เอย...
"เจ้าเอย! "
เฮือก!?
เสียงโหวกเหวกของผู้เป็นแม่ทำเด็กสาวเจ้าของชื่อ ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งหลังตั้งฉากกับเก้าอี้ประหนึ่งซอมบี้ผุดขึ้นจากหลุม
ก่อนเจ้าเอยจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่ถือไม้หน้าสามชี้มาทางเธอสีหน้าดำทะมึนด้วยความมึนงงระคนสลึมสลือ ทำเด็กสาวตกใจตื่นเต็มตาขึ้นมาทันใด
"หือ..เฮ้ย!?ใจร่มๆ ก่อนแม่ นี่เอยปลุกยากถึงขนาดกับต้องพกคมแฝกมาด้วยเลยเรอะ"
"ฉันไม่ได้เอามาตีแกฉันเอามาไล่งูที่มานอนขดตัวบนเก้าอี้ที่แกนั่งอยู่ต่างหาก ไม่รู้มันหายไปไหนแล้วเนี่ย"
ระรินว่าพลางกวาดสายตามองไปทั่วห้องทำเจ้าเอยกลอกตาล๊อกแล๊กไปมาขณะเค้นสมองใช้ความคิด
"งูเงออะไรกันแม่เอยก็อยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้ลุกไปไหนเลยนะแม่ตาฝาดป่าว"
"ถึงฉันจะอายุมากตาฉันก็ไม่ได้ฟ่าฟางขนาดสร้างภาพหลอนขึ้นมาซ้ำๆ นะเจ้าเอย"
"เอยไม่ได้หมายความอย่างนั้นแบบว่าถ้ามันมานอนจริงๆ เอยก็เป็นผีสิแม่ไม่เห็นเอยอ่ะ"
"ตอนนั้นแกอาจละเมอเดินเข้าห้องน้ำก็ได้เจ้าเอย"
"เป็นไปได้ด้วยเหรอแม่"
เจ้าเอยมองระรินตาปริบๆ
"ไม่รู้ล่ะฉันขอยืนยันคำเดิมฉันเห็นงูดำตัวใหญ่ในห้องแกหลายครั้งแล้วจริงๆ แกไม่เชื่อก็ตามใจแต่แกต้องเอาเจ้านี่ไว้ป้องกันตัวเผื่อว่ามันจะออกมาให้เห็นอีก"
ระรินว่าแล้วก็ยัดเยียดไม้หน้าสามใส่มือเจ้าเอย เด็กสาวจึงหน้ามุ่ยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ก็รู้ว่าแม่เป็นห่วงเลยยอมรับมันมาอย่างช่วยไม่ได้
"แล้ววันหลังฉันจะไปหาซื้อว่านไล่งูมาให้วางไว้ในห้องจะได้เลิกหลอนว่ามันจะออกมาฉกแกเมื่อไหร่สักที"
ระรินว่าจบเจ้าเอยก็หูผึ่งสีหน้าเป็นกระต่ายตื่นตูมขึ้นมาทันใด
"ไม่ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกแม่เปลืองตังค์เปล่าๆ อีกอย่างเอยก็แพ้มันด้วยแทนที่แม่จะไล่งู แม่จะไล่เอยก่อนนี่แหละ"
จบคำเจ้าเอย ระรินก็ขมวดคิ้วเป็นปมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
"แกนี่นะแพ้ว่านไล่งูเจ้าเอยอำฉันเล่นรึไง"
"เอยพูดจริงๆ แม่ มีครั้งหนึ่งเอยไปบ้านเพื่อนแล้วเดินผ่านมันอยู่ๆ ก็เวียนหัวแถมกลิ่นยังเหม็นมากจนต้องเดินหนี แม่อย่าซื้อเลยนะงูมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แม่ลองให้คนมาดูก็ได้ถ้าไม่มีก็แล้วๆ ไปเนาะแม่"
เจ้าเอยไม่ว่าเปล่าก็วางไม้ไว้บนโต๊ะแล้วผละตัวจากเก้าอี้ปรี่เข้าไปกอดแขนระรินเหนียวหนึบ ออดอ้อนหญิงสาวจนโดนโบกหน้าผากไปทีหนึ่ง
"นี่แน่ะ อสรพิษก็คืออสรพิษไม่ต้องมาพูดว่ามันไม่น่ากลัวเลยเจ้าเอย"
"โหย~ เจ็บนะแม่ เขกมาได้"
เด็กสาวโอดครวญลูบหน้าผาก ด้วยใบหน้างำงอคอหักเป็นปลาทูแม่กลองไปในบันดล
"สมควรโดนคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขาดีนัก"
"แม่อ่ะ"
"ไม่ต้องมาแม่องแม่อ่ะไปอาบน้ำแต่งตัวเลยไปอย่ามัวลีลาเป็นแม่สายบัวรอท่าอยู่"
ระรินว่าพลางโบกมือไล่
"ช้ากว่านี้ก็ไม่สายหรอก แม่เล่นปลุกตั้งแต่ไอ้แจ้ข้างบ้านโก่งคอขันโหยหวนขนาดนี้"
"ไม่ต้องเลยๆ ไปเดี๋ยวนี้จะได้มีเวลาทบทวนเนื้อหาที่อ่านเมื่อคืน"
ระรินดุเสียงเขียว เจ้าเอยจึงไม่อยากขัดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กสาวจะไม่ต่อรอง
"ค่ะๆ ไปก็ได้แต่แม่ต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่ไปเหยียบร้านขายต้นว่านไล่งูหรือซื้อมันมาซ่อนในห้องเอยเด็ดขาดห้ามเด็ดขาด"
เจ้าเอยว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ระรินจึงพยักหน้ารับไปแม้จะแปลกใจว่าเป็นไปได้ด้วยเหรอที่คนจะแพ้ว่านไล่งูก็ตาม
"ฉันสัญญา"
"จริงนะจริงๆ นะแม่"
เจ้าเอยถามย้ำให้มั่นใจ
"อืม เดี๋ยวฉันไปหาคนเชี่ยวชาญจับงูมาดูห้องแกก็ได้"
ได้ยินแบบนั้นเจ้าเอยก็โผเข้ากอดระรินคลอเคลีย
"เอยรักแม่ที่สุดเลย"
"จ้าๆ ไปอาบน้ำซะไป สระผมด้วยหัวเหม็นแล้วเนี่ยยัยเด็กสวยแต่รูปขี้เกียจสระผม"
"ฮี่ๆ ๆ รับทราบเจ้าค่ะ"
เจ้าเอยคลายวงแขนว่าด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้ว เดินไปหยิบผ้าขนหนูในตู้จะเดินเข้าห้องน้ำส่วนตัว
แต่ก็ชะงักเท้าหันกลับมาถามคำถามแปลกๆ กับระรินประโยคหนึ่งคล้ายอยากรู้แต่น้ำเสียงเจือแววหดหู่ชวนประหลาด
"สมมุติว่าเอยไม่ใช่เอยคนเดิมแม่ยังจะรักเอยอยู่มั้ย"
"จู่ๆ ก็ถามอะไรแบบนั้นยัยเจ้าเอยแกจะเป็นยังไงฉันก็รักของฉัน ฉันมีแกเป็นลูกคนเดียว ไม่รักแกแล้วฉันจะไปรักแมวที่ไหนล่ะ"
คำพูดระรินทำเจ้าเอยหลุดหัวเราะรวนออกมา
"ฮ่าๆ ๆ ๆ รู้เรื่อง คราวนี้เอยไปอาบน้ำจริงๆ ละ"
ว่าจบเจ้าเอยก็เดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้ระรินมองตามหลังแล้วพึมพัม
"อะไรของยัยลูกคนนี้นับวันยิ่งแต่จะแปลกคนขึ้นทุกที"
วูบ~
จู่ๆ บรรยากาศในห้องเจ้าเอยก็ตกอยู่ในภวังค์ความเย็นดุจมีมวลคลื่นน้ำมองด้วยตาเปล่าไม่อาจเห็น
ไหลทะลักโอบกอดห้องทั้งห้องกดทุกจริงให้จมดิ่งลงสู่ห่วงแห่งชโลทรเพียงเสี้ยววินาที จนระรินรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายไม่ธรรมดา
พลันสายตาก็กระทบกับเงาดำคดเคี้ยวบนเพดานที่ค่อยๆ เลื้อยลงมายังผนังห้องเจ้าเอย
ขยายรูปร่างเป็นงูใหญ่เท่าต้นตาลมีหงอน ชูคอสูงตระหง่านท่วมหัว
ทำระรินตื่นตะลึงหากแต่ไม่ได้ขวัญอ่อนหวาดกลัวจนสติ สตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัววิ่งเตลิดออกไป กลับกันระรินเลือกยื่นนิ่งไม่ขยับ
จ้องเขม็งพิจารณาก็พบว่าเงาตรงหน้าคล้ายมีชีวิตแต่เพียงชั่วกระพริบตา
มันก็พลันมลายคลายรูปลักษณ์ไปเสียสิ้น ราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่จิตปรุงแต่งสร้างขึ้นมา ระรินจึงส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
"นี่ฉันฝันว่างูเผือกตัวใหญ่จะมาเอาตัวยัยเจ้าเอยไปถึงขนาดเก็บมาคิดเป็นตุเป็นตะเลยรึ ไม่ได้การล่ะเห็นทีต้องแวะไปหาหมอสักหน่อยแล้ว"
ระรินเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่าทุกอย่างที่ตนสัมผัสได้นั้นหาใช่สิ่งที่ย้ำคิดย้ำทำไปเองไม่
ขณะที่เจ้าเอยกำลังแปรงฟันอยู่หน้าอ่างล้างหน้าติดกระจกบานใหญ่
มีผ้าขนหนูพาดบ่ายังไม่ผ่านการอาบน้ำใดๆ ชายหนุ่มภูมิฐานราวๆ ยี่สิบกว่า แต่งชุดสูทดำ
มีรัศมีน่ายำเกรงลุ่มลึกแผ่กระจายออกมาทั่วร่างสูงโปร่ง ผู้มีใบหน้าดั่งเทพบุตรรูปงามแดนนภา ดวงตาสงบนิ่งมากด้วยกลิ่นอายลึกลับน่าค้นหา
ก็ปรากฏตัวมายืนด้านข้างเด็กสาวอย่างเงียบงันก่อนจะเปล่งวาจาทุ้มต่ำหนักแน่นออกมา ทำเจ้าเอยหันไปถลึงตาเขียวปั้ด แยกเขี้ยวเต็มไปด้วยฟองยาสีฟันใส่
"อันว่าความลับนี้มิมีที่ใดในโลกา เจ้าจักปิดได้นานสักเท่าใดกันเทียวภุชคินทร์"
"ภุชคินทร์ น้องสาวท่านสิ!"
"พูดถูกเจ้าเป็นน้องสาวข้า"
ชายหนุ่มเอ่ยสีหน้าระรื่น ทำเจ้าเอยขมวดคิ้วแทบจะเป็นปมอยู่รอมร่อ ก้มหน้าก้มตาล้างปากแล้วตอกกลับน้ำเสียงขุ่น
"ข้าประชด!"
"เป็นเช่นนั้นฤา"
ชายหนุ่มยังคงสีหน้าระรื่นต่อไปไม่เลิก
"ท่านมีธุระอันใด จงเร่งรีบว่าความมาเถิดพระเชษฐา อย่าได้มัวพิรี้พิไรโผล่ไปแวบมาตามติดน้องสาวผู้นี้เยี่ยงลูกกรอกน้อยหาใช่นาคาผู้ยิ่งใหญ่อยู่เลยเจ้าค่ะ"
เจ้าเอยถามเข้าประเด็น ทำไมเธอจะไม่รู้ดีล่ะว่าสิ่งที่แม่ตนเห็นเป็นความประสงค์ของบุรุษน่าตายจอมยั่วโทสะผู้นี้ล้วนๆ
"หึๆ หนีมากำเนิดเมืองมนุษย์ครานี้นับว่าปากคอเจ้าช่างเราะร้ายกับพี่ขึ้นมิใช่น้อยนักหนา"
ชายหนุ่มหาได้ใส่ใจวาจาแดกดันเพียงแต่ขบขันท่าทางปานอยากจะเคี้ยวร่างเขาให้เป็นผงธุลีบัดเดี๋ยวนี้ของเจ้าเอยที่หน้าดำขึงขังเป็นยักษ์มารไปเสียแล้ว ทำเจ้าเอยกดเสียงต่ำบ่งบอกว่าเธอไม่สนุกด้วย
"ท่าน-พี่-นา-เคนทร์"
"เอาเถิดๆ ข้ามิหยอกล้อเจ้าแล้ว"
นาเคนทร์เลิกเย้าแหย่เจ้าเอย พลางสะบัดมือเล็กน้อย ก็ปรากฏกล่องสีดำสลักลวดลายพญานาคขึ้นมาในมือ
"ท่านพ่อทราบความว่าเจ้าจักจากไปในที่ห่างไกลสายตา เป็นกังวลหนักหนาว่าภัยร้ายจักเล่นงานเจ้าสาหัส ท่านจึงฝากข้าให้นำแหวนนาคาคุ้มภัยมามอบให้แก่เจ้า เจ้าจงรับไว้เสียเถิดภุชคินทร์"
นาเคนทร์ว่าแล้วยื่นกล่องในมือให้เจ้าเอย เจ้าเอยจึงรับมันมาเปิดเพ่งพินิจดูก็พบว่าด้านในมีแหวนพญานาคสีดำลวดลายวิจิตรขดตัวได้รูป
ทำให้เธอลูบไล้อย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเจือแววรู้สึกผิดลึกๆ ออกมา
"ฝากท่านพี่ขอบพระคุณท่านพ่อแทนข้าด้วย แม้นข้าทำผิดต่อท่านนักท่านยังมีเยื่อใยห่วงต่อข้า"
"บุตรผู้ใด ผู้ใดย่อมรักแม้นกายหยาบจักเป็นอื่น แลข้าเองก็มิได้แตกต่างกันนัก แล้วข้าจักบอกให้"
นาเคนทร์ตกปากรับคำ
"เพียงแต่ก่อนกลับข้าจักขอกล่าวความตักเตือนเจ้าสักเรื่องหนึ่งหนา"
"เชิญท่านว่ามาเถิดเจ้าค่ะ"
"สิ่งใดดีจงอย่าได้คิดว่าดีสิ่งใดมิดีจงอย่าได้คิดว่ามิดีหากเจ้ายังมิได้ยลโฉมถึงแก่นแท้เพราะภายภาคหน้าชีวิตเจ้าจักเป็นไปเช่นไรนั่นคือชะตากรรมที่เจ้าเลือก แลเป็นการยากนักที่พญานาคเยี่ยงข้าฤาท่านพ่อจักยื่นมือเข้าไปฝ่าฝืนกฎแห่งบ่วงของเจ้าได้เจ้าเข้าใจหรือไม่น้องสาวข้า"
"ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ"
"ดียิ่ง เมื่อเจ้าไปแล้วข้าจักดึงความทรงจำท่านแม่ภพนี้เรื่องเจ้าฝากฝังผลึกนาคาไว้ชั่วคราว ป้องกันผลยุ่งยากเกิดตามมา แลจักคอยเฝ้าระวังภัยห่างๆ ให้ เจ้าจักได้มิต้องคอยห่วงใย แต่กระนั้นเพลาใดข้าเกิดเหงา นึกอยากจักปรากฏตัวให้ผู้อื่นเห็นแก้เบื่อขึ้นมาอันนี้ก็ช่วยมิได้หนา"
นาเคนทร์เอ่ยหน้าตาย แล้วเขาก็ชิ้งหนีไปทิ้งให้เจ้าเอยหัวฟัดหัวเหวี่ยง
กดด่าไม่เป็นภาษากับนิสัยแผลงๆ เล่นไม่เลิกราวกับเด็กน้อยชมชอบการกลั่นแกล้งผู้อื่นของนาเคนทร์
ทั้งที่เป็นพี่ชายจากภพอดีตอายุอานามรึก็ห่างกันอยู่หลายพันปีนักแท้ๆ
7.00 น.
บ้านแดนไพศาลกึ่งอู่ซ่อมรถใหญ่แห่งหนึ่ง
"พ่อ เห็นกุญแจรถฟ้ามั้ยอ่ะ"
เด็กสาวหน้าตาสะสวย ร่างสูงเพรียวระหง สวมเสื้อยีนน้ำเงินทับชุดนักเรียน บนบ่าสะพายกระเป๋าข้าง
ในมือสวมถุงมือแฟชั่นสีดำถือหมวกกันน็อคผู้ชายนิยมติดมาด้วย
ดูแล้วท่าทางห้าวหาญเกินหญิงไม่เบาเดินมาเรียกชายวัย40แต่ยังดูหนุ่มแน่นที่ก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าฝากระโปรงรถยนต์
ด้วยท่าทีดวงตาหรี่ปรือ จนปกรณ์เงยหน้าขึ้นมองยังส่ายหัว
"อยู่ที่พ่อเอง..ไอหยา นี่แน่ใจนะว่าตื่นแล้วฟ้าหยาด"
ปกรณ์ว่าพลางลวงกุญแจจากกระเป๋าเสื้อส่งให้
"โห่ แน่ใจสิพ่อนี่ใครฟ้าหยาดคนจริงนะ"
ฟ้าหยาดรับกุญแจมาก็เปิดปากหาวไม่มีอายทีหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นเสยผมหน้าแนบหูมีรอยเจาะไม่ได้ใส่ต่างหูเพราะมีสอบไม่ต่ำกว่าห้ารู
ก่อนจะสวมหมวกกันน็อคอย่างทะมัดทะแมงอกผายไหล่ผึ่งประหนึ่งชายชาติทหาร
ทำปกรณ์เห็นแล้วก็เกิดอาการไมเกรนถามหาปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใดได้แต่ส่ายหัวปลงๆ ไปมาหลายรอบพลางคิดในใจ
ไอ้เรารึอุสาห์ตั้งชื่อสมหญิงให้ซะดิบดีดูซิดันกลายเป็นหญิงสมชายไปได้
"เฮ้อ"
"เป็นไรอ่ะพ่อ"
"เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร ทีหลังก็เก็บไว้ให้ดีเหมือนเจ้ากำไลที่ไม่เคยถอดห่างจากตัวเลยหน่อยแล้วกัน หายขึ้นมาพ่อไม่รู้ด้วยแล้วนะ"
"คร้าบผม งั้นฟ้าไปโรงเรียนล่ะ "
ฟ้าหยาดโน้มศีรษะไหว้ปกรณ์งามๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงรถ
สักพักเสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้น แล้วบิ๊กไบค์คู่ใจสีดำก็แล่นออกสู่ถนนด้วยความเร็วแรง ซิ่งเต็มพิกัด จนลับสายตา
"อื้อหือน้องฟ้าหยาดคนแมนวันนี้ก็เท่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างนี้ลุงจะได้ลูกเขยหรือลูกสะใภ้หว่า"
ชายหนุ่มญาติห่างๆ ปกรณ์เอ่ยแซวขณะเดินเข้ามาในอู่พร้อมเพื่อนช่างด้วยกันทำปกรณ์แทบลิ่วประแจขันน๊อตไปแสกกลางกระหม่อมซะเดี๋ยวนั้น
"เดี๋ยวเถอะเจ้ากันต์ปากวอนแต่เช้าโดนหักเงินสักหน่อยเป็นไรฮึ"
"อ้าก! อย่านะลุง กันต์ผิดไปแล้วทีหลังจะไม่ปากสุนัขอีกสาบานเลยลุงยกโทษให้กันต์นะ พลีสๆ ๆ ๆ "
กันต์โอดครวญยกใหญ่จนเพื่อนพากันหัวเราะฮา ท่าทางหูหางตกเป็นหมาหงอยของกันต์ไปตามๆ กัน
"เออๆ ฉันพูดขู่แกเล่นหรอกไอ้นี่ก็จริงจังไปได้ ไหนๆ ก็มาก่อนเวลาแล้วไปหาทำงานโน่นไป"
ปกรณ์โบกมือไล่ด้วยความรำคาญ
"คร้าบ"
กันต์ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยน้ำเสียงทะเล้น ก่อนผละตัวไปทำงานของตน
ทางด้านฟ้าหยาด
เด็กสาวขับรถมาถึงบริเวณจุดที่ตั้งของมหาลัยประจำเมืองก็แทบจะเบรกบิ๊กไบค์ไม่ทัน
เมื่อดันมาเจอกลุ่มนักศึกษาเหมือนจะต่างถิ่นกับเจ้าถิ่นตะลุมบอนตีกันด้วยอาวุธสนับมือ ไม้หน้าสาม อาจจะมีมีดหรือแรงกว่านั้นก็ปืน ราวกับโกรธแค้นกันมาเป็นสิบชาติ
บนถนนไม่เกรงใจรถราแม้ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้จะมีแค่ฟ้าหยาดที่อยู่ในเหตุการณ์และถือว่าโชคดีไปที่ยังไม่มีคนสัญจรตามร้านร่วงฝั่งฟุตบาทก็ตาม
ฟ้าหยาดซึ่งจอดรถห่างพอจะไม่โดนลูกหลงจึงทำหน้าที่พลเมืองดี
เอาโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้ง191อย่างไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง
จากนั้นเธอก็เก็บโทรศัพท์ เคาะนิ้วกับแฮนด์รอท่าว่าเมื่อไหร่รถคันสีเลือดหมูสลับขาวจะมา
หรือเมื่อไหร่ไอ้ความป่าเถื่อนตรงหน้ามันจะยุติลง ปล่อยให้เธอไปโรงเรียนเพื่อสอบวันสุดท้ายสักที กระทั่งเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง
แล้วก็มีผู้ชายคาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาเจ้าถิ่นยกมือกุมท้องสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนที่จะทรุดตัวล้มลงกับพื้น
พลันวงตีกันก็แตกกระจายเป็นผึ้งรังแตก เหล่านักศึกษาต่างถิ่นวิ่งหนีผ่านฟ้าหยาดไปไม่แยแส
วินาทีนั้นทุกอย่างดูช้าลงคล้ายกับฟันเฟืองถูกสโลว์ ขณะฟ้าหยาดมองดูภาพผู้ชายถูกยิงมีกลุ่มเพื่อนสภาพสะบักสะบอมไม่แพ้กันรายล้อม
ในห้วงอารมณ์กระวนกระวาย กังวลกดดัน หนักหน่วง วุ่นวายไปหมดด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าราวกับมองดูนกแสนสวยถูกยิงปีกหัก ร่วงจากฟ้าตกลงมาตายตรงหน้าแล้วคิดไปว่าไม่เกี่ยวกับเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นลึกๆ แล้วในใจเธอก็ยังหลงเหลือจิตใต้สำนึกอันเรียกว่าสงสารอยู่เธอจึงทำในสิ่งที่นางในวรรณคดีผู้มีจิตใจงามตามท้องเรื่องสมควรทำ
แม้จะขัดกับตัวตนของเธอที่ไม่ชอบยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นโดยใช่เหตุลิบลับ นับว่าครั้งนี้คงเคยมีกรรมร่วมกันแล้ว
"ชิส์! "
บรื้น!!
เอี๊ยด!!!
"เฮ้ย! อะไรวะ! อยากตายรึไง!! "
นักศึกษาต่างถิ่นกร่างสุดตะคอกใส่ฟ้าหยาดที่ขับบิ๊กไบค์ไปตีโค้งจนเกิดเสียงดังดักหน้าไม่ให้นักศึกษาต่างถิ่นวิ่งไปยังจุดที่จอดรถ
ทำให้ฟ้าหยาดเงยหน้า ใช้นิ้วเลื่อนกระจกหมวกกันน็อคขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีดำสนิทที่ค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวฟ้าลึกลับมืดมนไร้จุดสิ้นสุดดังห้วงมหาสมุทรสุดหยั่งถึง
จ้องมองนักศึกษาที่โวยเธอรวมทั้งคนอื่นที่อยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น
เหล่านักศึกษาเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาพิศวงนั้นเข้าก็ยืนนิ่งราวกับร่างกายถูกสะกดตรึงไว้อย่างสมบูรณ์แบบในทันที
จะมีก็แค่ตากับประสาทหูเท่านั้นที่ยังรับรู้ว่าเด็กสาวบัดนี้ได้ลงจากรถมายืนตรงหน้า
เอาเหรียญดวงตาออกจากกระเป๋ากระโปรงมาวางบนนิ้วโป้ง
แล้วเธอก็ออกแรงดีดจนมันลอยหมุนคว้างในอากาศและตกลงสู่พื้นกลางวงเหล่านักศึกษาในเวลาต่อมา
กิ๊ง!
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 16
Comments