ปีที่ยี่สิบ
เวิ้งประกายเหล็ก เขตศักดิ์สิทธิ์หลอมอาวุธแห่งหุบเขาเมฆาไร้เงา
ท่ามกลางม่านหมอกโลหะที่แผ่กลิ่นไอธาตุทองคำบริสุทธิ์ เวิ้งประกายเหล็กคือดินแดนที่แม้แต่ปรมาจารย์ผู้หลอมอาวุธนับพันนับหมื่นปี ยังไม่กล้าเหยียบย่างหากไร้คุณสมบัติ พื้นดินทุกตารางวาเปล่งแสงสีเงิน ละอองโลหะล่องลอยในอากาศ สะท้อนแสงราวดวงดาวยามราตรี
ใจกลางเวิ้ง ศิลาอัคนีแห่งดารากลางลอยอยู่เหนือบ่อหลอมมิติที่สลักอักขระธาตุทั้งเก้าเอาไว้โดยผู้ก่อตั้งหลายล้านปีก่อน เปลวเพลิงหลากสีลุกโชนรอบเตาหลอมอาวุธระดับบรรพกาล เสียงคำรามของวิญญาณโลหะดังแว่วในสายลม
ฉีหลินเฟย ในวัยยี่สิบ ยืนตระหง่านเหนือแท่นหลอม ร่างในชุดสีเงินปักด้วยลาดลายกิเลนสีทองพร่างพราวราวกับมีชีวิต พลังขั้นหยวนอิงไหลเวียนรอบกายอย่างมั่นคง สีหน้าสงบเฉย ปลายนิ้วขยับวาดอักขระกลางอากาศ เส้นพลังสีทองเรียงร้อยไปตามลำดับ สะท้อนความเข้าใจในศาสตร์การหลอมโลหะและวิญญาณในระดับสูงสุด
ในเตาหลอม โลหะเจ็ดชนิดระดับบรรพกาลรวมเข้ากับผลึกจิตวิญญาณจากอสูรศักดิ์สิทธิ์เก้าหัว ผสมกลืนกับแก่นหินสวรรค์ที่หายากเกินกว่าหนึ่งในหมื่น ความร้อนแปรเปลี่ยนฟ้าดิน จักรวาลรอบตัวแปรปรวน
ฉีหลินเฟยสะบัดมือขวา เพลิงเก้าธาตุแตกกระจายออกเป็นเส้นพลังราวกับฟ้าผ่า ก่อนรวมกันเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้รูปร่าง ลุกไหม้เตาหลอมจนโลหะภายในละลายกลายเป็นของเหลวสีเงินแวววาว
เขาหลับตาแน่น มือทั้งสองประสานวิชา วาดตราเรียกวิญญาณอย่างเงียบงัน
เสียงคำรามของวิญญาณอาวุธดังสะท้านฟ้า สายฟ้าสีเงินฟาดลงจากฟากฟ้าใส่เตาหลอม เปลวเพลิงปะทะสายฟ้า กระแสพลังพลุ่งพล่านคล้ายฟ้าคะนองสะท้อนกลับรอบทิศ อักขระทั้งหมดลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนหลอมรวมกันกลายเป็นรูปร่างของ พัดสีดำลายกินเลนสีทอง ซึ่งซ่อนความลับอันลึกซึ้ง
เมื่อพัดค่อยๆ ก่อตัวเต็มรูปร่าง เสียงจิตวิญญาณคำรามเบาๆ ก็ดังขึ้นภายใน
ทันใดนั้น พัดเปล่งแสงสีทอง ก่อนแปรเปลี่ยนร่างกลายเป็นกระบี่เรียวคมที่ส่องประกายเย็นเยียบ พลังจิตวิญญาณหลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉีหลินเฟยเอื้อมมือรับอาวุธนั้นไว้ แววตานิ่งสงบ แต่สายเลือดกลับสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงการหลอมรวมระหว่าง ความตั้งใจของตน วิชาของอาจารย์ และเจตจำนงของฟ้าดิน
พัดกระบี่หลิงเซียน อาวุธวิญญาณที่สามารถแปรเปลี่ยนระหว่างพัดกับกระบี่ได้ตามใจผู้ใช้ แฝงด้วยพลังวิญญาณเก้าสี เก้าธาตุ บัดนี้ถือกำเนิด
และในขณะเดียวกัน คลื่นพลังภายในร่างก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง
พลังหยวนอิงที่ก่อตัวมั่นคงแล้ว ทะลวงผ่านขอบเขตที่เหนือกว่า
ขั้นหยวนอิง ขั้นที่สาม สำเร็จโดยสมบูรณ์
เสียงกู่ร้องของวิญญาณฟ้าดินดังสะท้อนทั่วเวิ้งประกายเหล็ก
บนยอดหอคอยหินที่เงียบสงบ ฉีหลินเว่ยหลางมองลงมา สายตานิ่งสงบปนยิ้มบาง ๆ
“ในที่สุด เขาก็มีอาวุธประจำตัวแล้ว เจ้าพัดนี่ล่ะ จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ของยุคฟ้าดินเปลี่ยนผัน”
ปีที่สามสิบ ปากปล่องเทพอัสนี ดินแดนต้องห้ามที่ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวล่วง
ปากปล่องเทพอัสนี เป็นสถานที่ที่แม้แต่จอมยุทธ์ระดับบรรพกาลยังไม่กล้าเหยียบเข้าไปหากไร้พลังจิตอันแน่วแน่ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่กลางหุบเหวไร้ก้น ความลึกไม่อาจหยั่งถึง ด้านในเต็มไปด้วยอัสนีเทพที่ฟาดลงอย่างไร้เหตุผล คลื่นสายฟ้าสีม่วงเข้มกระหน่ำฟาดราวจะทำลายสรรพสิ่งให้สลายหายไปในพริบตา
ในค่ำคืนอันว่างเปล่า สายฟ้าสีทองพาดผ่านฟ้าอย่างดุดัน เงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนแท่นศิลากลางหุบเหว ท่ามกลางพายุอัสนี
ฉีหลินเฟย ในวัยสามสิบ สวมชุดคลุมสีม่วงเข้มปักลายเมฆาอัสนีสีเงิน พลังขั้นหยวนอิงระดับเจ็ดภายในกายพลุ่งพล่านราวมังกรคำราม เขาหลับตาแน่น ใบหน้าแน่นิ่งไม่หวั่นไหวต่อพลังสายฟ้าที่ฟาดลงใส่ร่างนับไม่ถ้วน
เปรี้ยงงง!!
สายฟ้าทรงพลังสีทองอมม่วงฟาดลงจากฟ้า พลังสายฟ้าธาตุบริสุทธิ์พุ่งเข้าใส่ร่างเขาจนแท่นศิลาแตกร้าว ฉีหลินเฟยลืมตาขึ้นในฉับพลัน ม่านตาสะท้อนแสงอัสนี เจตจำนงแน่วแน่ไม่หวั่นไหวแม้ฟ้าจะถล่มลงมา
"ถ้าจะฝ่าขั้นหยวนอิงขึ้นสู่จุดที่แปด ข้าก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับอัสนี!"
เขาตะโกนก้อง ดึงพัดกระบี่หลิงเซียนออกมาจากด้านหลัง หมุนเปลี่ยนร่างเป็นกระบี่สีทองอาบด้วยสายฟ้า แทงทะลุม่านอัสนีตรงหน้า ก่อนนั่งลงกลางพายุกระบวนการฝึกตนเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
คลื่นพลังในร่างเริ่มแปรปรวน โลหิตในร่างเดือดพล่าน เส้นชีพจรทั้งเก้าธาตุเปล่งแสงพร้อมกัน พลังสายฟ้าหลอมรวมเข้ากับวิถีธาตุของเขาอย่างช้า ๆ ราวการขัดเกลาทองคำในเตาหลอมสวรรค์
อักขระสีเงินลอยขึ้นจากร่างกาย ตราประทับสายฟ้าปรากฏกลางหน้าผาก เปลวเพลิงในดวงจิตเงียบสงบลง ถูกแทนที่ด้วยพลังฟ้าคำรามไร้รูปร่าง
สิ้นเสียงคำรามครั้งสุดท้าย...
สายฟ้าสงบลง...
พายุอัสนีจางหาย...
ฉีหลินเฟย ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ม่านตากลายเป็นสีทองมรกต คลื่นพลังในร่างมั่นคงไม่หวั่นไหวอีกต่อไป
ระดับพลังภายในทะลวงขีดจำกัดขึ้นสู่
หยวนอิง ขั้นที่แปด โดยสมบูรณ์!
สายลมรอบตัวเงียบสงบ ท้องฟ้าเปิดกว้าง ดวงจันทร์ส่องแสงเย็นตา ใจกลางเวหามีเสียงหนึ่งดังกังวาน
"เจ้าเด็กนี่ กล้าฝึกตนกลางปากปล่องเทพอัสนี แล้วยังสำเร็จอีกด้วย "
จากยอดเขาไกลโพ้น เงาร่างของชายชราผมขาวเสื้อคลุมลายพยัคฆ์คำรามเงียบงันอยู่บนผาหิน สายตาแฝงความตกตะลึงกับรอยยิ้มบาง ๆ
ลมเย็นพัดผ่านยอดไม้หอมในสวนด้านหลังตำหนักฟ้า เสียงใบไม้กระทบกันเบา ๆ คล้ายบทเพลงของธรรมชาติ อากาศในยามบ่ายนิ่งสงบเหมาะแก่การพักผ่อนหลังฝึกตนเป็นที่สุด
ฉีหลินเฟยนั่งพิงเสาไม้หยกขาวริมระเบียง นิ้วเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบเงียบ ๆ ดวงตาสีอำพันทอดมองภาพสะท้อนในน้ำชาสีอ่อน ก่อนจะนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“อาจารย์” เขาเอ่ยเบา ๆ เสียงราบเรียบเหมือนเคย แต่แฝงด้วยความสงสัยลึก ๆ
ฉีหลินเว่ยหลาง ที่กำลังอ่านตำราด้วยท่าทีสงบ เหลือบตามองศิษย์เพียงนิดแล้วตอบรับอย่างเฉื่อยชา
“อืม?”
“ข้าอายุสามสิบแล้วใช่ไหม” ฉีหลินเฟยกล่าวต่อ ขณะมองปลายนิ้วตัวเองที่ขาวเรียวยิ่งกว่าสตรี “แต่เหตุใด ใบหน้าข้ายังเหมือนตอนอายุสิบเจ็ดไม่มีผิด?”
อาจารย์วางตำราในมือลงอย่างเชื่องช้า ยกชาขึ้นจิบก่อนจะพูดเรียบ ๆ โดยไม่เหลือบมอง
“เจ้าพึ่งรู้หรือ?”
ดวงตาหลินเฟยหรี่ลงน้อย ๆ เขานิ่งไปอีกครู่ ก่อนพูดต่ออย่างสงบ
“ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องรูปโฉม แต่พอคิดดูแล้ว ข้ากลัวว่าจะถูกเรียกว่าหนุ่มน้อยไปจนถึงพันปีข้างหน้า... ข้าจะต้องทนมองตัวเองหน้าเด็กแบบนี้ไปตลอดเลยหรือ?”
คำถามนั้นทำให้เว่ยหลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ สะบัดแขนเสื้อพับเล่มตำรากลับเข้าที่
“เมื่อเจ้าทะลวงถึงขั้นหยวนอิงแล้ว รูปร่างภายนอกจะหยุดนิ่งตามช่วงวัยที่เจ้าทะลวงผ่าน เว้นแต่ว่าจะมีวิชาเปลี่ยนร่าง หรือฝึกถึงระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น หากไม่เช่นนั้น แม้เจ้าจะอายุหมื่นปี ใบหน้าก็จะยังเป็นเด็กหนุ่มเช่นนี้อยู่ดี”
ฉีหลินเฟยหลุบตาลงเล็กน้อย
“ถ้างั้นข้าก็ไม่มีวันไว้หนวดหนา ๆ แบบท่านอาจารย์ได้เลยสินะ?”
คำพูดนั้นทำให้เว่ยหลางเลิกคิ้ว ยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน
“เจ้าคิดจะไว้หนวดให้ดูน่าเกรงขามหรือ ระวังจะดูเหมือนเด็กเล่นแต่งตัวเป็นผู้อาวุโสเถอะ”
ฉีหลินเฟยยกยิ้มบางอย่างเงียบ ๆ แต่ในแววตายังฉายแววจริงจัง เขาวางถ้วยชาลง ชำเลืองตามองอาจารย์
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเรียนวิชาเปลี่ยนร่างจากท่านได้หรือไม่?”
“แน่นอน” เว่ยหลางตอบทันที
“แต่เจ้าควรเข้าใจก่อนว่า วิชาเปลี่ยนร่างไม่ใช่เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์ หากแต่ต้องควบคุมพลัง ลมหายใจ จังหวะชีพจร และความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบข้างเจ้า หากมีสิ่งใดผิดพลาดเพียงนิดเดียว เจ้าอาจดูเป็นเพียงเงาลวงตา หรือกลายเป็นตัวตลกของยุทธภพ”
ฉีหลินเฟยพยักหน้าอย่างเงียบงัน
“เช่นนั้น ข้าจะฝึกมันให้ถึงที่สุด”
เว่ยหลางพินิจศิษย์เงียบ ๆ แววตาในดวงตาคมลึกของเขาอ่อนลง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องดูแก่เพื่อให้คนเกรงกลัว บางครั้ง แค่เพียงยืนนิ่งเฉย ผู้คนก็รู้แล้วว่าอย่าก้าวล้ำ”
“อาจารย์ชมข้าหรือ?” หลินเฟยถามเรียบ ๆ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม
“ข้าแค่พูดความจริง” เว่ยหลางกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน หมุนกายช้า ๆ เดินกลับเข้าด้านใน
“พรุ่งนี้เช้า เจ้ามาพบข้าที่หอค่ายกล ข้าจะสอนวิชาเปลี่ยนร่างให้”
เสียงฝีเท้าอาจารย์ค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงเงาของศิษย์หนุ่มที่ยังนั่งนิ่งอยู่ริมระเบียง รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ข้าจะต้องมีหนวดเครา และน่าเกรงขามที่สุดในสามภพให้ดู”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
Maximilian Jenius
ติดใจตลอดเวลา
2025-04-15
0