เสี้ยวกสิณปักษาวายุภักษ์

กิ๊ง!

เสียงกระทบดังกังวานราวกับระฆังสะท้อนจากใกล้เป็นไกลกระทั่งสูญหายไป

เพียงเสี้ยวกระพริบตาสถานที่ใหม่อันเป็นทะเลเย็นฉ่ำดั่งหยาดทิพย์ชโลมจิต

กว้างขวางเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวใสกระจ่างจนมองเห็นกระทั่งทรายขาวและตัวปลาแหวกว่ายไปมา

ระดับความลึกเพียงเอว เหล่านักศึกษาก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ถนน

โดยที่เด็กสาวตรงหน้าเหล่านักศึกษาเองก็ได้กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในวรรณคดีปรัมปรา

ส่วนบนห่มผ้าแถบคาดอกสีฟ้า และเครื่องประดับทองเหลืองสมัยโบราณกาล ผมสีดำเงาสลวยถูกปล่อยยาวถึงกลางหลังลู่ระนาบผิวขาวดั่งกระเบื้องเคลือบแตกหักง่าย

ขณะที่ส่วนล่างครึ่งกายบางใต้น้ำคือครีบหางเกล็ดฟ้ามีประกายเงินวาวระยับยามต้องแสงกระทบแลดูงดงามล้ำค่า ช่างลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกันเพราะเด็กสาวไร้ท่าทีเป็นมิตรสุดจะหาคำกล่าว

"วารีเอยจงลงทัณฑ์"

ฟ้าหยาดเปิดปากเอ่ยวาจาราบเรียบจบคำมวลน้ำรอบตัวเหล่านักศึกษาก็พลันก่อตัวสูงขึ้นเป็นรูปร่างอรชรของหญิงสาวมีใบหูดั่งครีบ หางดั่งนางสุพรรณมัจฉาหลายตนรายล้อม

มองดูแล้วให้ความรู้สึกคลับคล้ายรูปปั้นประติมากรรมสีครามของคนครึ่งปลา อันมีนามเรียกว่า ภูตพรายวารีแห่งห้วงน้ำผู้เป็นบริวารประมุขเงือกสมุทร

พวกนางอ้าปากมากด้วยฟันแหลมคมเปล่งเสียง กรีดร้องโหยหวนทรงพลังประสานกันพร้อมเพรียง จนเกิดเป็นคลื่นเสียงรุนแรง สามารถถล่มเรือให้อับปางลงอย่างง่ายดาย

ทำให้เหล่านักศึกษาหลุดจากภวังค์ยกมือขึ้นปิดหูทุกข์ทรมานค่อยๆ มีเลือดแดงฉานไหลออกมาจากดวงตา จมูก และปากชวนสยอง

บางก็ทรุดตัวลงร้องโอดครวญด้วยความปวดร้าวถึงขั้วกระดูก เจ็บเจียนตายแสนสาหัส คล้ายถูกของมีคมที่มองไม่เห็นนับพันตวัดกรีดบาดทิ่มแทงเฉือดเฉือนทั่วร่าง ทั้งบ้าคลั่งและเลือดเย็นอย่างถึงที่สุด

ไร้ซึ่งหนทางหลบหนีนอกเสียจากชีวีจักสูญสิ้น สังขารจักแหลกเหลวเป็นเถ้ากระดูก เมื่อเพ่งพินิจใคร่ครวญแล้ว ช่างน่าเวทนามิน่าดูชมยิ่ง ฟ้าหยาดจึงยกมือข้างที่สวมกำไลทองเหลืองมีความพิเศษกว่าชิ้นอื่น

ขึ้นเป็นเชิงสั่งให้หยุด เสียงจากภูตพรายวารีจึงเงียบสงัดลง เหลือเพียงเสียงคร่ำครวญร่ำไห้หวาดกลัวดั่งมนุษย์เสียสติของเหล่านักศึกษาที่ยังคงดังอยู่

"ครานี้จักถือว่าข้าผู้น้อยสั่งสอนบทเรียนให้ จงกลับใจแลจดจำห้วงอารมณ์เจียนตายแต่มิอาจตายได้นี้หยั่งรากฝังลึกลงจิตใต้สำนึกไว้เสียเถิด หากหนหน้าฟ้าใหม่ข้าผู้น้อยบังเอิญประสบพบเจอเช่นนี้อีกเข้า เกรงว่าแม้นมีร้อยชีวิตสังเวยแด่ข้าผู้น้อยก็จักหาได้เพียงพอไม่หนา พี่ชายทั้งหลายท่านนี้"

ฟ้าหยาดเอ่ยน้ำเสียงเย็นเหยียบจับใจจบคำ บรรดาภูตพรายวารีก็ทิ้งร่างตรงเข้าจู่โจมกดร่างนักศึกษาลงสู่ใต้มหาสมุทร อันกลับกลายเป็นลึกสุดจะมองเห็นก้นบึ้งทะเลขึ้นมา

ทว่าทันใดชั่วพริบตาท้องน้ำเค็มปร่าที่พวกเขาคิดว่าถูกกระชากลงมาตายก็พลันสูญสลายมลายหายไป กลับกลายเป็นว่าพวกเขายังยืนอยู่กลางถนนดังเดิม

ราวกับว่าฝันร้ายที่พึ่งเผชิญหน้าเป็นเพียงภาพมายาน่าสะพรึงกลัว แต่ตัวต้นเหตุที่นั่งอยู่บนรถบิ๊กไบค์ สวมใส่หมวกกันน็อค ทั่วร่างเต็มไปด้วยจิตสังหารนั้นกลับมีอยู่จริง

ฟ้าหยาดเห็นพวกนักศึกษายืนเหม่อมองเธอตาลอยก็บีบแตรเรียกสติ ทำพวกเขาตกใจวิ่งไปทรุดเข่านั่งกับพื้นฟุตบาทหมดสภาพ พึมพัมแต่คำว่า จะไม่ทำแล้วๆ ซ้ำๆ ไปมาไม่มีทีท่าว่าจะหนี เธอฟังแล้วก็ยกนิ้วปาดคอเป็นเชิงบอกว่า ขืนทำอีกตายแน่

จนพวกต่างก็พยักหน้ารับรัวๆ ฟ้าหยาดเห็นแบบนั้นจึงสตาร์ทรถขับกลับไปจอดรถริมฟุตบาทที่กลุ่มนักศึกษาเจ้าถิ่นยังเกาะกลุ่ม ไร้วี่แววรถพยาบาลและดูท่าทางคนเจ็บใกล้จะได้ไปพบหน้าพญายมราชเร็วๆ นี้

"ให้ช่วยมั้ยพี่"

"ไม่ใช่หมอจะช่วยอะไรได้น้องมาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย! "

หนึ่งในนักศึกษาพูดไล่ฟ้าหยาดเสียงเครียด ฟ้าหยาดไม่ได้โกรธเคืองอะไร เพียงแต่ลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก

ทำให้คนที่มองมายังเธอปิดปากอย่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าต่ำหลบตาทันใด เมื่อสบตาฟ้าหยาด แล้วบังเกิดความรู้สึกว่าฟ้าหยาดมีอะไรบางอย่างที่ทำให้สัญชาตญาณพวกเขาบอกว่าขัดใจไม่ได้ขึ้นมา

"งั้น ขอดูอาการคนเจ็บก่อนก็ได้แล้วจะไป"

เด็กสาวหาได้รีรอให้มีคนตอบย่างเท้าเดินไปนั่งชันเข่าข้างคนเจ็บที่ หน้าตาซีดเซียวไร้สีเลือดนอนหลับตาขบกรามแน่น ท่ามกลางบรรยากาศอึกอักจะพูดไล่ฟ้าหยาดก็ไม่กล้าของเหล่านักศึกษา

"อึดใช้ได้นี่พี่ชาย ไม่อยากตายตอนหนุ่มสิท่า แต่ก็กร่างไม่เบาเลยนะเนี่ย"

ฟ้าหยาดเอ่ยขณะก้มหน้าก้มตาหยิบขวดโหลมีไข่มุกดุจลูกกวาดหลากสีออกจากกระเป๋ามาเปิดเลือกหยิบเม็ดสีแดงทับทิมคล้ายหยดเลือดออกมา

เงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตาเรียบนิ่ง ดุดันใช้ได้เลยทีเดียวจ้องเขม็งฟ้าหยาดไม่กระพริบราวกับจะสิงสู่ร่างเธออะไรเทือกนั้นทำฟ้าหยาดเสียวสันหลังวาบ

"อ่า...มองอย่างงี้น่ากลัวไปมั้ยพี่ อะ อ้าปากดิ"

ฟ้าหยาดยื่นไข่มุกจ่อปากนักศึกษาจัดว่าหน้าตาดีมากคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องและจ้องเขม็งฟ้าหยาดไม่วางตา คล้ายฟ้าหยาดเป็นคนรักแต่ชาติปางก่อนที่หนีจากก็ไม่ปาน

"มุกนี้เป็นยาที่ดีที่สุดกินเข้าไปแล้วถ้าพี่เป็นอะไรไปให้ตามไปหักคอฉันได้เลย เอ้า! เชิญ "

ฟ้าหยาดต้องลงทุนพูดโน้มน้าวคนเจ็บ ดื้อเพ่งที่ขบกรามแน่นท่าทางจะเจ็บมากๆ

จนเขายอมเปิดปากอย่างว่าง่าย ฟ้าหยาดจึงป้อนไข่มุกแดงทับทิมให้

ทันทีที่แตะถูกลิ้น ไข่มุกก็พลันละลายกลายเป็นของเหลวหนืด รสชาติคาวพิลึกเหมือนเลือด ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเลือดเค้นมาจากหัวใจฟ้าหยาด แข็งตัวเป็นมุกโลหิตเงือกสมุทร สรรพคุณน่าพิศวงบอกใครไม่ได้นั่นแหละนะ

"เท่านี้ก็เรียบร้อย งั้นขอตัวนะพี่ชาย ขอให้โชคดี"

ฟ้าหยาดปิดฝาและเก็บขวดโหลใส่กระเป๋าดังเดิมจะลุกชิ้งหนี

อนิจจาคนเจ็บกลับทะลึ่งตัวลุกขึ้นมาคว้าแขนเธอไว้ซะแน่นเป็นกาวตราตุ๊กแกเหนียวหนึบทนนาน ขณะที่เริ่มมีอาการแกร่งทั้งร่าง ร้องเสียงลอดไรฟันด้วยความปวดร้าวแสนสาหัส

จากอวัยวะภายในที่กำลังฉีกขาด กระดูกแตกละเอียดจนได้ยินเสียงดังเปราะๆ อื้ออึงอยู่ในหูเขาไปหมด ทำเหล่านักศึกษาเห็นเพื่อนทรมานก็พากันตื่นตูมเป็นกระต่ายยกใหญ่

"เฮ้ย! นาราเป็นไรวะ! น้องเอาอะไรให้มันกินทำไมมันเป็นงี้!? "

"ยา"

ฟ้าหยาดตอบสั้นๆ พยายามจะงัดแงะแกะมือที่ระบายความเจ็บ ด้วยการกดแรงบีบลงมาปานจะหักแขนเธอทิ้งเสียจนฟ้าหยาดเจ็บไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถจะแกะมือหรือคีมก็ไม่รู้ของนักศึกษานาม นารา ออกได้

"ยาอะไรกัน!? เห็นๆ อยู่ว่าจะฆ่ามันชัดๆ เลยนะน้อง! "

ชายหนุ่มโวยวายร้อนรน ทำฟ้าหยาดชักหัวเสียตาม อ้าปากจะสวนกลับไปบ้างไม่สนหน้าพี่หน้าน้องที่ไหนทั้งนั้นว่า ไม่ได้จะฆ่าโว้ย

แต่เสียงรถพยาบาลกับรถตำรวจบทจะมาก็มา ดังขึ้นซะก่อน ฟ้าหยาดจึงเป็นคนแรกที่ปิดปากเงียบ กระทั่งรถพยาบาลมาจอด

มีบุคคลที่รอคอยลงจากรถพร้อมอุปกรณ์การแพทย์วุ่นวายไปหมดเตรียมจะย้ายร่างนาราที่ถูกวางให้นอนบนเปลขึ้นรถ

แต่ก็ย้ายไม่ได้เพราะติดตรงที่คุณพี่นาราดื้อเพ่งจับแขนฟ้าหยาดไว้ไม่ปล่อยประหนึ่งให้ตายยังไงก็จะพาฟ้าหยาดไปด้วยนี่แหละ จนฟ้าหยาดถูกมนุษย์ผู้ช่วยเข้าใจผิดไปเรียบร้อย

"น้อง แฟนน้องเขาอยากให้ไปด้วยน้องก็ไปๆ เถอะมัวแต่ชักช้าเดี๋ยวไม่ทันการกันพอดี"

"แฟนที่...."

"ไอ้เวรนารา! จะได้พบหน้าพญายมอยู่แล้วยังจะมาจับมงจับมือหญิงหาบิดาอีก ปล่อยเลยไอ้นี่ เพื่อนแม่งซีเรียสเพราะเป็นห่วงแกจนหน้าคล้ำหน้าดำหมดละเนี่ย เบิ่งตามาดูบ้างดิเว้ย! "

คำด่ากราดของนักศึกษาคนเดียวกับที่ไล่ฟ้าหยาดดังแทรกราวกับเสียงสวรรค์ นาราจึงยอมคลายมือปล่อยฟ้าหยาดให้หลุดจากพันธนาการอย่างเชื่องช้า

คล้ายปล่อยสายริบบิ้นแดงให้หลุดลอยจากมือถูกสายลมพัดพาไปไม่หวนกลับมา แม้พยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ก็ไม่ได้คืน แล้วนาราก็มองหน้าฟ้าหยาดด้วยสีหน้านิ่งงันแต่ดวงตาดุๆ กลับฉายแววหม่นเศร้าจางๆ ชั่ววูบหนึ่งพาดผ่าน

ก่อนเขาจะหลับตาตาลงข่มความเจ็บดุจมีแมลงนับหมื่นรุมกัดแทะภายในร่างกายจนปั่นป่วนไปหมด ผู้ช่วยจึงพาตัวเขาขึ้นรถไป ทำให้ฟ้าหยาดมองตามด้วยความประหลาดใจ

คนเราจะสามารถแสดงความรู้สึกคล้ายถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังกับคนแปลกหน้าได้ด้วยงั้นหรือ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเด็ดขาด

ฟ้าหยาดจึงเค้นสมองตัวเองดูว่าอยู่มาจนอายุ18 ปี เธอเคยทิ้งคนรักแบบไม่ใยดีมาก่อนบ้างมั้ย นึกๆ จนถี่ถ้วนดีแล้วก็ยังได้คำตอบว่าไม่มีทางเด็ดขาดเช่นเดิม

ทำไมน่ะรึ เพราะเธอเป็นเงือกไง เงือกสมุทรที่ไหนจะไปปักใจรักมนุษย์ โยนิท้องทะเลที่รู้สึกอย่างนั้นได้ แสดงว่านางต้องเตรียมใจแหกกฎฟ้าเอาไว้พอสมควรแล้วเท่านั้นล่ะนะ งั้นก็สรุปได้เลยว่ากรณีนี้คงจำผิดคนแล้ว

ฟ้าหยาดจึงเลิกถามตัวเองมองตามรถพยาบาลที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตาแล้วก้มมองนาฬิกาที่บอกว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงใกล้จะแปดโมงอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักเท่าไหร่

"ประเดี๋ยวก็คงจักกระอักเลือดออกมามากมายพร้อมด้วยกระสุนแลหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อฟื้นคืนมาไร้บาดแผลสติสัมปชัญญะครบถ้วนคงเกิดความโกลาหลงุนงงให้วุ่น เฮ้อ บุญกรรมใดหนาข้าจักต้องช่วยเหลือชายผู้นั้นถึงเพียงนี้ช่างมืดแปดด้านจริงแท้"

ฟ้าหยาดพึมพัมกับตัวเองพลันหูก็ได้ยินเสียงตำรวจคุมตัวนักศึกษาต่างถิ่นและเจ้าถิ่นให้ขึ้นรถทั้งสองคันไปที่โรงพัก

สักพักก็เริ่มมีไทยมุงจากไหนไม่รู้มายืนดูกันอย่างสนใจบ้างก็พูดด่าทอตามประสาคนมีอคติ ฟ้าหยาดเห็นแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะ

ผลักตัวเองออกจากวงจรแม่แรงที่ดึงดูดเธอเข้ามาพัวพันเดินตรงไปยังรถคู่ใจ หยิบหมวกกันน็อคมาสวมเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนบิ๊คไบค์ เอาขาตั้งขึ้น สตาร์ทเร่งเครื่อง ปลดเกียร์

แล้วบิดแฮนด์ออกตัวมุ่งสู่โรงเรียนมัธยมศึกษาโดยที่คนข้างหลังจะเป็นโรคลืมหน้าเธอกันถ้วนหน้าแม้แต่กล้องวงจรปิดยังเออเร่ออย่างไม่ทราบสาเหตุกันเลยทีเดียวเชียว

"หืม....คราวนี้ช่วยคนงั้นเหรอแถมยัง..."

เด็กสาวใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาเฉี่ยวคม พึมพัมทั้งๆ มีอมยิ้มอยู่ในปากเมื่อปรากฏตัวขึ้นมาบนฟุตบาทอย่างเงียบเฉียบ

พอดีกับรถตำรวจสองคันขับผ่านไปเกิดสายลมระลอกหนึ่งพัดมาปะทะร่างเธอ ทำให้กระโปรงนักเรียนพริ้วไปด้านหลังตามแรงลม

แต่เด็กสาวหาได้สนใจจับกลับกันยังมองมองตามรถ ทำจมูกฟุดฟิดดมหากลิ่นวิญญาณในมวลอากาศแล้วสีหน้าก็นิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดหนักขึ้นมาทันใด

"...มีเค้าลางเงื่อนตายยุ่งยากเพราะคนอื่นเพิ่มมาให้แก้ซะด้วยสิ"

จบคำเด็กสาวก็หมุนตัวพอดีกับมีเด็กผู้ชายประมาณ3-4ขวบได้วิ่งมาชนเธอเข้าแล้วล้มลงไป ก้นกระแทรกพื้นเสียเองร้องไห้โฮงอแงจนเกินแง่เกินงาม

ทำเด็กสาวจ้องเด็กนิ่งชั่งใจว่าจะเอายังไงดีอยู่ครู่หนึ่ง ก็นั่งลงชันเข่าตรงหน้าเด็กน้อย ยื่นมือไปดีดหน้าผากทีหนึ่ง

ป๊อก!

"โอ๊ย! "

"เงียบเถอะเจ้าหนูพี่เสือหาใช้นางฟ้าใจดีกับเด็กขี้แยสักเท่าใดนา อย่าได้มากระตุกหนวดพี่เสือจะดีกว่า"

เธอเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่ติดจะดุจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยน่าสงสารท่าที ดุจพยัคฆ์ร้ายจ้องตะปบเหยื่อ จนเด็กน้อยหยุดร้องพยักหน้ารับรัวๆ

"หึๆ อะไรกันๆ ขู่แค่นี้กลัวแล้วหรือ งั้นพี่เสือให้นี่ปลอบขวัญละกัน"

เด็กสาวแทนตัวเองว่าพี่เสือล้วงอมยิ้มสายรุ้งจากกระเป๋าสะพายมายัดเยียดใส่มือเด็กน้อย แล้วสายตาก็พลันเห็นอักขระคุ้นตาบนแขนเด็กที่ลอดออกมาจากเสื้อแขนยาว

เด็กสาวจึงคิดจะเลิกแขนเสื้อเด็กขึ้น แต่แม่เด็กเดินออกมาจากร้านค้าใกล้ๆ ตรงเข้ามาพยุงร่างเด็กให้ลุกขึ้นซะก่อน พร้อมกับมองมายังเธออย่างไม่เป็นมิตรก่อนที่จะพาเด็กน้อย

ที่หันกลับมามองเด็กสาวชั่วครู่หนึ่ง เดินจากไปในทันทีทำให้เด็กสาวลุกขึ้นทำสีหน้าครุ่นคิด

"รู้สึก..เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง"

พึมพัมจบคำเด็กสาวก็หมุนตัวก้าวขาเดินจากช้าเป็นเร็วขึ้นเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่งด้วยความว่องไว

ดุจคลื่นมรสุมกำลังแรงระลอกหนึ่งพัดผ่านไปพร้อมกับมีเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นดั่งสายฟ้าฟาดลงมายามอากาศปลอดโปร่งทำผู้คนพากันผวากันเป็นแถบ

โฮกกก!!!

 

 

 

โรงเรียนมัธยมศึกษา

หน้าระเบียงชั้นม.6 เวลาไล่เลี่ยกัน

"เออนี่ ได้ยินข่าวมาบ้างหรือเปล่า"

"ข่าวอะไรล่ะ"

"ก็ข่าวมีตัวประหลาดออกทำร้ายคนที่ตรอกเมืองเมื่อคืนไงคนเค้าลือกันให้แซ่ดจะตายไป"

"อ้อ เรื่องนี้เอง ก็ต้องได้ยินสิ ฉันยังสงสัยไม่หายเลย คนแถวนั้นบอกว่าเห็นแมวดำตัวใหญ่มากๆ ตาสีเขียวดุเชียวยืนอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงล้มรถบาดเจ็บสาหัส แต่กล้องวงจรปิดเห็นแค่ผู้หญิงเสียหลักล้มลงไปเอง แถมถูกส่งโรงพยาบาลเพราะเจ้าตัวเป็นคนโทรเรียกรถมา ทั้งที่สภาพก็ไม่ได้สาหัสอย่างที่บอกแค่มีแผลถลอกไม่ลึกมาก พอฟื้นขึ้นมายังเบลอๆ จำอะไรไม่ได้ด้วยอ่ะ "

"ฉันก็อาการเดียวกันนั่นแหละเกิดอุบัติเหตุคล้ายกันแบบนี้ที่ไรคนอยู่ในเห็นการณ์พูดจาทำนองเห็นงูดำเห็นเสือดำเห็นหมาดำเห็นสารพัดสัตว์ดำเป็นตัวต้นเหตุกันหมดบางที่เห็นผีสาวชุดดำใส่หน้ากากชวนขนลุกหกเจ็ดคนออกมาล่ามันก็มี ฟังแล้วฉันนี่มึนตึ๊บ คือนี่มันยุคไหนแล้ว เรื่องแบบนี้มันก็มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละจริงมั้ย"

"อืม นั่นสิ ไม่รู้เรื่องจริงหรือกระแสกุขึ้นมา สนใจมากก็ปวดหัวเปล่าๆ อ่านหนังสือสอบดีกว่า"

"ก็จริงพิลึกน่าปวดเศียร"

สองนักเรียนหญิงคุยกันจบประเด็นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านั้น เด็กสาวนั่งเป็นกลุ่มที่ระเบียงห่างออกไป ผู้กลายเป็นหัวข้อสนทนาได้ยินทุกประโยคชัดถ้อยชัดคำ

"มนุษย์หนามนุษย์เรื่องจริงก็ดูไม่ออกเรื่องหลอกแห่เชื่อกันจัง"

ลลิตบ่นลอยๆ ขณะในมือถือพัดไม่ได้คลี่ออก เคาะลงบนมือเป็นจังหวะเนิบนาบ

มีหนังสือวางทาบอยู่บนหน้าตักท่าทีสบายเกินหน้าเกินตาจนถูกอคิราห์ ควบตำแหน่งนักเรียนดีเด่นคนเก่งพร้อมๆ กับตำแหน่งแม่ประจำกลุ่ม เจ้าของใบหน้าหวาน นั่งใกล้ๆ ปิดเอวให้ ร้องโอดครวญเสียยกใหญ่

"โอ๊ยๆ เจ็บแล้วๆ ๆ ~"

"เจ็บแล้วก็กรุณาจำด้วยจ้ะ มัวแต่ค้อนแคะคนอื่นไม่ได้ทำให้คะแนนสอบเธอดูดีขึ้นมาหรอกนะ ทางที่ดีที่สุดคือเธอต้องทำให้ได้เหมือนคะนิ้งไม่ก็เกวลีเท่านั้นคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำที่สุดในห้องถึงจะดูดีขึ้นมารู้มั้ย"

ว่าแล้วอคิราห์ก็พยักเพยิดหน้าไปยังคะนิ้งและเกวลีที่จดจ่ออ่านหนังสืออย่างตั้งใจด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดไปกับสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียวมากกว่าสิ่งใดรอบตัวทำ ลลิต จู่ๆ ก็สีหน้านึกสนุกขึ้นมาจนน่าตีสักที

"ข้าผู้น้อยอ่อนด้อยปัญญาสมาธิสั้นนักมีเพียงพละกำลังตัดสินปัญหา แม่หญิงคนงามจักให้ข้าผู้น้อยทำอย่างไรเล่า โปรดชี้แนะข้าผู้น้อยมาสักสองสามข้อได้หรือไม่เจ้าค่ะ"

ลลิตเอ่ยน้ำเสียงยียวนกวนโทสะทำให้อคิราห์ฟังแล้วก็ตั้งถามขึ้นมากลับบ้าง

"เวลานี้สำหรับเธอเป็นเวลาเล่นสินะ ทั้งที่เย็นนี้ก็จะถูกส่งตัวไปแล้วน่ะเหรอ ไม่ดีเลยนะ ระหว่างที่ยังพอมีอิสระทำไมเธอไม่ลองลงมือทำอะไรให้เต็มที่ดูสักครั้งล่ะ หรือว่าการที่ต้องไปเผชิญชะตากรรมในพิภพอจินไตยเธอรู้ชะตาตัวเองว่าจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แก่ใจแล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรสักนิดเลยจ๊ะ?"

" คะ ใครมันจะไปรู้กันเล่า! เลิกพ่นวาจาชวนปวดหัวออกมาไปเลยนะ! "

ลลิตไปไม่เป็น ยกพัดชี้หน้าอคิราห์หน้าตาบูดบึ้งทันที

"นี่คำสั่งเหรอ? "

อคิราห์ทำสีหน้าครุ้นคิดว่าพลางดันพัดไปทางอื่น

"ใช่! "

"ไว้เธอทำคะแนนสอบได้เท่าคะนิ้งฉันจะลองเก็บมาพิจารณาดูนะ"

อคิราห์คลี่ยิ้มหวานที่ทำให้โลกนี้ดูสดใสขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปขยี้ผมลลิตท่าทางเอ็นดู จนผมลลิตที่รวบทวิลเทล เสียทรงลลิตจึงปัดมือออกแทบจะทันที

"ฝากไว้ก่อนเถอะคิราห์ร้อยเล่มเกวียน"

"ฉันไม่ธนาคารเพราะงั้นรีบๆ มาเอาคืนด้วยล่ะ"

"เชอะ! "

ลลิตเชิดหน้าใส่อคิราห์แรงๆ มีแง่งอนแต่อีกเดี๋ยวพอหัวเย็นลงก็ลืมไปเองซะงั้นว่าไปโกรธใครมา ทำเจ้าเอยมองดูอยู่นานอดหลุดหัวเราะไม่ได้

"หึๆ "

"ขำอะไรเจ้าเอยขี้เมา"

"เปล๊า อ่านหนังสือเหอะ ถึงเป็นเธอก็เถียงคิราห์ไม่ชนะหรอก"

เจ้าเอยบอก ทำลลิตเบ้ปากใส่ ก่อนจะยกหนังสือมาใกล้หน้าประชดประชัน เป็นอันว่าจบสงครามวาทะ

สักพักเสียงทักทายกึ่งเดาสถานการณ์ถูกก็ดังขึ้นมา พร้อมกับร่างสูงเพรียวของดาวโรงเรียน หน้าตาสะสวย เพียบพร้อมด้วยออร่าเด่นสง่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวทั้งห้า

"ไง อ่านหนังสือกันจนหน้าเครียดหรือว่าลลิตแผลงเดชแล้วถูกคิราห์สยบล่ะบรรยากาศมาคุเชียว"

ควับ

เมื่อได้ยินดังนั้นลลิตก็หันไปส่งค้อนวงใหญ่ใส่คนพูดแทบจะทันที

"ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลยนะนิศามากเรื่อง"

"จ้ะๆ ไม่ซ้ำเติมก็ได้ ว่าแต่ฟ้าหยาด นีล รัชตาแล้วก็ดารัณยังไม่มาเหรอ"

นิศาเอ่ยถามเมื่อมองไปไม่เห็นคนอื่นๆ

"ใช่ พวกฟ้าหยาดน่าจะกำลังมา แต่ดารัณฉันคิดว่ายัยนั่นอาจจะไม่มาเข้าสอบเพราะดารัณเป็นประเภทสังคมมนุษย์สัมพันธ์เป็นศูนย์ แถมยังชอบบ่นว่าน่าเบื่อ เวลาอยู่ในที่ที่มีคนเยอะอีกต่างหาก"

เจ้าเอยออกความเห็น

"ก็จริงของเธอแต่ว่าถ้าไม่มาก็แย่สิเพราะทางสภาส่งเรื่องขอโรงเรียนให้พวกเราสอบทุกวิชาเสร็จภายในวันนี้ เพราะเกินจะยื้อเวลาเลี่ยงเดินทางไปภพอจินไตยแล้วนี่นา"

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงดารัณก็ติดต่อยากกว่าคนอื่นซะด้วยสิ คงต้องรอดูแล้วล่ะนะว่า ยัยนั้นมีความคิดอยากจบม.ปลายมั้ย"

เจ้าเอยว่าทำให้นิศาพยักหน้าเห็นด้วย

 

ฮอต

Comments

Alphonse Elric

Alphonse Elric

สุขสันต์

2025-04-14

1

ทั้งหมด

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!