่านี้หน่อย เกรงว่าผู้เป็นพ่อจะกร่นด่าพี่มิ่งเสียงดังไปเจ็ดบ้านแปดบ้านตามประสาแก เรื่องตาบัวหวงลูกสาวเหมือนจงอางหวงไข่ใครๆ เขาก็รู้
องค์พญามัจจุราชกายาใหญ่ภายในร่างกายเนื้อของพ่อครูเพลิงนอนเอนกายบนฟูกนอนนุ่นอย่างผ่อนคลาย หลังสั่งไอ้มิ่งนำของต่ำกลิ่นเหม็นน่าเวียนหัวเหล่านั้นไปเผาทำลาย เปลือกตาหนาลืมตามองผู้มาเยือนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
‘ใครมันกล้ามารบกวนเวลาพักผ่อน’
หญิงสาวนั่งลงพับเพียบก้มกราบพ่อครูด้วยท้วงท่าสง่าอ่อนหวาน ยามใบหน้าสวยหมดจดเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวเนื้อมีรอยสักอักขระวิชาทั่วแผ่นหลังและแผงอก ลมหายใจอุ่นร้อนสะดุดติดขัดทำราวกับว่าไม่เคยเจอกันเสียนั้น
“ลีลาวดี” พ่อครูเพลิงลุกขึ้นมานั่งยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเพ่งมองหญิงสาวด้วยสายตาเคลือบแคลง
กลิ่นเหม็นคาวตีขึ้นมาปะทะจมูกโด่งสัน คิ้วหนาเข้มขมวดนิ่วชนกัน เหตุใดบนกายเนื้อของนางมีกลิ่นสาปสางของภูติผี กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงจนเจ้าของร่างใหญ่ถึงกับผงะถอยร่นเล็กน้อย ก่อนจะสืบสาวหาความเป็นมาของกลิ่นนี้ หากมิใช่เพราะคลุกคลีอยู่กับภูติผีทุกวันคงเป็นไปได้ยากที่ส่งกลิ่นรุนแรงถึงเพียงนี้
“บุหงาเองจ๊ะไม่ใช่ลีลาวดี”
“ขยับเข้ามาใกล้ข้า”
“มีอะไรหรือพ่อครู” ตาบัวเอ่ยถามหลังเห็นพฤติกรรมผิดแปลกไป ดูท่าพ่อครูจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างเหมือนที่ตาบัวสงสัย
บุหงาหมอบคลานเข่าเข้าไปใกล้พ่อครูหนุ่มที่สีหน้าดูไม่ค่อยจะดี มือสากช้อนคางมนเกยขึ้นมา ใบหน้าคมคายก้มโน้มสูดดมกลิ่นกายจากเนื้อสาว ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดพวงแก้มเนียนจนใบหน้าร้อนผ่าว เธอกระถดห่างเล็กน้อยหนีลมหายใจอุ่นร้อน ทว่ามือสากรั้งคางมนใกล้ชิดกว่าเก่า
“ไยเนื้อตัวเอ็งมีกลิ่นสาปสางผีพรายรุนแรงเพียงนี้ เอ็งไปทำกระไรมา” พ่อครูผละออกห่างก่อนสอบถาม ดวงตาคมกริบคาดคั้นสาวเจ้า
“ไม่ได้ทำอะไรนะจ๊ะ ฉันก็ไปเก็บบัวตามปกติแล้วก็ทำกับข้าวแค่นี้เอง”
“เก็บบัวที่ใด”
‘คำพูดคำจาพ่อครูผิดแปลกไปหรือเธอคิดไปเองคนเดียว คำพูดโบราณเหลือเกิน’
“บึงบัวหลังบ้านฉันไงจ๊ะพ่อครู”
“เนื้อหอมแม้กระทั่งภูติผีดูท่ามหานะเมตตาที่ติดตัวจะนำภัยมาให้ไม่น้อย” พ่อครูพึมพำ ความหวังดีที่มอบให้กลับนำภัยมาสู่เธอเสียได้ ตอนที่ประทานพรให้นางเขาคิดน้อยไป เพียงแค่อยากให้ชีวิตของนางในชาตินี้มีแต่คนรักใคร่เอ็นดู ใครจะไปรู้ว่าแม้กระทั่งผีก็เผลอไผลเอ็นดูนาง เพียงแต่เขาคงยอมให้ภูติผีมาอยู่ใกล้นางมากเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นพลังชีวิตของนางจักเสื่อมถอยตามมาด้วยอาการเจ็บออดๆ แอดๆ แบบหาสาเหตุทางการแพทย์ไม่ได้
“พาข้าไปดูบึงบัวของเอ็งที”
“บึงบัวฉันมีผีพรายหรือพ่อครู” ตาบัวยังคงงุนงงกับเหตุการณ์เอ่ยถาม ตัวเขาเองก็เอะใจมาหลายวันแต่ไม่มีวิชาอาคมแกร่งกล้ามากพอ จึงมีเพียงลางสังหรณ์อันน้อยนิด
“มีวิชาเสียเปล่าแต่กลับไม่เอะใจว่ามีผีอยู่ใต้จมูกตนเอง หากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่แคล้วคนอายุน้อยคงไปก่อนคนอายุมาก” พ่อครูส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกพรวดเดินออกไป
“พ่อครูไม่นำถุงย่ามไปด้วยรึ” ตาบัวถาม ในย่ามคู่ใจของพ่อครูมีมีดหมอลงอาคมปราบภูติผีปีศาจ ทำลายอาคมคุณไสยอาถรรพ์ต่างๆ ได้ อีกทั้งในย่ามยังมีวัตถุอาถรรพ์มากสรรพคุณ หากไม่โดนใช้ให้นำไปทิ้งเสียก่อน
“ยังเหลืออีกฤา ไม่จำเป็น” กูมีฤทธิ์เดชเหนือวัตถุอาคมพวกนั้น ไยจักต้องพึ่งพาสิ่งของพวกนี้
สองพ่อลูกเดินนำพาพ่อครูมาดูบึงบัวบริเวณหลังบ้าน ฝีเท้าหนักย่ำเหยียบหญ้าแห้ง สายลมที่เคยพัดปลิวมอบความเย็นกระทบผิวเนื้อ ทันทีที่ชายร่างใหญ่ปรากฎสายลมเย็นเยียบบัดนี้กลับนิ่งสงบ จนบรรยากาศโดยรอบอึดอัดชวนหายใจไม่ออก
มือหยาบหนาสัมผัสผืนน้ำในบ่อบึง กลิ่นสาปสางผีพรายส่งกลิ่นเหม็นแตะจมูกรุนแรง กลิ่นเหม็นเน่าราวกับสัตว์น้ำเน่าตายกองพะเนินหลายร้อยชีวิต เงาดำตะคุ่มแหวกว่ายดำผุดหนีออกไปจากริมสระหลังรับรู้การมาของเขา
ไอยศูรย์ในร่างพ่อครูเพลิงร้องขอธูปหนึ่งก้าน มือสากเอื้อมไปหยิบธูปที่จุดแล้วจากมือบาง ก่อนปักธูปกลับหัวลงดิน กั้นอาณาเขตจำกัดพื้นที่ของผีพรายตนนั้น เสียงหวีดแหลมกรีดร้องด้วยความคับแค้นใจ มันหมุนวนสร้างน้ำวนขนาดใหญ่ใจกลางบึงบัว สัตว์น้ำน้อยใหญ่พากันกระโดดหนีตาย กระแสน้ำวนเร็วแรงจนกอบัวพังพินาศเป็นวงกว้าง ตาบัวรีบร้องเสียงหลงเพราะนั้นคือบัวที่เขาคอยดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ครอบครัวของเขาไม่อดยาก
“ปักธูปกลับหัวลงดินไม่มีใครเขาทำกันนะพ่อครู เขาถือว่าท้าทายผีสางเทวดา นี่พ่อครูทำเทวาเคืองขุ่นหรือเปล่าถึงได้พังเหล่าบัวข้า” ตาบัวตื่นตระหนกก่อนจะรีบพูดออกมา
“เทวาผู้ใดกันอีผีพรายต่างหากที่พังกอบัวเอ็ง ข้าเพียงสะกดวิญญาณชั่วคราวไม่ให้มันหนีต่างหากเล่า” พ่อครูยันกายลุกขึ้น นิ้วโป้งกดลงบนหน้าผากมนวาดอักขระอาคมกันภัยให้นาง
“ตานังเลนัง สัพพะปาณีนัง เลนังตานัง สัพพะปาณีนัง” ว่าจบจึงเป่าลมจรดหน้าผากมนหนึ่งทีเป็นการป้องกันภัยให้บุหงา ภูติผีตนใดก็มิอาจกล้ำกรายทำร้ายนางได้อีก
น้ำเสียงดุดันน่าเกรงขามเริ่มบริกรรมสวดคาถาเรียกผีพรายให้ปรากฎ น้ำเสียงแข็งขึงก้องกังวาลสะท้านสะเทือนถึงวิญญาณร้ายที่หลบซ่อนใต้บ่อบึง ปรากฎน้ำวนหมุนเวียนเชี่ยวกรากอีกครั้งอย่างท้าทายอำนาจ
“อม สิทธิการ กูจักเรียกผีพรายมา ผีอยู่ไกลให้มาใกล้ มาสยบแนบฝ่าเท้ากู มึงดื้อดึงไม่ยอมมาวิญญาแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง กัมมะขัง ปะทิ มะนา สวาหะ”
เงาตะคุ่มสีดำทะมึนรูปร่างบิดเบี้ยวผิดแปลกปรากฎเป็นหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวเหี่ยวย่น ผมยาวสลวยถึงข้อเท้าปริแตกเลือดซิบ รูปร่างผ่ายผอมจนหนังติดกระดูก สวมผ้าถุงสีหม่นผืนเดียว แลบลิ้นเลียริมฝีปากท่าทางหิวกระหาย มองกร้าวมาทางพ่อครูอวดดี
“มึงเรียกกูมาทำไม!” ดวงตาสีขาวขุ่นมองพ่อครูด้วยสีหน้าหวาดหวั่น พลังวิญญาณแข็งแกร่งเจิดจรัสเปล่งประกายสีเพลิงภายในร่างนั้น ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มิใช่พ่อครูธรรมดา
“พะ พ่อนี่ผีพรายหรอจ๊ะ!” บุหงากระตุกผ้าขาวม้าของพ่ออย่างหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผีพรายตัวเป็นๆ
“จิตแข็งเข้าไว้” ตาบัวย้ำเตือนสติลูกสาว
“ไยต้องมาดูดกินพลังชีวิตของมนุษย์ด้วยเล่า ไปในที่ที่ควรไปเถิด รั้งไว้ก็มีแต่ก่อกรรมทำเข็ญเพิ่มบาปให้ตัวเองเสียเปล่า” พญายมราชเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาเคยเห็นวิญญาณชั่วร้ายมามาก ยิ่งมีห่วงยึดติดมากเท่าใดก็ยิ่งยากจะหลุดพ้นจากความทรมาน
“กูไม่ได้ทำร้ายมัน! กูแค่มาขออยู่อาศัยเพียงเท่านั้น”
“ผีพรายไม่ดูดกินชีวิตมนุษย์มันจะอยู่ได้รึ กูไม่ได้โง่” พ่อครูปรายหางตามองผีพรายตัวดี ดวงตาสีดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเพลิง
กลิ่นสาปสางบนตัวบุหงามันฟ้องหมดทุกอย่าง ผีพรายตนนี้อาศัยจังหวะที่บุหงาพายเรือมาเก็บดอกบัวดูดกินพลังชีวิตของเธอที่ละนิด มันจะดูดกินจนเจ้าของร่างล้มป่วยตายไปเอง นับว่าฉลาดที่มันไม่กินทีเดียว มิเช่นนั้นตาบัวคงหาคนมากำราบมันและทำให้มันไม่มีที่อยู่ต้องระหกระเหิน
“แต่กูก็ไม่ได้ทำให้มันตาย!” ผีพรายเปล่งเสียงแหลมหวีดร้องนึกขัดใจที่มีคนมาแส่
“ลำคลองหนองบึงมีตั้งมากมายมึงไม่อยู่ ขืนมึงยังดื้อด้านกูจะส่งมึงลงนรก” พญายมราชในร่างพ่อครูกระทืบเท้าเต็มแรง ผืนน้ำสั่นไหวคลื่นละลอกใหญ่ซัดผีพรายจนเซถลาจมลงใต้น้ำ
“......” เงาตะคุ่มว่ายหนีหลังเห็นทีว่าไร้ทางสู้ พ่อครูคนนี้ฤทธิ์เดชมันร้ายนัก ยากที่จะต่อกร มันกระทืบเท้าเพียงหนเดียวก็ทำให้มันจมดิ่งสู่ใต้คงคา
“ส้มป่อยไปตามจับมันมา” สุรเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยเรียกกุมารทองน้อยของตน
ส้มป่อยเป็นวิญญาณกุมารที่ถูกปลดปล่อยหลังผู้สร้างมนต์เสื่อม จึงมาจุติยังนรกภูมิเพื่อชดใช้กรรม ทว่าเขากลับสงสารจึงให้มันทำงานช่วยเขาเพื่อบรรเทากรรมแลสั่งสมบุญ รอคอยวันที่บุญเก่าเเลบุญใหม่เสริมส่งมันขึ้นไปจุติเป็นมนุษย์อีกครั้ง
“จ๊ะพ่อ” เด็กชายร่างเล็กมัดจุกใบหน้าทะเล้นปรากฎกาย เกลียวลมแรงหมุนกระโจนพุ่งสู่ใต้น้ำไล่ตามจับผีพรายตามคำสั่งผู้เป็นพ่อ
ไม่นานนักเด็กชายร่างเล็กก็ปรากฎบนผิวน้ำ มือน้อยสองข้างฉุดกระชากผมยาวสลวยของผีพรายตามขึ้นมา ใบหน้าระรื่นหวังโชว์ผลงานให้พ่อจ๋าดู
“พ่อจ๋ามาแล้วจ๊ะ”
“ส่งมันกลับบ้านเก่า จุติ จุตัง อะระหังจุติ ไป!” มือหยาบโบกสะบัดหนึ่งที เงาตะคุ่มมลายสลายลงต่อหน้า สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างงุนงง พ่อครูโบกสะบัดฝ่ามือเพียงหนเดียวก็สามารถกำราบผีพราย ปราศจากการใช้มีดหมอและวัตถุอาถรรพ์
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments