ดวงอาทิตย์ยามสายลอยเด่นเหนือเส้นขอบฟ้า สาดแสงอบอุ่นลงมาทาบยอดไม้และหุบเขาเบื้องล่าง ทว่าในหัวใจของเทพวชิรานรินทร์กาลกลับยังเต็มไปด้วยความเงียบงันแห่งความคิดถึง แม้เขาจะกลับมายังสถานที่เดิม กระท่อมไม้เก่าท่ามกลางหุบเขาก็ว่างเปล่าไร้ผู้ใด
สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือกลิ่นอ่อนจางของบุปผาสมุนไพร และเศษผ้าที่นางเคยใช้พันแผลให้เขา
"นาง... ไปแล้ว" เขาพึมพำกับตนเอง เสียงนั้นเบาราวลมหายใจ
แต่ในขณะที่เขากำลังจะละสายตาจากกระท่อม หัวใจกลับพลันสั่นไหว ราวมีสิ่งใดเรียกหา
ขาของเขาก้าวเดินไปโดยไร้คำสั่งจากสมอง
เหมือนมีพลังบางอย่าง... สายใยบางเส้น
ดึงรั้งเขาให้เดินตามเส้นทางที่เขาไม่รู้จัก
เท้าของเขาก้าวผ่านเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และพรรณไม้ป่า จนในที่สุดเบื้องหน้าก็ปรากฏเรือนหลังหนึ่ง—มิใช่กระท่อมซอมซ่อ หากแต่เป็นตำหนักงดงามกลางเมืองแคว้นอันมั่งคั่ง
นั่นคือเรือนจินดารัศมี
เมื่อก้าวเท้าเข้าใกล้ประตู ทหารเฝ้าหน้าประตูก็ยืนขวางไว้โดยพลัน
"ท่านผู้นี้เป็นใคร? มาด้วยเหตุอันใด?" หนึ่งในทหารถามอย่างระแวดระวัง
เทพวชิรานรินทร์กาลทอดสายตามองด้วยความสงบนิ่ง พลางกล่าวเสียงหนักแน่น
"ข้ามาตามหาหญิงสาว... ผู้มีนามว่าวิราวัณณา"
ทันทีที่นามนั้นหลุดจากริมฝีปากของเขา ทหารคนหนึ่งเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบหันหลังวิ่งเข้าไปในเรือนเพื่อแจ้งแก่เจ้าแคว้น
ไม่นานนัก ประตูบานใหญ่ก็เปิดออก และเจ้าแคว้นจินดารัศมี—บิดาของวิราวัณณา—ปรากฏกายด้วยอาการสง่างาม หากแฝงด้วยความระวัง
"ท่านคือผู้ใด... เหตุใดเอ่ยนามบุตรีข้าด้วยท่าทีเช่นนั้น?"
เทพวชิรานรินทร์กาลประนมหัตถ์อย่างสุภาพ แม้มิได้เอ่ยนามแห่งเทพ แต่ความสง่างามของเขาก็ไม่อาจปิดบังได้
"นาง... เคยช่วยข้าไว้ยามบาดเจ็บ ข้ามิอาจลืมนางได้จึงมาเพียงเพื่อขอบคุณ"
เจ้าแคว้นนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "หากเช่นนั้น ขอเชิญท่านเข้ามารอในเรือน"
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของลานหิน วิราวัณณาปรากฏกายในชุดเรียบง่ายถือกระจาดสมุนไพรไว้ในมือ กำลังจะออกจากเรือนไปเยี่ยมราษฎรในเมือง
สายลมพัดผ่านในห้วงขณะนั้น ผมยาวของนางปลิวสยาย
ดวงตาของนางสบกับเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
และทันทีที่แววตาทั้งคู่ประสานกัน สายใยบางเส้นก็สะท้อนก้องในห้วงลึกของหัวใจ
"ท่าน..." นางเอ่ยออกมาเบา ๆ
"เจ้า..." เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว
เงียบงัน...
โลกทั้งใบพลันเงียบไปเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
เจ้าแคว้นหันไปมองบุตรีและชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะยิ้มบางอย่างพึงใจ
“ดูท่า... ข้าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว”
---
ณ ศาลาเล็กริมสระบัวหลังตำหนัก แสงแดดยามสายโรยตัวลอดผ่านซุ้มไม้เลื้อย ดอกไม้ป่าเบ่งบานท่ามกลางสายลมเอื่อย วิราวัณณาวางกระจาดสมุนไพรลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะนั่งลงบนเบาะที่เตรียมไว้ ท่าทีทั้งเรียบร้อยทั้งสงบนิ่ง แม้หัวใจจะเต้นแรงไม่ต่างจากวันแรกที่พบเขา
เทพวชิรานรินทร์กาลยืนนิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเดินเข้ามาช้า ๆ นั่งลงตรงข้ามโดยเว้นระยะพอเหมาะ
“ท่าน... ดูแข็งแรงดีแล้ว” วิราวัณณาเอ่ยเสียงแผ่ว พลางหลบสายตา
“เป็นเพราะเจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจึงได้มีโอกาสกลับไปทำสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จ” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแต่แฝงด้วยความจริงใจ
หญิงสาวยิ้มบาง
“ข้ายังมิได้ถามเลย... ท่านชื่ออะไรกันแน่”
เทพวชิรานรินทร์กาลนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว
“วชิร…”
“แค่วชิร?” นางเลิกคิ้ว
เขายิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ย
“วชิรานรินทร์กาล”
วิราวัณณาชะงัก ดวงตากะพริบเล็กน้อยกับนามอันแปลกหู หากแต่ก็งดงามราวสายฟ้าที่พาดผ่านผืนฟ้ายามราตรี
“ข้าชื่อวิราวัณณา” นางเอ่ยตอบอย่างสุภาพ
แล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่มีคำพูดใดถูกเปล่งออกมาอีก มีเพียงเสียงจังหวะน้ำในสระกระทบใบบัว กับเสียงใจที่สั่นระรัว
ในที่สุด วชิรานรินทร์กาลก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ข้า… คิดถึงเจ้า”
คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด มือเขากำหมัดแน่นราวกับรู้ตัวว่าควรจะเก็บมันไว้
วิราวัณณาช้อนตามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะกล่าวเป็นถ้อยคำ “ข้าก็... เช่นกัน”
เขายิ้มเศร้า หัวใจอบอุ่นและหน่วงแน่นไปพร้อมกัน
“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…”
“ข้าก็ไม่คิดว่า… ท่านจะจำข้าได้” นางหัวเราะแผ่วเบา หยาดน้ำใสไหวระริกในดวงตา
เขาเอื้อมมือออกไป แต่หยุดไว้กลางอากาศ
ไม่กล้าสัมผัส... ไม่กล้าผูกพัน... เพราะรู้ดีว่าเทพกับมนุษย์จะไม่มีวันเคียงกันได้อย่างแท้จริง
“วณิ... ข้าควรจะจากเจ้าไปตั้งแต่แรก แต่ข้าทำไม่ได้” เขากล่าวเสียงเบา ดวงตาสะท้อนความขัดแย้งระหว่างหน้าที่และหัวใจ
“ข้ารู้” นางพยักหน้าเบา ๆ น้ำเสียงมั่นคง “แต่ข้าก็ไม่เสียใจที่ได้พบเจ้า ไม่ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะยังอยู่ หรือหายไปจากข้าอีกครั้ง… ข้าจะยังจำแววตาของท่านในยามนี้เสมอ”
สายลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ไหวเบา
วชิรานรินทร์กาลหลับตาลงเพียงครู่ก่อนลืมขึ้นอีกครั้ง พลางกล่าว
“แม้ชะตาจะพรากเราให้ไกล... แต่สายใยนี้จะไม่ขาดจาก ข้าสาบาน”
เจ้าแคว้นจินดารัศมีทอดพระเนตรภาพตรงหน้าเงียบ ๆ จากศาลาริมระเบียง ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ท่ามกลางแสงอ่อนของดวงตะวันยามสาย สายลมเย็นพัดเอื่อย ช่วยพัดกลิ่นสมุนไพรจากกระจาดให้ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
สีหน้าของเทพหนุ่มแม้สงบนิ่ง หากแต่แววตากลับอบอุ่นจนมิอาจปิดบัง ส่วนวิราวัณณาก็ดูอ่อนโยนและเป็นตัวของตนมากกว่าทุกยามที่พระองค์เคยเห็นมา
เจ้าแคว้นคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวกับองครักษ์ข้างกาย
“ปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังเถิด”
จากนั้นก็เสด็จกลับเข้าตำหนัก ปล่อยให้บทสนทนาที่ควรเอ่ยออกมาแต่เนิ่นนานได้เป็นไปตามครรลองของโชคชะตา
ณ ศาลาเล็ก…
วชิรานรินทร์กาลเงียบอยู่ชั่วครู่ คล้ายกำลังไตร่ตรองในใจ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มแผ่ว
“วณิ... มีสิ่งหนึ่งที่ข้าควรบอกเจ้า”
เขาสบตานางแน่นิ่ง ราวจะบอกให้นางเตรียมใจ
“แท้จริงแล้ว ข้าไม่ใช่เพียงบุรุษผู้ผ่านทาง…”
วิราวัณณาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
วชิรานรินทร์กาลค่อย ๆ คลายผ้าคลุมไหล่ออก ดวงตาเปล่งประกายเรืองรองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเอ่ยอย่างเงียบขรึม
“ข้าคือเทพ... เทพแห่งสายฟ้า ผู้ได้รับตำแหน่งเป็น ‘เทพหริกาลศัสตรา’ วชิรานรินทร์กาล”
ดวงตาของวิราวัณณาเบิกกว้าง มือบางชะงักไปครู่หนึ่ง
“ท่าน... เป็นเทพ?” นางเอ่ยเสียงเบา ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความตกตะลึง
วชิรานรินทร์กาลพยักหน้า
“ข้ามิได้ตั้งใจปิดบังเจ้า แต่ข้า… กลัวว่าหากเจ้ารู้ เจ้าอาจจะถอยห่าง หรือไม่ก็มองข้าเป็นสิ่งไกลเกินเอื้อม”
เขาหลุบตามองพื้นเบื้องหน้า น้ำเสียงเศร้าลง
“ในยามนั้น... ข้ามิได้รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีต่อเจ้าคือสิ่งใด จนกระทั่งต้องจากเจ้าไป ข้าถึงได้รู้ว่ามันคือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความรัก”
หัวใจของวิราวัณณาเต้นโครมคราม เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“แล้ว… ท่านรู้หรือไม่ ว่าความรักระหว่างเทพกับมนุษย์มันเป็นไปไม่ได้?”
“ข้ารู้” เขาตอบทันควัน “แต่หัวใจข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก”
นางหลบสายตา น้ำตาคลอในดวงตา
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร?”
วชิรานรินทร์กาลยื่นมือไปแตะหลังมือของนางเบา ๆ “ไม่ต้องทำสิ่งใด… แค่ให้ข้าได้อยู่ตรงนี้ แม้เพียงชั่วครู่… ข้าก็พอใจ”
วิราวัณณาเม้มริมฝีปากแน่น
“งั้น... ขอแค่ชั่วครู่ของเรานี้ จงเป็นนิรันดร์ในใจเถิด”
วชิรานรินทร์กาลยิ้มแผ่ว ๆ ดวงตาเปล่งประกายระยับ
วชิรานรินทร์กาลเหลือบตามองหญิงสาวเบื้องหน้า หัวใจที่เคยเย็นชาต่อศึกสงครามพลันรู้สึกอ่อนโยนอย่างยากจะเอ่ย
ดวงตาเปล่งประกายจากแสงอาทิตย์ยามสาย ตกกระทบพวงแก้มของนางผู้มีนามว่า เมณิ
…เมณิ หญิงผู้แบกรับพรแห่งเมตตาโดยไม่รู้ตัว
“เมณิ…”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง หากแฝงความอาวรณ์ไว้ลึกเร้น
“ข้า…มีบางสิ่งที่ต้องบอกเจ้า”
นางเงยหน้ามองเขา แววตาสงสัยในถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย ทว่าก็ไม่ขัดจังหวะ
“จอมมาร…ที่เราคิดว่าพ่ายแพ้ไปแล้ว มันจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น”
“แม้ร่างมันจะถูกผนึก… แต่จิตแห่งความมืดยังไม่สูญสิ้น”
“และเมื่อถึงเวลา มันจะกลับมาอีกครั้ง—แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
เมณินิ่งงัน ริมฝีปากเม้มแน่น
“แสงแห่งศัสตรา…พลังแห่งเทพ…ไม่อาจสยบมันได้โดยสิ้นเชิง”
“ผู้เดียวที่อาจหยุดยั้งมัน—คือนางผู้มีใจเมตตาบริสุทธิ์…ผู้ได้รับพรจากเทพีวิโมกขาจาริณี”
“ท่านหมายถึง…” เสียงนางแทบขาดห้วง
เขาพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ เมณิ—คือนางผู้นั้น”
“ข้า…?” เมณิเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“เจ้าคือผู้ถูกเลือก—มิใช่โดยข้า หากแต่โดยชะตา”
“จิตใจของเจ้าสะอาดและเปี่ยมด้วยความรัก… มากพอจะขัดขวางความมืดนั้นได้”
วชิรานรินทร์กาลหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ
“เทพบนสวรรค์นับพันล้านดวงเฝ้ารอการช่วยเหลือ และเมื่อจอมมารฟื้น เจ้าจะต้องอยู่ที่นั่น… เพื่อรักษาสมดุลทั้งสามภพ”
เขาหลุบตาลง สีหน้าหนักแน่นแต่เปลือกตาเจือด้วยความเศร้า
“เมณิ…หากข้าขอให้เจ้าไป—เจ้าจะยอมรับชะตานั้นหรือไม่?”
เมณิเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ
“เหตุที่ท่านมาหาข้า…เป็นเพียงเพราะท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่?”
“มิใช่…เพราะท่านคิดถึงข้า?”
สายตาของนางทอดมองเข้าไปในนัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเทพสงคราม ดั่งกำลังค้นหาความจริงเบื้องหลังม่านแห่งชะตากรรม
“หากเป็นเช่นนั้นจริง…” นางกลืนน้ำลายฝืดคอ
“ข้าคงต้อง…เสียใจมาก”
วชิรานรินทร์กาลถึงกับชะงัก ร่างสูงใหญ่นิ่งงันราวกับถูกฟ้าฟาด หัวใจที่เคยหนักแน่นในศึกสงครามกลับปั่นป่วนในชั่วพริบตา ดวงตาเขามองนางด้วยความลังเล…ก่อนจะเบือนหน้าหลบ
“ข้า…”
เสียงเขาเหมือนจะแตกระลอกไปกับลม
“ข้าคิดถึงเจ้า…ยามหลับก็เห็นใบหน้าเจ้า ยามตื่น…ก็ยังเผลอตามหากลิ่นไอดอกไม้ในกระท่อมนั้น”
“แต่ข้า…ไม่ควร”
นางส่ายหน้าเบา ๆ ดวงตาสั่นระริกด้วยคลื่นอารมณ์ที่ท่วมท้น
“ในเมื่อสวรรค์ลิขิตให้เรามิอาจอยู่ร่วมกัน…เหตุใดสวรรค์จึงให้เราพบกัน?”
คำถามนั้น แม้เทพสูงศักดิ์เช่นวชิรานรินทร์กาลก็ไม่อาจตอบได้
เมณิมองท่านวชิรานรินทร์กาลเนิ่นนาน ราวกับกำลังกลั่นกรองถ้อยคำจากจิตใจที่กำลังปั่นป่วน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“หากเหตุที่ท่านมาหาข้า…เป็นเพราะโลกกำลังเผชิญชะตาอันโหดร้าย หากการปรากฏของข้าจะช่วยหยุดยั้งจอมมารและความมืดมิดนั้นได้”
นางก้าวเข้าไปใกล้ท่านวชิรารินทร์กาล ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงแห่งตะวันอ่อนราวหยาดน้ำตาแห่งจันทรา
“ข้าจะช่วยท่าน…”
เสียงนางหนักแน่นขึ้น ราวกับเจตจำนงของสวรรค์ได้จุดประกายขึ้นในหัวใจของนาง
“หากนี่คือสิ่งที่สวรรค์ลิขิต ข้าจะยอมรับมันด้วยความรักและเมตตา”
“เพราะมีชีวิตอีกมากที่กำลังรอความหวัง…รอใครสักคนที่จะไม่หันหลังให้แก่พวกเขา”
“ข้าจะพยายามช่วยชีวิตผู้คนเหล่านั้น…แม้จะต้องฝืนหัวใจตนเองก็ตาม”
วชิรานรินทร์กาลจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ความสง่างามของนางไม่ได้อยู่ที่รูปโฉมงดงาม หากแต่อยู่ที่จิตใจอันบริสุทธิ์ นางคือแสงสว่างที่แม้แต่เทพเจ้ายังยอมศิโรราบ
เขาไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด…เพราะรู้ว่าคำพูดใดก็มิอาจสื่อแทนสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจเขาได้อีกแล้ว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments