เทพธิดาจันทรา

เทพธิดาจันทรา

รักต้องห้ามแห่งแดนสวรรค์

ืืื “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

ณ กึ่งกลางระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน มีตำนานความรักระหว่าง สองโลก สองเผ่าพันธุ์ ที่ห่างไกลกันจนแทบไม่อาจเดินทางข้ามไปถึง ความรักที่ผู้คนกล่าวขานว่าเป็นไปไม่ได้

...แต่แล้ว มันก็ได้เกิดขึ้น พวกท่านอยากฟังเรื่องนี้ใช่หรือไม่?

เช่นนั้น... ข้าจักเป็นผู้เล่าให้ท่านฟังด้วยความเคารพ แด่ความรักที่ก่อกำเนิดขึ้นกลางห้วงโชคชะตา”

 

เรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นจาก...

ณ แคว้นจินดารัศมี

ื ดินแดนอันรุ่งเรืองด้วยการค้าและความมั่งคั่ง ผู้คนมากมายเดินทางมาหวังเพียงทองคำและทรัพย์สมบัติ โดยไร้ซึ่งความซื่อสัตย์หรือความจริงใจ ทว่าในความมืดมิดนั้น... ยังมีแสงสว่าง

ตระกูลหนึ่งได้ยืนหยัดสร้างอาณาจักรแห่งการค้า โดยไม่ยอมปล่อยมือจากศรัทธาและคุณธรรม

ตระกูลนั้นมีนามว่า จินดารัศมี

สายเลือดแห่งตระกูลนี้เปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่า เปล่งประกายด้วยความดีงาม หาใช่เพียงความร่ำรวยไม่

คืนหนึ่งที่หมอกหนาทึบคลี่คลุมทั่วฟากฟ้า

วิสุนธรา(วิ-สุน-ทะ-รา) สตรีสูงศักดิ์ผู้สืบเชื้อสายจินดารัศมี ต้องเผชิญไข้หนักในครรภ์แรกเริ่ม

ภายในห้วงนิทราอันร้อนรน ร่างของนางจมสู่ห้วงแห่งนิมิต

นิมิตนั้นอาบแสงจันทร์นวลนุ่มละมุน และในแสงนั้นเอง ปรากฏองค์เทพีผู้หนึ่ง

งามดุจบุปผา สง่างามดั่งวารีอันสงบ

เทพี วิโมกขาจาริณี เทพีแห่งเมตตา ผู้ครองพลังแห่งการปลดเปลื้องจากทุกข์ และเยียวยาด้วยรักแท้

“ข้าสัมผัสได้ถึงแสงบริสุทธิ์ในสายเลือดของเจ้า” เทพีเอื้อนเอ่ยด้วยสุรเสียงอบอุ่น

“บุตรในครรภ์ของเจ้าจักถือกำเนิดมาเป็นสตรีผู้มีจิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาขอมอบ พรแห่งเมตตา แก่สายโลหิตของเจ้าแต่จงจดจำไว้ เมตตานั้นเปราะบางยิ่ง หากหัวใจของผู้ใดในสายเลือดนี้แปดเปื้อนด้วยความพยาบาท พรนี้จะสลาย และผลสะท้อนจะไม่อาจเลี่ยงได้”

เมื่อลืมตาตื่นยามรุ่งสาง อาการไข้ของนางก็หายไปสิ้น เหมือนฝันที่ถูกลมเช้าพัดพาไม่นานหลังจากนั้น ข่าวดีได้แพร่กระจายไปทั่วนคร

แสงแห่งความหวังปะทุขึ้นกลางใจผู้คน

หญิงแห่งตระกูลจินดารัศมี กำลังจะให้กำเนิดชีวิตใหม่

ชีวิตหนึ่งซึ่งต่อมาจะเป็นหนึ่งในหญิงผู้มีเมตตาบริสุทธิ์ที่สุดแห่งปฐพี

ณ ยามแสงอรุณแรกทาบปลายฟ้า วิสุนธราจ้องมองลูกน้อยในอ้อมแขน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลรินจากดวงตา

“ลูกแม่... เจ้าเป็นผู้มีจิตเมตตา มาเกิด เป็นหญิงที่บริสุทธิ์แท้จริง

...ข้า วิสุนธรา ขอขนานนามเจ้าว่า...

...วิราวัณณา (วิ-รา-วัน-นะ-นา)...

...ชื่อซึ่งเกิดจากสองถ้อยคำ...

...“วิรา” หมายถึง ความกล้าหาญ...

...“วัณณา” หมายถึง ความงาม...

เจ้ามีเมตตา มีความบริสุทธิ์... และสิ่งเดียวที่เจ้าต้องเติบโตเพื่อครอบครองให้ได้ คือ ความกล้าหาญ

เช่นนั้น ชื่อของเจ้าจึงหมายถึง ‘สตรีผู้กล้าหาญและงดงาม’

จงเติบโตเป็นหญิงผู้สง่างามดุจแสงจันทร์ และมั่นคงดุจภูผาเถิด... วิราวัณณา ลูกแม่”

1วันผ่านไป.......

ณ ราตรีเรืองจันทร์ในคืนนั้น…

สายลมพัดอ่อนผ่านม่านบางเบา บรรยากาศในตำหนักใหญ่เงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงแผ่ว ๆ เสียงฝีเท้าแน่นิ่งหยุดลงหน้าเรือนบรรทม ก่อนร่างสูงสง่างามของชายผู้เป็นเจ้าแห่งแคว้นจินดารัศมีจะก้าวเข้ามา

ใบหน้าเขาคมคาย ทว่าสายตาที่ทอดมองเบื้องหน้ากลับอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์

“นางฟ้าของข้าเหนื่อยมากหรือไม่?”

เขากล่าวพลางทรุดตัวลงข้างภรรยาวิสุนธราหลับใหลด้วยความอ่อนแรงจากการให้กำเนิดชีวิตน้อย ๆ ข้างกาย

บุตรสาวเพิ่งคลอดออกมาท่ามกลางกลิ่นบุปผานานาพันธุ์ที่อบอวลทั่วห้อง

เจ้าแห่งตระกูลยื่นมือไปแตะมือเล็กของบุตรสาว ลูบเบา ๆ อย่างกลัวว่าจะแตะต้องความบริสุทธิ์นั้นมากเกินไป

เขานิ่งมองใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม ดวงตายังหลับสนิทเหมือนกำลังฝันถึงดินแดนแห่งแสง

และแล้ว...เขาก็พึมพำออกมาเบา ๆ

“เจ้าคือความบริสุทธิ์ที่แม้แต่แสงจันทร์ยังมิอาจเทียบ เจ้าอ่อนโยนดั่งหยาดน้ำใสที่หยดจากใจแม่ของเจ้า…”

“เมณิ…”

เขากระซิบชื่อขึ้นอย่างนุ่มนวล ราวกลัวว่าคำพูดจะทำให้ดอกไม้บานช้าลง

“พ่อจะเรียกเจ้าว่า เมณิ นะลูก...เมณิของพ่อ”

วิสุนธราลืมตาขึ้นช้า ๆ ยิ้มบางเมื่อได้ยินถ้อยคำของสามี นางเอ่ยอย่างเหนื่อยล้าแต่เปี่ยมสุข

“เมณิ...เพราะเจ้าคือเมตตาที่ตกผลึกในครรภ์ข้า...งดงามเหนือสิ่งใดในแผ่นดิน”

เจ้าแห่งจินดารัศมีโน้มลงจุมพิตหน้าผากภรรยา ก่อนจะหันไปกระซิบกับลูกน้อยที่ยังหลับฝัน

“เจ้าคือดอกไม้แรกของข้าและนางฟ้าของข้า...เจ้าคือ เมณิ ของเรา”

 

20ปีต่อมา.....

 

ณ ป่ารกร้างเบื้องล่างของผืนฟ้า

เสียงสงครามบนชั้นเมฆาแว่วไกลราวเสียงคำรามของฟ้าคะนอง...

ในห้วงเวลานั้นเอง...

แสงสายหนึ่งพุ่งตกลงจากฟากฟ้า ไม่ใช่ดาวตก หากแต่เป็นร่างของผู้สูงศักดิ์

เทพวชิรานรินทร์กาล(วะ-ชิ-รา-นะ-ริน-ทะ-กาน)

เทพสงครามผู้แข็งแกร่ง ดั่งเกราะเหล็กเหนือปฐพี

บัดนี้กลับพ่ายท่ามกลางศึกอันดุเดือดกับจอมมารแห่งอเวจีนิรันดร์

ร่างสูงใหญ่กระแทกพื้นดินพร้อมเสียงกึกก้องของโลหะ

โลหิตเทพสาดกระเซ็นบนพื้นดินอันเยือกเย็น

แม้พลังของเทพจะสูงส่งเพียงใด แต่บาดแผลที่ถูกต้องด้วยพลังมืด

กลับเกาะกินฤทธิ์แห่งอมตะของเขาอย่างเงียบงัน

ณ ดินแดนเดียวกันนั้น…

ใต้เงาไม้แห่งป่าริมลำธารสายเล็ก หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเก็บสมุนไพร

เธอคือ "วิราวัณณา"

บุตรีแห่งตระกูลจินดารัศมี มนุษย์ผู้ได้รับพรแห่งเมตตาจากเทวีผู้เมตตา

เสียงกระแทกของร่างเทพดั่งสายฟ้าผ่าใจกลางป่า ทำให้นางสะดุ้งตกใจ

นางวิ่งไปตามเสียงด้วยหัวใจที่มิได้ครั่นคร้าม มีเพียงความห่วงใยที่พัดนำ

เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่บาดเจ็บนอนแน่นิ่ง ดวงตาของเมณิแปรเปลี่ยนเป็นแววห่วงใย

"ท่าน... ท่านเป็นใครกัน?!"

เงียบงัน เขาไม่ได้ตอบ นอกจากเสียงลมหายใจรวยริน

แม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

แม้กลิ่นอายแห่งสงครามยังอวลอยู่รอบกายเขา

แต่นางเลือกจะพยุงเขาไว้อย่างเบาที่สุด เท่าที่มือเล็ก ๆ จะทำได้

ด้วยหัวใจของผู้ไม่ยอมปล่อยให้ใครเจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง

 

เสียงสายลมยามรุ่งสางพัดลอดหน้าต่างไม้เก่าคร่ำ

แสงแรกของวันรำไรลอดผ่านม่านผ้าบางเบาในกระท่อมกลางป่า

ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงหายใจของผู้หลับใหลสองชีวิตแผ่วเบา

วชิรานรินทร์กาลค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ดวงตาสีฟ้าลึกประดุจสายฟ้าในพายุยังมัวหมองด้วยความเหนื่อยล้า

เขารู้เพียงว่าร่างของเขายังอยู่ ณ โลกเบื้องล่าง และ…

กลิ่นหอมของดอกไม้แห้งบางชนิดปะปนกับกลิ่นยาสมุนไพร กำลังอบอวลอยู่รอบกาย

ดวงตาคมเหลือบมองข้างกาย

และสิ่งแรกที่เขาเห็นคือ... หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายสีจาง

นอนพิงเก้าอี้ข้างเตียง หัวซบแขนพับของตัวเองอย่างอ่อนล้า

ืื เธอหลับไปในขณะที่ยังถือผ้าชุบน้ำไว้ในมือ

เปลือกตาบางปิดสนิท ขนตาสีเข้มเป็นแพระเรื่อ บนใบหน้าอันอ่อนโยน

สายตาของวชิรานรินทร์กาลอ่อนแสงลง

หัวใจของเทพนักรบที่เคยคงมั่นกลับสั่นสะเทือนด้วยสายใยบาง ๆ

ราวกับ... เขาเคยสบตาคู่นี้มาก่อน

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? หญิงมนุษย์ผู้นี้... เขาไม่เคยรู้จัก

เขาเอื้อมมือใหญ่แตะปลายนิ้วลงบนหลังมือของนางเบา ๆ

"หญิงสาว..." เขากระซิบ

เสียงทุ้มแผ่วเบา... แต่หนักแน่นดั่งกึกก้องกลางวิหาร

เมณิขยับตัวอย่างตกใจ ดวงตาคู่กลมเบิกขึ้น

สบกับดวงตาของเขาในระยะใกล้

ทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงสายตา... ราวกับเงียบงันทั้งโลก

“ท่านฟื้นแล้ว...” เมณิกล่าวเสียงแผ่ว ด้วยความดีใจปนโล่งใจ

เขามองนางนิ่ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายวาววับ

"เจ้า... คือผู้ช่วยข้าไว้"

นางพยักหน้าอย่างเรียบง่าย

ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มอย่างสุภาพ

“ข้าชื่อวิราวัณณาเจ้าค่ะเรียกข้าว่าเมณิเถอะเจ้าค่ะ... แล้วท่านเล่ามีนามเยี่ยงไร?”

เทพสงครามนิ่งงัน

“เมณิ... ชื่อนี้…” เขาพึมพำ

"งดงาม... และอบอุ่น ประหนึ่งข้าเคยได้ยินมันมาก่อนในห้วงฝัน"

“ข้า...วชิร ข้ามีนามว่า วชิร ”

"ท่านควรพักนะเจ้าคะ บาดแผลของท่านยังไม่หายดี"นางยิ้มจาง ๆ

เขาพยุงกายขึ้นตั้งใจจะลุก

“ข้าคงต้องไปต่อ พันธะของข้ารออยู่...”

แต่เมณิเอื้อมมือดึงแขนเขาไว้ด้วยแรงบางเบา

“แม้ท่านจะมีกิจอันใดยิ่งใหญ่... ก็ไม่ควรฝืนร่างกายที่บาดเจ็บเช่นนี้”

เขานิ่งงัน

คำพูดของนาง... คล้ายสะกิดบางสิ่งในใจเขา

“ข้า... จะอยู่จนกว่าร่างกายนี้จะฟื้นดี ข้าสัญญา”

ในวันที่ผ่านไป ไม่กี่วัน ไม่กี่คืน

แต่ราวกับฤดูกาลหนึ่งได้เวียนผ่าน

ทุกเช้าที่แสงอ่อนส่องเข้ามา

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงมนุษย์และคำถามจากชายแปลกหน้า ได้ถักทอสายใยบางอย่างขึ้นในหัวใจทั้งสอง

และแม้จิตใจของทั้งคู่จะยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด...

แต่บางสิ่งในดวงตาก็ได้พูดแทนแล้วว่า

"เจ้าคือผู้ที่ข้าเฝ้ารอ… โดยไม่รู้ตัว"

 

รุ่งอรุณในวันที่ฟ้าสาง ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งทั่วหุบเขา

เสียงนกน้อยเริ่มขับขานรับแสงตะวัน ทว่าในกระท่อมไม้กลางป่าแห่งนั้น

กลับมีเพียงความเงียบงัน... ปนกับบรรยากาศหนักอึ้งที่ยากจะกล่าวออกมา

วชิรานรินทร์กาลยืนสงบนิ่งอยู่ตรงประตูไม้

สายลมเช้าพัดชายผ้าคลุมพลิ้วเบา

บาดแผลของเขาหายดีแล้ว ร่างกายกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม

แต่... หัวใจของเขากลับแปรเปลี่ยนไปจากก่อนจะตกลงมายังโลกเบื้องล่างนี้

เบื้องหลังเขา เมณิกำลังเก็บของอย่างเงียบ ๆ

ทว่า...มือบางนั้นสั่นเล็กน้อย

หัวใจของนางปั่นป่วน ทั้งที่รู้ว่าการพบกันครั้งนี้ไม่มีวันยืนนาน

แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวัง ให้เขาอยู่ต่ออีกเพียงวันเดียว...

“ข้าต้องไปแล้ว”

เสียงของวชิรทุ้มหนัก แต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน

นางหยุดมือทันที... ใจเต้นรัวเล็กน้อย

ก่อนจะฝืนยิ้ม แล้วหันมามองเขา

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ…” นางตอบเบา ๆ

เขาก้าวเข้าไปใกล้ ดวงตาคมคู่นั้นสบกับนาง

ราวกับกำลังค้นหาคำบางอย่างที่จะช่วยเหนี่ยวรั้ง

แต่... เขาเป็นนักรบ เป็นเทพแห่งสงคราม

และพันธะของเขาใหญ่หลวงเกินกว่าจะอยู่เพื่อหัวใจของตนเอง

“เมณิ…” เขาเรียกชื่อนางแผ่วเบา

นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นมีแววสั่นไหว

เขายื่นมือออกไปอย่างลังเล ก่อนจะวางมือลงบนไหล่บางนั้น

“เจ้าช่วยข้าไว้... ดูแลข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลและการหลอกลวง

เจ้าคือแสงเดียวที่ข้าได้พบ… ในห้วงเวลาที่ข้าร่วงหล่นจากฟากฟ้า”

เมณิเงียบงัน

แต่หยาดน้ำตาอุ่นกลับค่อย ๆ ไหลลงข้างแก้มอย่างไม่รู้ตัว

“ทำไมกัน...” นางเอ่ยเสียงแผ่ว

“ทำไมข้ารู้สึกเศร้า ทั้งที่เราพบกันไม่นานเลย...

วชิรนิ่งงัน

เขาไม่รู้จะเอ่ยคำใดตอบ เพราะภายในเขาก็ไม่ต่างกัน

ความอาวรณ์บางอย่างที่ไม่สมควรเกิด

กลับกำลังโอบรัดหัวใจของเทพนักรบผู้นี้อย่างแน่นหนา

เขายิ้ม... ยิ้มที่เจือด้วยความเจ็บปวดและขอบคุณ

แล้วโน้มตัวลงอย่างแผ่วเบา แนบริมฝ่ามือกับแก้มนาง

“จงอยู่เป็นแสงของผู้คนต่อไป เมณิ... อย่าให้ใจเจ้าต้องหม่นหมองเพราะข้า”

จากนั้น...

เขาหันหลัง เดินออกไปกลางสายลมทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของผู้ที่คล้ายเป็นเพียงลมผ่าน

แต่กลับทำให้หัวใจของหญิงสาวสะเทือนยิ่งกว่าพายุใด

และในยามที่เงาร่างของเขาลับหายไปในม่านหมอก

เมณิก็ยกมือทาบอกตนเอง..

“เจ้าคือใครกันแน่... วชิร”

 

ในบรรยากาศสงบนิ่งของสวรรค์เบื้องบน ท่ามกลางแสงทองอ่อนจางที่ลูบไล้ทั่วโถงแห่งสภาเทพ เสียงระฆังเทวะดังกังวานก้อง แจ้งเตือนถึงภัยบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครา

เทพผู้สูงสุดทรงเบือนพระพักตร์จากม่านทิพย์ที่เผยให้เห็นโลกเบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“พลังแห่งความมืดกำลังแผ่ซ่านไปยังพื้นพิภพอีกครั้ง... ผนึกเก่าเริ่มสั่นคลอน”

เหล่าเทพต่างลุกขึ้นจากบัลลังก์ด้วยความตกตะลึง และหนึ่งในนั้นคือ เทพวชิรานรินทร์กาล

แม้สงครามจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่เขารู้ดี... ว่าร่างแห่งจอมมารนั้นไม่อาจถูกทำลายได้โดยสิ้นเชิง

เทพีแห่งญาณหยั่งรู้ลุกขึ้นทูลอย่างชัดเจน

“วิญญาณของมารไม่อาจถูกผนึกซ้ำได้อีก หากไม่มีหัวใจแห่งเมตตาอันบริสุทธิ์ร่วมประกอบพิธี... และหัวใจนั้น คือ ผู้ที่ได้รับพรจากเทพีวิโมกขาจาริณี นางวิราวัณณา แห่งตระกูลจินดารัศมี”

วชิรานรินทร์กาลชะงัก... ดวงตาแห่งเทพสงครามสั่นไหวเพียงครู่เดียว

ชื่อของนาง... เขาไม่เคยลืม

“เหตุใดต้องเป็นนาง?” เสียงของเขาเข้มข้นด้วยความลังเล

เทพผู้สูงสุดตรัสตอบ

“นางคือผู้ที่มีดวงจิตบริสุทธิ์ เป็นดวงแก้วแห่งเมตตา พรของเทพีอยู่ในสายเลือดนั้น... และเมื่อถึงเวลา พรนั้นจะกลายเป็นกุญแจในการต่อผนึกและยับยั้งการฟื้นคืนของจอมมารโดยสมบูรณ์”

วชิรานรินทร์กาลหลับตาแน่น...

นาง... ผู้ที่เขาจากมาโดยไม่กล่าวคำลา

นาง... ผู้ที่ไม่รู้เลยว่าผู้ชายแปลกหน้าในคืนฝนตกวันนั้นคือเทพผู้ครองสายฟ้า

และบัดนี้... สวรรค์ต้องการให้นางตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง

เขารู้ดีว่าเขาไม่ควรกลับไป

แต่หากเขาไม่ไป... ใครจะปกป้องนางได้?

เทพวชิรานรินทร์กาลลืมตาขึ้น ภายใต้ดวงตาคมเข้มที่เต็มไปด้วยสายฟ้าพิฆาต

ทว่า... มีบางสิ่งอ่อนโยนแฝงอยู่ลึกในนั้น

“หากนางต้องเผชิญชะตานี้... ข้าจะไม่ให้เผชิญเพียงลำพัง”

แล้วเทพแห่งสายฟ้าก็ก้าวออกจากสภาเทพอีกครั้ง สู่โลกมนุษย์

สู่ดินแดนที่มีหญิงสาวคนหนึ่ง

ซึ่งเขาไม่เคยลืมแม้เพียงลมหายใจเดียว..

พวกเขาจะได้รักกัน...หรือโชคชะตาจะพรากเขาอีกครั้งกันแน่?

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!