ห้องใต้ดิน
สถานที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ ชั้นวางขวดโหลใส่สัตว์เล็กหน้าตาประหลาดและพันธ์ุไม้พิลึกมากมาย
รอบด้านผนังประดับประดาด้วยหัวกะโหลก บรรยากาศเย็นยะเยือกชวนขนลุกซู่ตลอดเวลาราวกับจะมีผีออกมา
"ฮะ ฮัดชิ้ว! "
ดารัณ เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีม่วงลึกลับ มีไฝใต้ตาขวา ผู้มีรสนิยมชอบสิ่งของหรือแม้แต่เสื้อผ้าที่เป็นสีดำมากกว่าสีอื่น
กำลังง่วงงวนอยู่กับการปรุงยาพิษเป็นงานอดิเรกเพื่อส่งให้กับสภาพรานเร้นลับจามออกมาสุดเสียงเมื่อรู้สึกเคืองจมูก
ทำให้ชายวัยกลางคนสวมชุดกาวน์ขาวนอนเหยียดตัวหลับสบายบนโซฟาห่างออกไป รู้สึกตัวลืมตาลุกขึ้นมานั่งพลางยกแขนขึ้นมองนาฬิกาแล้วมองไปยังเด็กสาว
"นี่ยัยเด็กหัวแข็งไม่ใช่ว่าถูกเพื่อนพูดถึงเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนอยู่เรอะ"
"...."
เงียบฉี่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนถูกเรียก ราวกับว่าโลกส่วนตัวที่เธออยู่ไม่ต้อนรับขับสู้ชายวัยกลางคนเสียแล้ว
เมธาวีจึงลุกขึ้นย่างสามขุมไปวางมือกดหัวเด็กสาวด้วยสีหน้าถมึงทึง น้ำเสียงเยือกเย็น
"ฉันถามว่าไม่ใช่ว่าถูกเพื่อนพูดถึงเพราะไม่ยอมไปโรงเรียนอยู่เหรอ ไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไงยัยเด็กไม่มีสัมมาคารวะ"
"ได้ยินแล้วๆ จะเอามือออกไปจากหัวหนูได้ยัง"
ดารัณว่าด้วยน้ำเสียงเฉยชาติดจะรำคาญเมื่อถูกก่อกวนเวลาทำงานจนถูกเมธาวีขยี้ผมซะเสียทรง
แล้วเมธาวีก็หันกลับไปบ่นพึมพัมสีหน้าคิดหนักอยู่คนเดียว
"พูดกับผู้ใหญ่น่ะหัดมีหางเสียงหน่อย ให้ตายสิ ไม่รู้ท่านคณินทร์คิดยังไงให้เด็กนิสัยไม่ดีไปจัดการทางโน้น ไม่สิเป็นพระราชินีทางโน้นต่างหากที่คิดอะไรอยู่ถึงเลือกยัยเด็กเบื่อโลกแบบนี้ไปทำเรื่องเกินตัว นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าชายจะอยู่รอดปลอดภัยได้ถึงรุ่งสางโดยไม่ถูกวางยาซะก่อนมั้ย น่าเป็นห่วง น่าเป็นห่วงเจ้าชายโชคร้ายตนนั้นซะจริงๆ "
"ขอโทษค่ะที่หนูมันน่ากลัว"
ดารัณว่าพลางวางขวดโหลแก้วจิ๋วง่ายต่อการพกติดตัว
ที่เธอกรอกยาพิษและปิดปากขวดเรียบร้อยแล้ว ขวดสุดท้ายลงในกล่องเหล็กน้ำเงินมีลวดลายประณีตสีทอง
ซึ่งมันสามารถใส่ยาพิษ4ขวดต่อ1หนึ่งกล่องได้เสร็จก็กำลังจะจัดยาใส่กล่องใบต่อไปแต่เสียงเล็กๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นมาขัดจังหวะในหัวเสียก่อน
'..พี่สาว...มีคนมา...'
เมื่อได้ยินแบบนั้นดารัณก็ล้มเลิกความคิดถอดเสื้อกาวน์วางพาดเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วหมุนตัวจะเดินไปยังบันไดทางออกห้องใต้ดิน
"นั่นเธอจะไปไหนยัยเด็กหัวแข็ง"
"ไปจัดการธุระส่วนตัวค่ะ ลุงตื่นแล้วก็มาปรุงยาต่อเถอะ ทางสภายังต้องการมันอีกมาก"
ดารัณว่าจบก็เดินขึ้นบันไดไปไม่คิดหันกลับมา ทำให้เมธาวีจนปัญญาไม่รู้จะบ่นอะไรดารัณแล้ว ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากผู้นำสภา
แต่ก็หวังลึกๆ ในใจว่าดารัณ หลานสาวตัวดีที่หัวแข็งมาตั้งแต่เด็ก หลังจากนี้จะไม่ไปก่อเรื่องอย่างที่เขาพูดแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากก็ตามทีเถอะ!
เมื่อดารัณออกมาจากห้องใต้ดิน ซึ่งทางเข้าอยู่กลางพื้นห้องเก็บหนังสือ มีหนังสือมากมายหลากหลาย
แต่ส่วนมากจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับพันธุ์ไม้สมุนไพร และส่วนผสมของยาพิษ ก็เจอกับรัชตากำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ข้างชั้นวางท่าทางจดจ่อ
ทำให้ดารัณเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ มองรัชตาด้วยใบหน้าและดวงตาที่นิ่งงัน ท่าทีไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ฉันมิตร
เนื่องด้วยแต่ไหนแต่ไรดารัณก็เป็นประเภทเข้าถึงยากทั้งโลกส่วนตัวสูงชอบสร้างกำแพงกับทุกคนที่เข้าหา
จึงไม่แปลกที่แม้แต่รัชตา ผู้มีนิสัยเป็นคนอ่อนหวาน?อ่อนโยน?ถูกราชินีเลือกเหมือนกันก็ยังถูกดารัณปฏิบัติแบบเดียวกับคนอื่นๆ ไม่มีข้อยกเว้น
"เธอ หาที่นี่เจอได้ยังไง? "
"นั่นสินะ"
รัชตาเลี่ยงที่จะตอบพลางจะเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่เดิม ทำให้ดารัณเอ่ยเรียกร่างไร้ตัวตน
"โชคดี"
วูบ~
สิ้นคำหนังสือในมือรัชตาก็ถูกร่างจิ๋วที่พุ่งเข้ามาด้วยความว่องไวคว้ามันกลับไปหาดารัณ
'นี่จ้ะพี่สาว'
กุมารน้อยนามโชคดี ผิวขาวผ่อง ดวงตากลมโตใส่กระจ่างฉายแววซุกซน ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มน่ารัก
รีบส่งหนังสือใหญ่เกินตัวให้ดารัณด้วยรอยยิ้มร่าเริง
ดารัณจึงรับมันมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสืออะไรเธอก็ไม่รีรอที่จะตั้งคำถาม
"ไม่ยักรู้ว่าผู้หญิงเกือบจะเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้หนำซ้ำยังมีดวงจิตสูงส่งจะสนใจยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด เป็นเพราะรสนิยมหรือเพราะศึกนี้เธอต้องการใช้มันกับใครบางคนกันแน่ล่ะ? "
"ดารัณคิดมากไปแล้วฉันแค่บังเอิญหยิบมันมาอ่านฆ่าเวลารอเธอออกมาก็เท่านั้นไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นหรอกจ้ะ
รัชตาบอกปัดทำดารัณเรื่องถนัดเค้นคอจับผิดสังเกตคนมานักต่อนักไม่ลดละที่จะตั้งคำถาม ทั้งยังเดินเข้าหารัชตากดดัน
ทำให้รัชตาถอยหลังจนหลังติดกับชั้นวางหนังสือ ทั้งที่ดารัณยังไม่ถึงตัวเธอเสียด้วยซ้ำ
"จริงเหรอ ถ้างั้นช่วยอธิบายมาหน่อยได้มั้ยว่าอาณาเขตบ้านที่ถูกปกคลุมด้วยมนต์พรางตาใช่ว่าคนเก่งระดับคะนิ้งจะหาเจอง่ายๆ เธอหาเจอได้ยังไงแถมยัง...ผ่านเข้ามาข้างในโดยที่ฉันเป็นคนร่ายมนต์เองแท้ๆ ยังไม่รู้สึกตัว ถ้าโชคดีที่อยู่เล่นข้างนอกไม่เป็นคนส่งกระแสจิตไปบอกฉันก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จะพูดว่าเธอแค่เดินเรื่อยๆ แล้วบังเอิญเจอบ้านฉันก็เลยเข้ามาอีกงั้นเหรอ? ฉันควรจะเชื่อดีมั้ยนะ"
"...."
มาถึงตรงนี้รัชตากลับเลือกที่จะนิ่งเงียบไปไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด ดารัณจึงไม่คิดจะสาวหาความอะไรต่อ
"ช่างเถอะ เธอไม่ต้องตอบก็ได้ จะมีเป้าหมายอยากทำอะไรก็เชิญ แต่ถ้าผลมันมาถึงทางแง่ลบในที่สุด กรุณาอย่าไปร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนต่อเหล่าเทวเทวีละกัน ฉันไม่อยากให้พวกท่านต้องเหนื่อยเพิ่ม เพราะโยนิประเภทโง่เขลาเบาปัญญาที่เหล่าเทวเทวีภิภพอจินไตยต้องจัดการมันก็มีมากพอสมควรจนน่าเบื่อแทนจะแย่"
ว่าจบดารัณก็หมุนตัวเดินออกจากห้องเก็บหนังสือไปพร้อมกับกุมารน้อยโชคดี
ไม่คิดแยแสคนมีชะตากรรมเดียวกันซึ่งเธอไม่เคยมองว่าเพื่อนเลยสักครั้ง
ทำให้รัชตาเดินตามหลังดารัณออกไปเอ่ยไล่หลัง
"ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี้ดารัณกำลังพูดเรื่องอะไร และฉันก็ไม่ได้จะบอกให้ดารัณมาชอบสักอย่างในตัวฉัน แต่ที่ฉันมาที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะฉันเองก็อยากให้ดารัณไปสอบ หวังว่าดารัณจะเข้าใจและยอมไปนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียนจ้ะ"
รัชตาพูดจบคำก็เดินออกจากบ้านดารัณที่เป็นความลับทางสภาไป
เพราะบ้านดารัณเปรียบได้กับคลังยาพิษมีทั้งชนิดรุนแรงและทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งจำเป็นต่อกองกำลังของสภาพรานเร้นลับ
คอยจัดการขั้นเด็ดขาดกับกบฏหรือโยนิมิจฉาทิฐิอยู่ภพอจินไตยคู่ขนาน
สถานที่อันเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างจากโลกมนุษย์ราวฟ้ากับเหว ดารัณจึงมองตามหลังรัชตาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายโลกนี้
จะบอกว่าเป็นห่วงเลยมาตามงั้นเหรอ?
"ฟังไม่ขึ้นสักนิดเลยนะ"
เมื่อคิดได้แบบนั้นเด็กสาวก็เดินเข้าห้องนอนไปเพื่อจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย
กริ๊งงงง!!
เสียงออดประจำโรงเรียนมัธยมศึกษาดังขึ้นบ่งบอกว่าถึงเวลารวมตัวทำกิจกรรมหน้าเสาธง
ลลิตที่รอเวลานี้มานานจึงลุกพรวดพราดเก็บหนังสือก่อนใครอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังหันไปฉุดแขนคะนิ้งให้ลุกขึ้นอีกคน
"ไปเข้ากันแถวเถอะคะนิ้ง พวกเธอก็ด้วยรีบๆ ลุกขึ้นให้หมดเลยนะ อย่ามัวลีลาเดี๋ยวพวกกรรมการนักเรียนก็มาช่วยลากคอลงไปแทนหรอก"
"จ้าๆ จะลุกเดี๋ยวนี้แหละ"
นิศาว่าพลางเก็บหนังสือแล้วลุกจากระเบียง ขณะที่เจ้าเอย เกวลี และอคิราห์
ก็เก็บหนังสือที่เอาออกมาอ่านทบทวนไว้ในกระเป๋า
"เสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ"
ลลิตว่าแล้วจะก้าวขาเดินลากคะนิ้งไปด้วย แต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้เสียก่อนเมื่อมีสองเด็กสาวคุ้นหน้าเดินขึ้นบันไดมา
"โย่ว"
ฟ้าหยาดยกมือเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเพื่อนยืนอยู่ที่ระเบียง
"ปกติพวกเธอสองคนไม่เคยมาพร้อมกันนี่? "
เป็นเจ้าเอยที่ถามด้วยความสงสัย
"ฉันเจอนีลที่บันไดชั้นล่าง แล้วยัยนี่ก็เดินตามฉันมาแถมยังพูดจาแปลกๆ ว่าฉันมีเงื่อนตายเพราะคนอื่นที่ต้องแก้แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีกน่ะ"
ฟ้าหยาดอธิบาย ขณะที่นีลเอากระเป๋าสะพายไปวางที่ระเบียง
"จริงเหรอ แล้วเงื่อนตายที่ว่านี่หมายความว่าไงอ่ะ นีล"
"เธอรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก"
คำปฏิเสธที่จะตอบจากนีล ทำเจ้าเอยขมวดคิ้วมุ่น ยื่นมือไปบีบแก้มนีลแทบจะทันที
"อะไรล่ะนั่นท่าทีแบบนั้นเธอถูกดารัณสิงสู่อยู่หรือไงกัน"
"เจ็บ"
นีลเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งขณะที่ในปากยังมีอมยิ้ม
ทำให้เจ้าเอยหันมาบี้จมูกนีลที่ไม่คิดจะโต้ตอบเล่นจนหน้านีลไม่ต่างจากหมูยืนอ้วนตรงนี้ตัวหนึ่ง
"ยัยเสือมึนติดของหวานเอ๊ย! ระวังเถอะน้ำตาลในเลือดพุ่ง เป็นเบาหวานตายก่อนแก่เข้าสักวันหรอก"
"ฉันไม่กลัว"
นีลว่าพลางดันมือเจ้าเอยออกไป
"จริงดิ"
"อืม"
"เอาล่ะๆ พวกเธอน่ะเลิกคุยกันแล้วไปเข้าแถวกันได้แล้ว "
ลลิตเอ่ยแทรกขึ้นออกคำสั่ง เหล่าเด็กสาวจึงพากันเดินลงบันไดอาคารม.6 ตรงไปยังสนามหน้าเสาธง
ที่มีเด็กนักเรียนต่างระดับชั้นเรียนทยอยมาเข้าแถวเรียงหนึ่งค่อนข้างมาก ซึ่งไล่จากความสูงชายหญิงคนละแถวกัน
จึงไม่แปลกที่ลลิตส่วนสูงเพียง159จะต้องไปยื่นแถวม.6รั้งท้ายเพื่อนกับนีลที่สูง164และอคิราห์ที่สูง166อย่างจำยอม
ขณะที่นิศาสูง179 ฟ้าหยาดสูง177 เกวลีสูง175 เจ้าเอยสูง173 และคะนิ้งสูง171ล้วนยืนอยู่แถวด้านหน้าที่มีคนสูงเท่าๆ กันยืนอยู่
ตอนนั้นเองดารัณจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผีไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
มายืนข้างหน้าคะนิ้งด้วยส่วนสูงเท่าๆ กันทำคะนิ้งที่หันไปมองข้างหลังแถวแล้วเห็นว่ารัชตาเดินมาเข้าแถว
หันกลับมาอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าเป็นดารัณที่ยืนอยู่แทนเพื่อนร่วมห้อง
"หือ? ในที่สุดก็ยอมมาสอบนะดารัณ พวกนิศากำลังเป็นห่วงอยู่เลยว่าเธอจะมามั้ย ว่าแต่รัชตาก็มาพร้อมเธอนี่นา บังเอิญเจอกันระหว่างทางหรือเปล่า"
คะนิ้งถาม ทำให้ดารัณหันหน้าไปมองรัชตาที่ยืนห่างออกไปเพราะส่วนสูงเธออยู่รั้งท้ายห้องเหมือนกับพวกลลิต
"ผู้หญิงคนนั้นหาบ้านฉันเจอ ท่าทางเธอไม่น่าไว้ใจ"
ดารัณเอ่ย ทำให้คะนิ้งขมวดคิ้วมุ่น
"รัชตาน่ะเหรอไม่น่าไว้ใจ
"ใช่"
"ไม่ใช่ว่าดารัณคิดมากไปเองนะ"
"ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็คงดี แต่เธอเข้ามาในห้องเก็บหนังสือ และอ่านเกี่ยวกับยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด น่ากลัวว่ามีคนที่เธอคิดจะใช้มันเพื่อกำจัดอยู่"
ดารัณบอกเรื่องที่เธอคิดกับคะนิ้งไปตรงๆ เพราะคะนิ้งเป็นคนเดียวที่ถูกดารัณยอมรับ ซึ่งก็ไม่ใช่แบบเพื่อนอีก จะออกไปทางเคารพให้เกียรติคะนิ้งมากกว่า จนคะนิ้งยังนึกแปลกใจไม่หาย
ด้วยเมื่อย้อนคิดกลับไป 4 ปีก่อน ตอนดารัณย้ายเข้ามาเรียน ม.2 ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งนี้ใหม่ๆ เธอทั้งเย็นชา มีอ่อราน่ากลัว และไม่คิดจะสนทนากับใครในห้องเลยสักคน
แต่ทว่ากลับเดินมาแนะนำตัวเองกับคะนิ้งเพียงคนเดียว สร้างความงุนงงกับคนทั้งห้องไม่น้อย มิหนำซ้ำดารัณยังเรียกคะนิ้งว่า 'ท่านสโรชาด้วย' ท่าทีอ่อนน้อม ทั้งที่สโรชาคือชื่อจริงของคะนิ้ง พอคะนิ้งถามถึงเหตุผลที่เรียกเธอแบบนั้นตั้งแต่แรกเจอ
ดารัณก็บอกเพียงว่า ชะตากรรมบีบบังคับให้กลับไปภพอจินไตยเมื่อใดไม่ช้าไม่เร็วคะนิ้งจะได้รู้เอง คะนิ้งจึงล้มเลิกความสงสัยที่เหมือนดารัณจะรู้อะไรพอตัวแต่ไม่ยอมคายเรื่องที่คะนิ้งอยากรู้ออกมาแม้แต่ครึ่งคำไปชั่วคราว
และบอกให้ดารัณเรียกเธอเหมือนคนอื่นเรียก ทำให้4ปีให้หลังที่รู้จักมักคุ้นเป็นเพื่อนกันมา เรื่องที่ดารัณเคารพและเรียกเธอว่า ท่านสโรชา ก็ยังคงไม่ได้รับการไขปริศนาค้างคาใจ
กระทั่งมีวันนี้ วันที่ชะตากรรม ดารัณกล่าวอ้างมาถึง คะนิ้งจึงได้แต่หวังให้ความลับ ดารัณเก็บงำมาตลอดจะถูกเปิดออกในที่สุดเมื่อเดินทางไปต่างภพ
"แต่ฉันไม่คิดว่ารัชตาจะทำแบบนั้น รัชตาก็เป็นคนที่ถูกราชินีทางโน้นเลือกนี่นา"
คะนิ้งไม่เห็นด้วยจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นดารัณจะเคยบอกว่าทุกการกระทำของรัชตาล้วนเป็นเพียงละครฉากหนึ่งก็ตาม ดารัณจึงมองคะนิ้งจากหางตาแล้วถอนหายใจ
"เธอมองโลกในแง่ดีมันก็ดีอยู่หรอกคะนิ้งแต่การเพ่งเล็งไปที่มันมากเกินไปสักวันไม่ช้าไม่เร็วชีวิตของเธอจะต้องแขวนอยู่บนเส้นตายจะเดินหน้าก็ไม่ได้จะถอยหลังกลับก็ไม่ทันเพราะทัศนคติของเธออีกครั้งก็ได้"
"หืม? "
"ไม่มีอะไรหรอก อย่าใส่ใจเลย"
ดารัณตัดบทสนทนา พอดีกับที่เด็กนักเรียนมาเข้าแถวกันพร้อมเพรียง ประธานนักเรียนจึงบอกให้ทุกคนหน้าเสาธงยืนตรงร้องเพลงเคารพธงชาติและท่องคำปฏิญาณของโรงเรียน
หลังจากนั้นก็มีอาจารย์ออกมาพูดหน้าแถวให้กำลังใจนักเรียนเข้าสอบ สักพักประธานนักเรียนก็ปล่อยให้นักเรียนทุกระดับชั้นมัธยมปลายเตรียมตัวเข้าห้องสอบ
เมื่อท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมีเมฆดำมาปกคลุม ซึ่งแน่นอนมันเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตกในวันสอบที่ควรจะสดใสไม่ช้า
คะนิ้ง ลลิต ฟ้าหยาด เกวลี เจ้าเอย ดารัณ อคิราห์ นิศาและรัชตาจึงจะเดินขึ้นชั้นเรียนเมื่อออกมาจากแถว
แต่นีลกลับหยุดชะงักฝีเท้าหันกลับไปยังทางที่เดินมาทำจมูกฟุดฟิดเหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่คนอื่นยังสัมผัสไม่ได้ด้วยสัญชาตญาณสมิง
"ได้กลิ่น...อันตราย...."
ครืนนน!!
สิ้นคำนีล ก็พลันปรากฏหลุมดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้า มืดครึ้ม พร้อมกับมีนกยักษ์สีดำ มากมายบินออกมาจากหลุมดำ
ที่พรานเร้นลับเรียกขนานนามว่า ช่องว่างมิติบิดเบี้ยว ที่ถูกเปิดออกโดยใครบางคนมีพลังมากพอจะเปลี่ยนโลกให้เกิดหายณะเลยทีเดียว
พวกมันส่งเสียงร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าราวกับมาเพื่อประกาศสงคราม ทำให้คะนิ้งและคนอื่นๆ ชะงักฝีเท้า หันกลับไปแหงนหน้าขึ้นมองตามนีล
เวลานั้นเหล่าเด็กสาวก็ต่างพร้อมใจกันจะก้าวขาวิ่งออกไปรับมือกับพวกมัน เพราะการโค่นรากถอนโคนอสูรที่มีจิตมุ่งร้ายสำหรับพรานเร้นลับต้องมาก่อนชีวิตตัวเองเสมอ
แต่แล้วสายตาพวกเธอก็เหลือบไปเห็นกลุ่มชายชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนหลังคาอาคารเรียนที่สูงสุดในโรงเรียนหลายตน โดยที่มีตนหนึ่งยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามซะก่อน
ก่อนพวกเขาจะสวดร่ายมนต์สร้างม่านอาคมที่ตีวงกว้างแผ่รัศมีปกคลุมทั่วทั้งอาณาบริเวณโรงเรียนเปรียบเสมือนโล่ป้องกัน
พวกอสูรจึงไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาในอาณาเขตโรงเรียนได้ดั่งใจ แล้วชายชุดดำเหล่านั้นก็ทิ้งตัวลงจากหลังคา เผยปีกแดงฉานต่อสายตา บ่งบอกว่าเป็นพรานเร้นลับครุฑธา
ตระกูลรักตปักษ์ ที่ตัวเป็นคน แต่มีแค่ปีกทรงพลังโดดเด่นเรื่องความว่องไวที่สุด กางออกบินขึ้นเหนือฟากฟ้าตรงเข้าไปไล่ล่าจัดการเหล่าอสูรที่พยายามจะทำลายม่านอาคมครุฑธา
คะนิ้งและคนอื่นๆ จึงตัดสินใจหมุนตัวเดินขึ้นชั้นเรียนไปสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นว่าในตอนนี้ มีหลุมดำมากกว่าหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ทั้งนอกเขตม่านอาคมยังมีอสูรหลายตนพยายามจะทำลายม่านอาคมเพื่อให้ตนได้เข้ามาข้างในเขตอาคม
แต่ก็ถูกโหงพรายอาคมเสมือน วิญญาณสีดำจากขุมนรกและควายธนูนอกเขตอาคมลากคอออกจากระยะม่านอาคม
ไปสู้กันจนดูวุ่นวายไปหมดไม่ต่างจากสนามรบดีๆ นี่เอง ยังนับว่าโชคดีหน่อยที่ม่านอาคมก็ช่วยพรางตาให้แม้แต่บุคคลมีสัมผัสที่หกก็ไม่อาจมองเห็นอสูรเหล่านี้ได้
ไม่เช่นนั้นเกิดมีคนธรรมดามองเห็นเหมือนที่เหล่าเด็กสาวเห็นเข้า คงได้กลายเป็นฝันร้ายไม่ก็ช็อคจนเสียสติไปเลยก็ได้เป็นแน่แท้
"จิ๊! ตระกูลรักตปักษ์พวกนั้นไม่น่ามาขวาง หมดสนุกเลย"
เป็นลลิตบ่นพึมพัมไม่พอใจจนทำให้อคิราห์เดินตีคู่มาเขกหัวให้ทีหนึ่ง
ป๊อก!
"โอ๊ย! มันเจ็บไม่ใช่หรือไงคิราห์ร้อยเล่มเกวียน"
ลลิตกุมหัวตัวเองร้องโอดครวญ
"ก็สมควรโดนอยู่หรอกฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาเล่นน่ะลลิต"
"รู้แล้วๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้พอใจยัง"
"ไม่รู้สิจ๊ะ ถ้าเธอจะทำได้น่ะนะ "
อคิราห์ตอบอย่างรู้ทัน เพราะว่าคนอย่างลัลน์ลลิตไม่มีทางหยุดนิสัยเห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปหมดได้จริงดั่งปากหรอก ทำให้ลลิตเชิดหน้าใส่ไม่คิดเสวนาต่อให้เปลืองน้ำลายกับคนที่ตนเถียงไม่เคยชนะ
"เฮอะ ได้ยินมาว่า ผู้ชักนำโยนิกบฏทางโน้นอยากให้พรานเร้นลับที่พระราชินีเลือกทางนี้ตายเพราะกลัวจะเป็นตัวขัดขวางแผนการให้ล้มเหลวในวันข้างหน้า ก็นึกว่าเป็นเรื่องกุขึ้นมาซะอีก แต่กลางวันเสกๆ ยังคิดส่งสัตว์รับใช้เป็นกองทัพมาลากคอถึงที่ขนาดนี้ฉันก็พึ่งจะได้รู้ว่าไอ้บ้าผู้ชักนำตนปัจจุบันนอกจากจะร้ายกาจเกินโยนิแล้วยังขี้ขลาดทัศนคติน่ารังเกียจจนอยากฆ่าทิ้งด้วยมือตัวเองจริงๆ"
คราวนี้ฟ้าหยาด ที่ทั้งเกลียดและขยะแขยงอสูรเข้ากระดูกดำ อยู่แล้วพูดขึ้นบ้างพลางหันไปแสยะยิ้มมุมปากใส่เกวลี
ทำให้แววตาเกวลีที่จ้องฟ้าหยาดตอบเขม็งในทันทีมีประกายดุดันก้าวร้าวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีรังสีฆ่าฟันรุนแรงแผ่กระจายออกมา
ท่าทางไม่เหมือนเกวลีที่มักทำสีหน้าเดียวตลอดทั้งวันจนคนอื่นๆ ยังรู้สึกได้คะนิ้งจึงออกปากห้าม
"อย่าไปยั่วโมโหสิฟ้าหยาด"
"ฉันพูดอะไรผิด เพราะประเภทเดียวกับเจ้านี่ไม่ใช่หรือไงที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วจนน่าฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุให้..."
วืด ~
ฟ้าหยาดยังพูดไม่ทันจบคำเงาสีดำจากปลายเท้าเกวลีที่ทอดตัวเองบนพื้นทั้งๆ ไม่มีแสงส่องก็ลุกจากพื้นขึ้นมา
ด้วยร่างกายเป็นอสูรเงา ดวงตาแดงฉานประดุจสัตว์ร้าย เงื้อแขนพุ่งเข้าหาฟ้าหยาดหมายจะทำร้ายทว่า
"..อย่ามา..ทำตามใจชอบ"
เกวลีตัวจริงเอ่ยดักคอขึ้นมาทำให้อสูรรูปลักษณ์ประหลาดสลายหายไปในพริบตาเสียก่อนเงาอสูรที่ส่วนเท้าจมหายไปกับพื้นจะยื่นเงื้อมมืออันตรายต่อชีวิตถึงตัวฟ้าหยาด
แล้วเกวลีก็เกิดวูบทรงตัวไม่อยู่ขึ้นมาจะล้มลงแต่อคิราห์ที่ยื่นใกล้สุดช่วยหิ้วปีกพยุงไว้ได้ทัน
"เธอโอเคนะเกวยังสอบไหวมั้ย"
"..ฉันไหว..ค่ะ.. ไม่เป็นไรมาก..แค่หมดแรงเท่านั้น..สักสามสี่ชั่วโมงก็คงหาย.. รีบไปเข้าห้องสอบเถอะ...ก่อนที่พวกเดียวกันกับไอ้บ้าที่ฟ้าหยาดพูดถึงจะหัวเสีย.. ออกมาทำตามใจตัวเองไปมากกว่านี้อีก..."
เกวลีบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงสีหน้าซีดเผือด หอบหายใจถี่เหมือนกับคนไปวิ่งออกกำลังกายระยะไกลมาแล้วเหนื่อยจนขีดสุด
หากถามถึงสาเหตุนั้นแน่นอนมันมาจากในดวงจิตเธอยังมีอสูรเกรี้ยวกราดที่ถูกกักขังได้ ยังไงไม่อาจหาความเป็นมาไม่ได้ เมื่อครู่พยายามควบคุมเธอและตั้งใจออกมาโจมตีฟ้าหยาดยังไงล่ะ
ทำให้เกวลีมักไม่มีแรงทุกครั้งที่อีกตัวตนพยายามจะทำแบบนั้นแม้เธอจะควบคุมมันได้ประมาณหนึ่งก็ตาม อคิราห์จึงอดที่จะเอ็ดฟ้าหยาดอีกคนไม่ได้
"เห็นมั้ยฟ้าหยาดนิสัยไม่ดี นี่น่ะเป็นความผิดเธอเต็มๆ เพราะงั้นจงมาช่วยฉันเดี๋ยวนี้เลยจ้ะ"
"ไม่เอา! "
ฟ้าหยาดปฏิเสธแทบจะทันที
"ทำไมจ๊ะ"
"ก็ฉันไม่ชอบมัน! "
ฟ้าหยาดตอบโดยที่เหลือบตามองไปทางอื่นขณะที่คนอื่นๆ ได้แต่ยืนเหงื่อตกไว้อาลัยชะตาฟ้าหยาดเมื่อเห็นออร่าแม่ผู้น่ากลัวจากอคิราห์
"นี่ฟ้าหยาดถึงไม่ชอบขนาดไหนก็อย่าหยาบคายกับเจ้าของร่างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยสิไม่เช่นนั้นเธออาจจะได้นอนหมดสติตรงนี้เพราะเพื่อนต่างสปีชีย์ของฉันแทนก็ได้นะจ๊ะ รู้มั้ยฟ้าหยาด~"
ราวกับมีเสียงเอคโค่อคิราห์ซ้ำๆ ในหัวฟ้าหยาดปนเปกับภาพหลอนนิ้วมืออคิราห์ข้างไม่ได้ประคองเกวลีที่ขยับพร้อมกันยั้วเยี้ยน่าขนลุก
จนฟ้าหยาดเริ่มเหงื่อตกหน้าซีดเป็นไก่ต้มแต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือไม่เลิก
"ยะ อย่าเอามาขู่ซะให้ยาก! "
"แหม อะไรกันไม่กลัวแล้วเหรอจริงเหรอจ๊ะถ้างั้นถึงฉันเรียกพวกเขามาตอนนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้วสิน้า~"
อคิราห์ไล่บี้ฟ้าหยาดจนฟ้าหยาดจนมุมเผลอร้องเสียงหลงออกมา
"อ้าก!! อย่าเรียกมานะเว้ย!! "
"หืม..ก็ยังกลัวอยู่นี่น่า"
อคิราห์ว่าพลางแสยะยิ้มหวานปานน้ำผึ้งอาบยาพิษ
"นะ หนวกหูน่า! "
"แหมๆ ทำเสียงดังกลบเกลื่อนอีกแล้วจะเอายังไงล่ะจ้ะ จะช่วยหรือไม่ช่วยฉันชักจะเมื่อยแล้วสิ"
"ระ รู้แล้วน่า! ช่วยก็ช่วย! "
ฟ้าหยาดยอมศิโรราบรีบช่วยหิ้วปีกเกวลีอีกคนพาขึ้นชั้นเรียนเข้าสอบ
และอคิราห์ก็ยังคงได้รับชัยชนะไปอย่างสวยงาม ทำลลิตยังสยอง ขณะพวกเด็กสาวพากันเดินขึ้นบันไดไปห้องสอบ
"นี่ เธอสองคนนั้นน่ะเพื่อนเป็นอะไรถึงได้ช่วยกันหิ้วปีกแบบนั้น"
อาจารย์คุมสอบเอ่ยถามทันที่เห็นฟ้าหยาดกับอคิราห์กำลังจะพาเกวลีเข้าห้อง ตามหลังคนอื่นๆ
"เพื่อนหนูเขารู้สึกแขนขาล้านิดหน่อยค่ะอาจารย์พวกหนูสองคนเลยช่วยพยุง"
อคิราห์เป็นคนตอบ เพราะฟ้าหยาดไม่ถนัดเรื่องตอบคำถามกับอาจารย์
"แน่ใจนะว่าแค่แขนขาล้าไม่ใช่ว่าไม่สบายอยู่หรอกเหรอ ดูซิหน้าซีดเชียว พวกเธอพาไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ ดีขึ้นแล้วตอนเที่ยงค่อยมาสอบก็ได้"
"ไม่ได้ค่ะ!! "
ฟ้าหยาดเผลอหลุดปากโพล่งขึ้นเสียงดังทำอาจารย์คุมสอบยังสะดุ้งโหยงตกใจ
"ทะ ทำไมล่ะเพื่อนเธอจะไม่ไหวแล้วนะนั่น"
"เพราะว่าพวกหนูต้องสอบให้เสร็จภายในวันนี้ยิ่งเร็วได้ยิ่งดี ช้ากว่านี้ทั้งครูทั้งหนูคงได้ลำบากลืมตาอ้าปากบนโลกนี้ไม่ได้แน่นอนค่ะ!! "
ฟ้าหยาดเอ่ยสีหน้าจริงจังมากๆ ของมากๆ จนดูเกินจริงไปเลยทีเดียวเชียวล่ะ แถมน้ำเสียงยังเหมือนท่องอะไรสักอย่างเร็วรั่วอย่างกับหายใจทางผิวหนังได้ ทำอคิราห์อยากจะหัวเราะให้สุดเสียง
ทว่าก็ต้องข่มอารมณ์กลั้นไว้ กลัวฟ้าหยาดจะขยาดไปอีกนานทั้งที่อุตส่าห์บากหน้าทำเรื่องไม่ถนัดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ ครั้งนี้ต้องยอมรับแล้วว่า
น่านับถือ น่านับถือจริงๆ
"จ้ะๆ ถ้าเธอยืนกรานขนาดนั้นก็ตามใจ"
อาจารย์คุมสอบยอมใจฟ้าหยาด พวกเธอจึงพาเกวลีไปนั่งโต๊ะตามเลขที่ของเธอซึ่งอยู่แถวหลังห้องเกือบสุดแล้วทั้งสองก็ไปนั่งโต๊ะของตัวเอง
ขณะอาจารย์คุมสอบเริ่มแจกชีสและกระดาษกาคำตอบวิชาคณิตศาสตร์วิชาแรก
ทำเอาเหล่านักเรียนสีหน้ามืดครึ้มบรรยากาศห้องจู่ๆ ก็เข้าสู่โหมดมาคุ ตึงเครียดอัตโนมัติ เมื่อได้กระดาษข้อสอบ
จะมีก็แต่คนเก่งจริงๆ เท่านั้นที่มองว่ามันง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเก่งสักคนที่มองว่ามันยากที่จะทำเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย ซึ่งคนๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจาก...
"เธอโอเคจริงๆ นะเกวลี"
เมื่ออาจารย์คุมสอบแจกกระดาษข้อสอบมาถึงโต๊ะเกวลีเห็นเธอยังหน้าซีด ก็ไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง
"หนูโอเคค่ะ"
เกวลีตอบน้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ไม่ไหวก็รีบบอกครูล่ะ อย่ามัวฝืนอยู่ ถึงการสอบมันจะสำคัญ แต่ถ้าเกิดเธออาการแย่ลงจนถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาลมันจะส่งผลไม่ดีกับตัวเธอเองทีหลังเอานะ "
"หนูทราบค่ะ"
เกลลีรับคำ อาจารย์คุมสอบจึงเอากระดาษข้อสอบไปแจกโต๊ะอื่น
ทำให้เกวลีถอนหายใจเอื้อมมือไปจะหยิบปากกาที่ฟ้าหยาดเอาออกจากกระเป๋ามาวางให้แต่ปากกาก็หลุดมือตกลงไปตั้งอยู่บนโต๊ะดังเดิม
"....."
..ขนาดมือยังไม่มีแรง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปได้แย่แน่ๆ
'หึ ท่าทางไก่ป่วยใกล้ตายเยี่ยงนี้ให้ข้าช่วยมิดีกว่ารึ'
น้ำเสียงแหบห้าวทุ้มต่ำที่เกวลีได้ยินคนเดียวดังขึ้นมาในหัว เกวลีจึงปฏิเสธทันทีไม่มีลังเล
'ไม่ดี'
'จากประสงค์ดีกลายเป็นเพียงธาตุอากาศที่เจ้าหาได้ต้องการไม่รึ ย่อมได้ เมื่อเจ้ากล้าขัดข้า เช่นนั้นมาดูกันไหมว่าจักทนได้นานสักเท่าใดกันเทียว...'
สิ้นประโยคเอาแต่ใจ ร่างใหญ่ของอสูรเงาตาแดงก่ำก็ปรากฏขึ้นมายืนข้างหลังเกวลี อ้าปากกว้างหมายจะกัด
นั่นทำให้เกวลีรู้ทันอารมณ์ไบโพล่าของอสูรตนนี้ ออกปากสั่งผ่านกระแสจิตน้ำเสียงเย็นเหยียบ
'อย่ามางี่เง่าแถวนี้ได้มั้ย'
'เจ้าคิดว่าจักสั่งข้าได้ด้วยรึ '
ไม่ว่าเปล่าเจ้าอสูรเงาดื้อด้านไม่ฟังคำพูดเจ้าของร่างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรยังเงื้อมือใหญ่คว้าคอเกวลีไว้
วินาทีนั้นปากกาปริศนา พุ่งมาทางอสูรเงาด้วยความเร็วที่คนธรรมดามองตามยังไม่ทัน
เจ้าอสูรพลันเบี่ยงตัวหลบ ปากกาจึงลอยเฉียดหัวคนที่นั่งข้างหลังไปปักค้างกับผนังราวกับจับวางแทน
ทำคนเฉียดตายเพราะปากกาหน้าเหวอช็อคนิ่งไป พอได้สติก็โวยวายซะเสียงดังจนอาจารย์คุมสอบรู้สึกปวดขมับขึ้นมา ขณะที่เพื่อนในห้องหันไปมองตามกันเป็นตาเดียว
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 16
Comments
Joysee Thokchom
คงไม่มีใครไม่ชื่นชอบงานของแอดได้เลยล่ะ 🤗
2025-04-14
1