บ่วงพันธะกาล

บ่วงพันธะกาล

งานของพรานเร้นลับ

ชนบทเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ

น้อยครั้งจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปบนพื้นฐานกลไกอันเรียบง่าย

ใครจะคาดคิดยามค่ำคืนก็สามารถกลับกลายเป็นเงียบสงัดบรรยากาศวังเวงประหนึ่งเมืองร้างได้ไม่น้อย

แน่นอนอีกว่าเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนป่านนั้นเกิดมีใครต้องประสบเจอบางสิ่งหรือบางอย่างที่อาจมีก้ำกึ่งไม่มี ยากที่จะเชื่อในวินาทีแรกที่เห็นเข้าเราก็คงบอกได้เพียงประโยคเดียว

ท่านดวงไม่ช่วย ความนี้ซวยมาเยือนล้วนๆ

เคสนี้เองก็เช่นกัน..

"กรี๊ด!!! "

โครม!!!

ครืด!!!

เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มครูดไถลลากยาวกับพื้นถนนสนั่นไปสามบ้านแปดบ้าน ทำผู้คนแถบละแวกนั้นตื่นตกใจบ้างก็พร้อมใจเปิดบ้านออกมาดูเหตุการณ์บางราย

แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพุ่งตัวเข้าบ้านลงกลอนล็อคประตูแน่นหนาจ้าละหวั่นแทบไม่เห็นฝุ่นและกลับไปนอนคลุมโปงจับไข้หัวโกร๋นดังเก่าเพราะภาพที่พวกเขาเห็นนั่นคือ

อสูรเสือปลาหรือแมวดำเหลือบเทาอมมะกอก มีจุดน้ำตาลเรียงเป็นลายขนานทั่วร่างยักษ์ ดวงตาเขียวไสวถูกแสงไฟส่องกระทบจนมองเห็นชัดยิ่งกว่าชัดยืนอยู่กลางถนน

ห่างจากหญิงสาวเคราะห์ร้ายคล้ายพึ่งกลับจากที่ไหนสักแห่งนอนไร้สติโชกเลือด ข้างรถฟีโน่สภาพพังยับเยินไม่ไกลนัก

มันยกเท้าขึ้นมาเลียแล้วหันไปทำความสะอาดขนบ้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย่างสามขุมตรงเข้าไปหาหญิงสาวหมายจะตะปบเล่นเป็นแมวหยอกหนูจึงค่อยเขมือบที่หลัง

วินาทีนั้นกลับถูกแรงอัดกระแทรกเต็มเหนี่ยวเข้ากลางลำตัวจากอะไรสักอย่างที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วดุจสายลม

ซึ่งมันแน่ใจว่าเป็นเท้าคนจนร่างมันกระเด็นครูดไถพื้นไปหลายตลบราวกับเป็นเพียง กระป๋องน้ำอัดลมเปล่าแกะกะขวางทางเดิน

"เจ้าเหมียว..แกซุกซนเกินไปแล้วให้พี่สาวผู้นี้ช่วยกำราบพยศดีหรือไม่"

น้ำเสียงใสๆ ไพเราะฉะฉานบ่งบอกว่าเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น นิสัยแก่นแก้วไม่น้อยผู้ซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้ภายใต้หน้ากากขาวน้ำนมของนางรำ

สวมชุดดำรัดกุม มือถือพัดฉลุทำจากเนื้อไม้ชั้นดีสีแดงมีกลิ่นหอมดอกบัวจางๆ ดังลอยมาเหนือหัวอสูรเสือปลาที่นอนหมอบราบกับพื้น

ก่อนเท้าข้างหนึ่งของเธอจะเหยียบลงบนจมูกใหญ่มันไม่นึกขลาดกลัว ทำมันหงุดหงิดสะบัดหัวสุดแรง พรวดพราดลุกขึ้นพองขนส่งเสียงเกรี้ยวกราดเมื่อถูกเด็กสาวตัวจ้อยข่ม

เป็นผลให้สาวเจ้าร่างเล็กผอมบางลมพัดปลิวเสียหลักล้มลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น จังหวะนี้มันไม่รอช้าเงื้อเท้าหมายกางเล็บตะปบขย้ำร่างเด็กสาวให้แหลกเหลวกระดูกหักคาเท้าไม่มีชิ้นดี

แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวกรงเล็บยังไม่ทันถึงตัว เด็กสาวตรงหน้าก็กลับอันตรธานหายไปประหนึ่งร่างกายมลายกลายเป็นธาตุอากาศได้ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะคล้ายเสียงวิญญาณเด็กน้อย

ชมชอบการหลอกหลอนให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นอาจิณดังลอยมากับสายลมแผ่วๆ อยู่ไกลแสนไกลออกไป อสูรเสือปลาหันซ้ายหันขวามองหาเด็กสาวแต่ก็ไม่เจอ

กระทั่งสายตามันไปหยุดอยู่ที่ผู้มาใหม่ซึ่งสวมหน้ากากไม่ต่างกัน แต่เป็นเด็กผู้หญิงร่างสูงเพรียวกว่าสะพายกระเป๋าข้างสีเดียวกับชุด

มีจิตสังหารสงบแต่เยือกเย็นปนเปจิตสังหารรุนแรงมืดดำออกมาตลอดเวลา ทำมันที่จ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำเงินนิ่งงันของเด็กสาวใต้หน้ากาก ประสาทสัมผัสทุกส่วนเกิดไร้ซึ่งความรู้สึกไปชั่วขณะ

เธอปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผี เดินผ่านมันไปนั่งชันเข่าลงข้างร่างหญิงสาวเคราะห์ร้าย พร้อมกับจับมือหญิงสาวมาทาบชีพจร เมื่อรู้ผล เด็กสาวก็หยิบบางอย่างเล็กๆ ทรงกลมมีสีฟ้ามีประกายวาวระยับออกมาจากกระเป๋าสะพาย

แล้วใส่มันเข้าไปในปากหญิงสาวเคราะห์ร้าย ไม่มีท่าทีระแวดระวังหรือแยแสอสูรเสือปลาแม้แต่น้อย มันได้สติก็วิ่งตรงไปทางเด็กสาวมาใหม่จะจู่โจม ไม่นึกคิด เด็กสาวสาวคนแรกกลับโผล่มายืนตรงหน้าดักทางมันไว้ มันจึงหยุดชะงักฝีเท้าจ้องเขม็งหยั่งเชิง

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันตรายจากตัวเด็กสาวที่มากมายเกินกว่ามันจะรับมือไหว มันก็ถอยหลังหนีตีตัวออกห่างในทันที เด็กสาวเห็นท่าทางมันเปลี่ยนไปเกิดนึกสนุกขึ้นมา ก้าวขาเดินรุกเข้าหามันไม่ลดราวาศอก จนมันพองขนร้องขู่เสียงดัง

เมี๊ยว!!!

"จิ๊จิ๊ แกดุถึงเพียงนี้เห็นทีพี่สาวคงจักปราบให้เชื่องลำบาก ยากเข็ญเอาการเสียแล้วกระมัง เอาอย่างนี้ดีไหมบ้านเก่าแกอยู่หนใดพี่สาวใจดีจักส่งแกกลับไปให้ถึงที่เองหนา"

เด็กสาวเอ่ยน้ำเสียงหวาน หากแต่ชวนสะพรึงดังนางมารน้อยผู้หนึ่งดีๆ นี่เอง พลางยกพัดแดงขึ้นคลี่ออกป้องปากเสมือนเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ ทำให้กลิ่นอายมากด้วยแสนยานุภาพแผ่กระจายออกมาจากตัวพัดจน

อสูรเสือปลาเห็นอาวุธลับประเภทซ่อนคมกรงเล็บที่ตัดทุกสิ่งอย่างง่ายดาย มีเพียงชิ้นเดียวในภพอจินไตยที่มันจากมา ซึ่งไม่ควรค่าแก่การตกมาอยู่ในมือเด็กสาวตัวจ้อยชัดๆ

ยังผงะเหลียวหน้าเหลียวหลังหาทางจะหลบหนีพัลวัน หากแต่ช้ากว่าเด็กสาวที่ลดมือจากใบหน้าลงท่วงท่างดงามชดช้อย

วาดแขนตวัดพัดคลับคลาจะร่ายรำไปยังอสูรเสือปลาสุดแรง ก่อให้เกิดคลื่นกรงเล็บมัจจุราชสายหนึ่งพุ่งเข้าหาอสูรเสือปลาสะบั้นร่างมันขาดเป็นสองส่วนไม่ทันให้มันได้ลองหนีหรือหวีดร้องโหยหวน

วินาทีต่อมาร่างของมันก็แหลกสลายกลายเป็นกลุ่มควันสีดำมอดไหม้และดับสิ้นจางหายไปไม่หลงเหลือสิ่งใดไว้ เด็กสาวจึงหุบพัดลงอย่างเงียบงัน ก่อนหันไปจะเอ่ยปากถามอีกคนที่ผละตัวจากหญิงสาวเคราะห์ร้ายมายื่นนิ่งไม่พูดไม่จา

ในมือ ถือโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของเธอ พลันเสียงรถพยาบาลก็ดังขึ้นอยู่ไม่ไกล ทำเด็กสาวงุนงงระคนสงสัยว่ารถพยาบาลมาได้ยังไง คนมาที่หลังจึงชูโทรศัพท์เป็นเชิงบอกว่าเธอเป็นคนเรียกรถพยาบาลมาเอง

เด็กสาวคนแรกจึงถึงบางอ้อ ขณะที่อีกคนเอาโทรศัพท์ไปวางข้างตัวคืนเจ้าของ แล้วทั้งสองก็หลบฉากไปซ่อนตัวในเงามืดเมื่อรถพยาบาลมาถึง ได้ชะลอจอดที่เกิดเหตุ

ก่อนจะมีพยาบาลกับผู้ช่วยลงจากรถมาดูอาการ และเคลื่อนย้ายร่างไร้สติของหญิงสาวเคราะห์ร้ายขึ้นรถ แล้วรถก็ออกตัวจากไปอย่างเร่งรีบจนลับสายตา เด็กสาวทั้งสองก็ออกมาจากที่ซ่อนตัว

"คิดเหมือนข้าหรือไม่ แม่หญิงนาคราช วัฏจักรนี้ช่างวุ่นวายจริงหนอ"

เด็กสาวคนแรกเอ่ยถามน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่สิ่งที่ได้รับคืนกลับเป็นคำตอบที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่า

"นั่นสินะคะ"

"ว้า~ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เธอจะยึดมั่นอุดมการณ์น่าเบื่อเอาแต่ทำท่าทางเป็นปลาทูแม่กลองที่ตายแล้วหน้างอคอหักไปจนแก่เฒ่าหัวหงอกไม่มีใครรับเป็นเจ้าสาวไม่ได้ คราวหน้าลองเอออ้อตามน้ำไปกับคนอื่นดูซะบ้างเถอะ"

"ฉันต้องทำ? "

คนมาที่หลังเอียงคอเหมือนตุ๊กตาโดนชักใยถามกลับบ้างน้ำเสียงเรียบเฉย

"ใช่ ถ้าเธออยากจะให้กาฝากซึมซับตัวตนดีๆ จากเธอด้านอื่นซะบ้างน่ะนะ ไปล่ะ"

เด็กสาวหมุนตัวก้าวขาจะเดินจากไปเมื่อพูดจบคำ ทำให้คนมาที่หลังเอ่ยถามไล่หลัง

"นั่นเธอจะไปที่ไหนต่อ"

"สมทบคะนิ้ง"

 

 

 

ร่างบางทิ้งตัวจากดาดฟ้าโรงแรมติดถนนเท้าแตะลงบนพื้นสี่แยกตัวเมืองที่เงียบสงัด

ไร้วี่แววรถรา ทั้งยังมีหมอกหนาปกคลุมทั่วอาณาบริเวณบดบังสายตาผิดปกติจนมองเห็น

เพียงสีสัญญาณไฟและไฟจากตัวรถยนต์ คันหนึ่งเสียหลักอยู่ข้างเลนถนน สภาพบุบจนไม่เหลือเค้าเดิม คล้ายถูกกรงเล็บสัตว์เจ้าของกลิ่นอายสาบสางลอยฟุ้งในมวลอากาศที่เด็กสาวสัมผัสได้ตะปบอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองแต่มากกว่านั้น

และที่แย่สุดคือคนขับเองก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เด็กสาวจึงกวาดดวงตาน้ำเงินเยือกเย็นใต้หน้ากากมองไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมกับชักดาบเงินลงอาคม สลักอักขระโบราณออกจากปลอกมาถือ

ก้าวขาเดินอย่างเงียบงันไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าหาตัวต้นเหตุ แล้วเสียงสองเสียงเป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิงและผู้ชายราวกับหวาดกลัวปนเปเจ็บปวดถึงขีดสุดก็ดังขึ้นมา

เด็กสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบฝ่าหมอกหนาตรงไปยังทางด้านหน้า แล้วเธอก็ได้พบกับฝูงอสูรหมาในหิวกระหายตัวใหญ่ นัยน์ตาแดงฉานต่างรุมตะปบและกัดร่างหญิงชายคู่หนึ่งอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน

โดยมีตัวการเป็นชายชุดดำสีหน้าอำมหิตดั่งฆาตกรโรคจิตมีใบหูและหางปรากฏออกมาเธอตระหนักรู้ในทันทีว่า

มันคือด้านมืดของอจินไตยที่ถูกเรียกขานในกลุ่มพรานเร้นลับว่าโยนิมิจฉาทิฐิจ่าฝูงอสูรหมาใน ผู้ซึ่งมีจิตใจวิปลาสและโหดเหี้ยม

ถ้าพูดถึงเรื่องเพื่อสนองความต้องการตัวเองแล้วมันสามารถฆ่าชาวโยนิทุกสายเลือดและโยนิมิจฉาทิฐิด้วยกันได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เลยแม้แต่น้อย และจะไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่าภาพที่นองด้วยเลือดและแผลเหวอะหวะของหญิงชายทั้งคู่ได้อีก

ถ้าหากไม่มีเด็กชายวัยประมาณสิบขวบกว่าเห็นจะได้ ยังมีลมหายใจ นั่งนิ่งบนพื้นคล้ายช็อคสุดขีด ดวงตาเลื่อนลอยไร้แวว

มีปลายดาบจากโยนิมิจฉาทิฐิชนชั้นล่างที่ยื่นอยู่ด้านหลังพาดอยู่บริเวณคอ ถือเป็นการหยามหน้าและฝ่าฝืนกฎเหล็กโลกมนุษย์อย่างใหญ่หลวงที่ว่า

'โยนิภพคู่ขนานไม่ว่าร้ายหรือดีท่านสามารถเดินทางข้ามมิติมาโลกมนุษย์ได้ แต่ท่านไม่สามารถก่อเรื่องหรือเข่นฆ่ามนุษย์ได้ หากท่านฝ่าฝืนกฎ โทษของท่านมีเพียงตายเพื่อชดใช้สถานเดียว'

ทำให้เด็กสาวปล่อยจิตสังหารรุนแรงออกมา ขณะอักขระโบราณบนตัวดาบมีไอน้ำแข็งระเหยออกมา และตัวด้ามจับก็ปรากฏน้ำแข็งมากมายเกาะดังผลึก พร้อมฆ่าไม่มีเลี้ยง

"หือ..เจ้ามาช้าไปหนาแม่หญิงพรานเร้นลับ จงดูเอาเถิดมนุษย์ที่เจ้าปกป้องเสียยิ่งกว่าชีพจรเจ้าเอง ข้าเพียงแต่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงหยอกล้อเล่นรอให้เจ้ามาก็จักสิ้นชีพ..."

กึ๊ด!!

ไม่ทันสิ้นคำโยนิมิจฉาทิฐิ เด็กสาวตรงหน้าก็พุ่งเข้าตวัดดาบอาคมฟาดฟันสะบั้นร่างอสูรหมาในได้ชื่อว่าดุร้ายไม่น้อยในแดนอจินไตย

ตัวหนึ่งหัวขาดตัวหนึ่งลำตัวขาดและอีกตัวหนึ่งถูกสะบั้นร่างจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เลือดสีดำสาดกระจายในชั่วพริบตาอย่างเลือดเย็นเฉกเช่นพญายมแดนดิน

เหล่าอสูรหมาในจึงยุติการรุมทำร้ายชายหญิงคู่นั้นในทันที มันหันไปร้องคำรามโกรธเกรี้ยวใส่เด็กสาวแล้วพากันกรูเข้ารุมล้อมสู้แรงคมดาบอาคม

อย่างบ้าคลั่งแต่ท้ายที่สุดพวกมันก็จบชีวิตลง สังเวยให้แก่ดาบเด็กสาวอย่างอนาถนอนอาบทะเลโลหิตเอ่อนอง ส่งกลิ่นคาวคลุ้งด้วยร่างไร้วิญญาณมีบาดแผลถูกคมดาบอาคมตัดเฉือดเฉือนทั่วร่างเกลื่อนพื้น

และวินาทีนั้นเอง เด็กสาวก็เพ่งเป้าตรงเข้าจู่โจมโยนิมิจฉาทิฐิต่อด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วมองตามไม่ทันไม่รีรอให้อีกฝ่ายที่ยืนตะลึงได้ทันตั้งตัว

มือเรียวแตะถูกดาบได้ ก็แช่แข็งมันด้วยผลึกน้ำแข็งที่ขยายตัวเองแตกแขนงลามไปถึงมือโยนิมิจฉาทิฐิอย่างรวดเร็วป้องกันคมดาบจะโดนเด็ก

ก่อนที่เธอจะคว้าคอโยนิมิจฉาทิฐิเหวี่ยงสุดแรง ร่างโยนิมิจฉาทิฐิกระเด็นไปกระแทรกเข้ากับเสาไฟฟ้าเกิดเสียงดัง และมีรอยแตกร้าวที่เสาไฟฟ้า

น่ากลัวว่ามันจะหักโค่นลงมาทับเอา แล้วเด็กสาวก็ตามไปเงื้อดาบสุดแขนแทงเข้ากลางอกโยนิมิจฉาทิฐิจนปลายดาบทะลุร่างราวกับถูกจับวางให้เป็นเป้านิ่ง

"อึ๊ก!! "

"ดาบนี้สำหรับสิ่งที่เจ้าได้กระทำ ลงไปชดใช้กรรมในขุมนรกดูเสียบ้างเถิดจักได้หูตาสว่างมิคิดกระทำการป่าเถื่อนตามอำเภอใจที่ใดในชาติหน้าอีก "

เอ่ยจบคำเด็กสาวก็กระชากดาบอาคมออกทำให้เลือดดำเข้มข้นไหลทะลักออกมาจากปากแผลถูกแทง หยดลงบนพื้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

พริบตาต่อมาหนามน้ำแข็งไม่ต่ำกว่าสิบก็แทงทะลุออกมาจากร่างโยนิมิจฉาทิฐิอย่างไม่ปราณี สาสมกับที่มันได้ลงมือฆ่าคนอย่างไม่ไว้หน้าเด็กสาว

โยนิมิจฉาทิฐิจึงพึมพัมออกมาด้วยความตกตะลึงตระหนักได้ว่าตนถูกลวงเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่มาเพื่อสร้างความโกรธแค้นจนถึงขีดสุดของความอดทนที่จะยื่นอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไม่รู้สึกผิดว่า

ตัวเองเป็นตัวตนเหตุ การตายของมนุษย์ที่คอยปกป้องนักปกป้องหนาให้แก่เด็กสาวเท่านั้น ที่สำคัญตนนั่นหาใช่คู่ต่อสู้เด็กสาวผู้นี้ด้วยซ้ำแต่มารู้ตัวเอาตอนนี้มันจะช่วยอะไรในเมื่อทุกอย่างมันได้สายเกินไปเสียแล้ว

"บ้า..สิ้นดี.."

สิ้นประโยคร่างของโยนิมิจฉาทิฐิก็ล้มลงสิ้นใจตายในที่สุด หมอกหนาจึงค่อยๆ จางหายไปไม่หลงเหลือม่านพรางตาใดๆ ไว้

"ปฐวีเพลิงผลาญ"

พรึ่บ!

สิ้นคำร่ายวิถีอาคมพรานเร้นลับจบคำ เปลวไฟสีม่วงแดงก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาจากใต้พื้นดินแผดเผาร่างของเหล่าอสูรหมาในและร่างโยนิมิจฉาทิฐิที่บางทีก็ไม่สลายไปเองจนแหลกสลายกลายเป็นผงเถ้าธุลี

เพียงถูกสายลมพัดก็ปลิวหายไปในมวลอากาศในไม่กี่ชั่วอึดใจ แล้วเด็กสาวก็เดินไปยังเด็กชายที่ได้สติลุกพรวดพราดเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณผู้เป็นพ่อแม่แน่นแต่กลับไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้นไห้ออกมา

ทำให้เด็กสาวมองเห็นภาพซ้อนทับของตัวเองในอดีตและบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เด็กคนนี้ช่างคล้ายกับเธอ..มีบางอย่างที่คล้ายกับเธอจริงๆ เธอจึงเอ่ยกับดวงวิญญาณหญิงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

มองเด็กชายด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์เป็นธรรมดาของกลไกโลก ออกไปเพื่อให้พวกเขาทั้งสองได้ไปสู่สุคติไม่มาคอยวนเวียนตามติดเด็กชายในวันข้างหน้าเพราะยังมีห่วง

"พวกคุณไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเด็กคนนี้ ถ้าหากไม่มีใครรับไปดูแล ทางสภาพรานเร้นลับยินดีจะรับเด็กไปเลี้ยงดูจนกว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่เอง"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็หันมาพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงรับรู้

'ฉันฝากพระเพลิงด้วยนะแม่หนู'

หญิงวัยกลางคนยิ้มบางๆ แล้วร่างของพวกเขาก็โปร่งแสงค่อยๆ จางหายไปในที่สุด เด็กสาวจึงเอาโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกคนของสภาพรานเร้นลับให้มารับตัวพ่อแม่เด็กไปดำเนินการ

ทำพิธีทางศาสนาเมื่อดวงจิตได้ละจากสังขาร พร้อมกับพาเด็กไปดำเนินการใต้ความคุ้มครองดูแลสภาพรานเร้นลับ แล้วเด็กสาวก็เก็บโทรศัพท์เมื่อมีคนคุ้นหน้าสองคนปรากฏตัวมายื่นข้าง

"ฉันมาช้าไปหรือเปล่า"

ร่างบางถือพัดไม้ฉลุแดงเอ่ยถามทันทีที่เห็นเด็กน้อยนั่งนิ่งข้างร่างไร้วิญญาณขณะที่อีกคนที่ตามมา เดินไปที่เด็กชายเปิดกระเป๋าสะพายข้างนำผ้าขาวที่พับเก็บในกระเป๋าเตรียมไว้

เผื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมออกมา ขออนุญาตเด็กชายปิดร่างพ่อแม่ เด็กก็ยินยอมให้ปิดแต่ก็ไม่ลุกไปไหน เด็กสาวจึงตอบเหมือนรู้อยู่แก่ใจแล้ว

"ช้าเร็วไม่ต่างกันยังไงซะพวกเขาก็มีอายุขัยไม่ถึงวันพรุ่งนี้ สงสารก็แต่เด็กจะมีปมในวันข้างหน้ามั้ยไม่มีใครรู้"

"ก็จริงของคะนิ้ง แต่ว่านะเจ้าหนูนี่หน้าตาท่าทางจะฉลาดน่าดูเอางี้มั้ยไม่ต้องยกให้สภาพรานเร้นลับ ให้มาเป็นลูกสมุนลลิตดีกว่า ลลิตจะให้ข้าวให้น้ำเลี้ยงดูเป็นอย่างดีให้เหมือนเจ้าอ้วนกลมเอง"

ไม่ว่าเปล่าเด็กสาวแทนตัวเองว่าลลิตยังตรงไปจับแก้มเด็กชายบีบทั้งสองข้างราวกับเป็นตุ๊กตา ทำคนถูกเรียกว่าคะนิ้งกุมขมับ

เดินไปแกะมือนางมารน้อยตรงหน้าออก ปล่อยเด็กเป็นอิสระ พร้อมกับเอ่ยดับฝันเด็กสาวไปในตัวด้วย

"ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก"

"ทำไมอ่ะ ลลิตสัญญาเลยว่าจะไม่ทำให้คะนิ้งผิดหวังที่ยกเจ้าหนูนี่ให้"

ลลิตว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้เด็กชายหลบไปอยู่ด้านหลังคะนิ้งเกาะเสื้อคะนิ้งไม่ปล่อย

"เพราะว่าเด็กคนนี้ไม่ใช้สัตว์เลี้ยง แล้วก็ท่าทางเด็กไม่ได้อยากไปกับลลิตอยู่เลยนะ"

คะนิ้งพูดตามตรงทำให้ลลิตเชิดหน้าใส่คะนิ้งประชดประชันแล้วหันไปโวยใส่เด็ก

"เชอะ! ใจร้าย ไม่เอาก็ได้ เด็กบ้า! "

"อย่าพาลสิ ลลิต"

"ลลิตไม่ได้พาล ไม่รักคะนิ้งแล้ว กลับล่ะ"

ว่าแล้วลลิตก็หมุนตัววิ่งจากไปราวกับเด็กน้อยโดนขัดใจจนลับสายตา

ทำคะนิ้งหันไปมองอีกคนที่ยื่นนิ่งมองดูเหตุการณ์ไม่พูดไม่จาอย่างต้องการคำตอบ

"อะไรของเขา"

"ก็แค่เด็กไม่รู้จักโตล่ะมั้งค่ะ"

เด็กสาวตอบสั้นๆ แล้วไม่พูดอะไรอีกทำให้คะนิ้ง อดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเธอที่แปลกคนหรือเป็นเพื่อนที่แปลกคนกันแน่แต่ละคนดูวุ่นวายและเย็นชาดีจัง ก่อนที่เธอจะวางมือบนหัวเด็กที่เกาะเสื้อเธอพร้อมกับเอ่ยปลอบโยน

"ไม่เจ็บตรงไหนนะ"

คำพูดนี้ทำให้เด็กชายปล่อยเสื้อเด็กสาวเดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งกอดเข่าข้างร่างไร้วิญญาณพ่อแม่ที่มีผ้าขาวคลุมร่างไว้แล้ว

คะนิ้งเห็นแบบนั้นก็กุมขมับบ่นพึมพัมเหมือนคนสติหลุดลอยรอบตัวมีแต่ออร่าหดหู่มืดมนจนดูไม่น่าเข้าใกล้ออกมา

"ฉันพูดอะไรผิด? มันทำร้ายจิตใจเด็กใช่มั้ย? เขาเกลียดฉันแล้วเหรอ? ฉันไม่ควรพูดอะไรจะดีที่สุดสินะ เฮ้อ...."

มือเรียวจากอีกคนแตะลงบนบ่าคะนิ้งแผ่วเบา คะนิ้งจึงหันไปปล่อยออร่ามืดดำใส่เด็กสาวแทน

"เธอไม่ต้องปลอบฉันหรอกเกวฉันโอเคดี ฉันไม่เป็นไรไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด อย่างมากก็แค่ปวดใจนิดหน่อยนิดเดียวแค่นั้นเองแค่นั้นจริงๆ "

"ฟังจากน้ำเสียงกับท่าทางของเธอฉันคิดว่าไม่น่าใช่นะ"

เกว หรือเกวลี ว่าด้วยเสียงราบเรียบแต่กลับแสดงถึงความรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คะนิ้งเลิกหดหู่

"เธอพูดถูก บางทีฉันก็คิดว่ามันแย่ที่ฉันมัวแต่ลงมือทำมากกว่าพูดจนทำให้ฉันเป็นประเภทการแสดงออกกับวาจาบกพร่อง"

คะนิ้งเอ่ยน้ำเสียงหดหู่หนักกว่าเก่า

"ฉันรู้ค่ะ แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรยากเกินไปนี่คะ เวลารู้สึกยังไงเธอก็แค่ต้องพูดมันทั้งหมดออกไป ส่วนคำพูดของเธอจะสื่อถึงคนฟังมั้ยนั่นมันก็เรื่องของเขาแล้วว่าเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกเธอมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างเด็กดูท่าทางไม่ได้เกลียดเธออยู่เลยนะเขาคงอยากจะอยู่คนเดียวแล้วคิดอะไรสักหน่อยมากกว่า ยังไงซะนั่นก็พ่อแม่เด็ก พวกเขาจากไปด้วยสถานะการณ์เลวร้ายที่อาจสร้างปมในใจให้กับเขาแต่อีกเดี๋ยวเขาก็จะเข้าใจสัจธรรมโลกว่าโชคชะตาไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนได้แม้แต่เทวเทวียังค้นหานิพพาน เพราะงั้นเธออย่าพึ่งไปคิดมากแทนเด็กที่ต้องหาทางออกเองเลยจะดีกว่า เธอทำงานของเธอก็เต็มที่อยู่แล้วรับอย่างอื่นเข้ามาอีกมันจะลำบากตัวเองกว่าเดิมเปล่าๆ "

เกวลีพูดจบคะนิ้งก็เลิกหดหู่ในทันที ไม่วายยังย้อนแซวเกวลีที่ตั้งใจพูดมากๆ ๆ เป็นพิเศษอีกต่างหาก

"ก็จริงของเกวว่าแต่ว่านะเกวนี่ก็มีส่วนอ่อนโยนเหมือนกันนี่นานึกว่าจะเย็นชาเป็นอย่างเดียวซะอีกน่ารักจริงเชียว"

"เธอกำลังพูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจหรอกค่ะถือซะว่าฉันไม่ได้ยินแล้วกัน"

"หืม..เขินก็บอกเถอะฉันรู้นะ"

"ฉันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้หรอกค่ะ"

เกวลีบอกปัดพอดีกับได้ยินเสียงรถขับมาทางพวกเธอดังขึ้นมา

"ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถึงแล้ว อย่าลืมอ่านหนังสือล่ะ แล้วเจอกันห้องสอบค่ะ"

เกวลีว่าจบก็จากไปอีกคนทิ้งให้คะนิ้งอยู่กับเด็กชายตามลำพัง

"...พรุ่งนี้แล้วสินะ"

คะนิ้งพึมพัมขณะสายลมระลอกหนึ่งพัดพาเอาใบไม้แห้งลอยวนในมวลอากาศผ่านไป

คะนิ้งเห็นเด็กชายท่าทางจะหนาวจึงถอดเสื้อแขนยาวทับเสื้อแขนกุดยื่นให้เด็กชาย

"ใส่ซะสิ"

"..แล้วพี่.."

เด็กชายเหลือบมองคะนิ้งเปิดปากพูดกับเธอเป็นครั้งแรก

ทำให้เธอได้เห็นหน้าตาน่ารักชัดๆ แล้วก็อดคิดไม่ว่า

ดวงตาสีม่วงประกายน้ำเงินนิ่งสงบ ตัดกับผมสีดำสนิท แถมผิวยังขาวจัด จะดูเหมือนตุ๊กตาเกินไปแล้ว

"เห็นอย่างนี้แต่ร่างกายฉันเป็นน้ำแข็งน่ะนะกับอากาศแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก นายเอาไปใส่เถอะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาแล้วมาโทษว่าเป็นความผิดฉัน ฉันไม่รู้ด้วยนะ"

คะนิ้งอธิบายแล้วก็ยัดเยียดเสื้อแขนยาวให้เด็กชาย เด็กชายจึงยอมใส่มันแต่โดยดี แล้วเอ่ยถามคะนิ้ง

"พี่ไม่กลับ? "

"อืม"

คะนิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กชายตอบทั้งที่ตามองไปทางอื่น

"ทำไม? "

"ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนนายไง"

เมื่อเด็กชายได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปไม่ถามอะไรอีก คะนิ้งจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง

"นายมีญาติคนไหนที่อยากไปอยู่หรือเขาอยากให้ไปอยู่ด้วยมั้ย"

"จะผลักไสผมเหรอ พี่รับปากแล้วนะ"

"หือ? นายมองเห็น? ฉันแค่ถามเผื่อว่านายจะ..."

"ไม่มีหรอก "

เด็กชายเอ่ยแทรกทำคะนิ้งที่ยังไม่ทันได้พูดจบไม่รู้จะงุนงงหรือแปลกใจอันไหนก่อนดี

"ทำไมล่ะ"

"ผมเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีใครสนใจผมนอกจากพ่อแม่ที่รับผมมาจากบ้านเด็กกำพร้าทั้งนั้น อีกอย่าง...พี่อย่าถามอะไรผมมากกว่านี้จะดีกว่า ผมไม่อยากสนทนากับคนใส่หน้ากาก"

คำพูดแรกๆ คะนิ้งกำลังจะสงสารแต่คำพูดหลังๆ นี่สิคะนิ้งนั่งลง จับแก้มเด็กชายบีบแทบจะทันทีทันใด

"นี่เจ้าหนู ฉันรู้ว่านายกำลังเสียใจแต่ฟังให้ดีตอนนี้ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่เพราะงั้นพรานเร้นลับจะไม่ถอดหน้ากากให้ใครเห็นหน้าตาเด็ดขาดถึงนายจะมองเห็นอยากเห็นหรือรู้อะไรก็ตามเข้าใจมั้ย"

"ไม่เข้าใจ"

เด็กชายตอบหน้ามึน ขณะที่รถคันสีดำเหมือนรถพยาบาล มาหยุดจอดแล้วผู้ชายร่างสูงโปร่งสองคนแต่งตัวคล้ายคะนิ้งแต่งหน้ากากจะออกไปทางลวดลายยักษ์

ก็ลงมาจากรถ เดินตรงมาที่คะนิ้งพอเห็นเด็กชายนั่งอยู่ข้างคะนิ้งก็ยิงคำถามแทบจะทันที

"ทำไมเธอยังปล่อยให้เด็กมีสติ"

"การตั้งคำถามกับคนที่นายไม่ควรมีคำถามนี่งานนายเหรอ ฉันว่าไม่น่าใช่นะ นายควรจะเคลื่อนย้ายพ่อแม่เด็กขึ้นรถแล้วพาเด็กไปที่พักจะดีกว่ามั้ย? หรือต้องให้ฉันทำเอง เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าถ้าให้ฉันทำฉันไม่รับประกันว่านายจะได้ยืนทำหน้าที่อยู่ในสภาอย่างสบายใจได้นะ"

คะนิ้งลุกขึ้นเดินไปตบบ่าชายหนุ่มที่เป็นคนพูดแล้วถามกลับเสียงเย็น

ทำให้ชายหนุ่มสงบเสงี่ยมเมื่อสัมผัสได้ว่ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนบ่า

เพราะในสภามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้พลังนี้ได้ซึ่งคนๆ นั่นก็คือ น้องสาวของผู้นำของสภานั่นเอง

"ขออภัยขอรับข้ามิทราบว่าท่านจักมา"

ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกคะนิ้งในทันทีด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดคะนิ้งจึงโบกมือไล่

"จะบอกว่าการใส่หน้ากากลบตัวตนก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งหรือไงนะ? แต่เอาเถอะครั้งนี้ฉันจะไม่ถือสานายอย่าให้มีครั้งหน้าอีกแล้วกันไปทำงานของนายซะไป"

"ขอรับ"

ชายหนุ่มรับคำก็เดินไปหลังรถแล้วทั้งสองคนก็เคลื่อนย้ายร่างพ่อแม่เด็กขึ้นรถขณะที่เด็กชายเดินมาอยู่ข้างคะนิ้งพึมพัมบางอย่างออกมา

"พี่รู้มั้ยพวกเขาตายเพราะผม"

"ทำไมคิดงั้น? มันเป็นเรื่องของชะตากรรมร่วมกันจนกว่าจะหมดบ่วงต่อกันต่างหาก เหมือนกับคำพูดที่คนเคยว่าไว้ไง มีพบก็ต้องมีจากมีพรากก็ต้องมีหวนคืนเพราะอสงไขยไม่มีอะไรจีรังไม่มีอะไรยั่งยืนไม่มีอะไรที่นายควบคุมได้ อย่างมากก็แค่ต้องปล่อยวางมันทิ้งไป "

ว่าแล้วคะนิ้งก็ยื่นมือไปขยี้ผมเด็กชาย เด็กชายจึงเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาว่างเปล่า

"เหมือนพี่กับผมเหรอ? "

คำถามนี้ทำคะนิ้งชักมือกลับไปเกาหัวด้วยความงุนงง แต่ก็ตอบไปตามน้ำทั้งๆ ที่รู้สึกได้ว่าเด็กตั้งคำถามแปลกๆ ชอบกล

"อ่า...ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง พวกเขาย้ายร่างพ่อแม่นายเสร็จแล้วนายขึ้นรถไปกับพวกเขาเถอะ"

"ผมจะได้เจอพี่อีกมั้ย"

"ก็อาจจะได้เจอถ้าโชคชะตาเข้าข้างนาย"

คะนิ้งว่าทำให้เด็กชายเอียงคอน้อยๆ ด้วยสีหน้าสงสัย

"พี่พูดเหมือนกับว่าจะไปอยู่ที่ๆ ไกลมาก"

"นั่นสิ ฉันต้องไปแล้ว หวังว่านายจะไม่โทษตัวเองเกินไปนะดูแลตัวเองด้วยล่ะ โชคดี..พระเพลิง "

พูดจบคำร่างคะนิ้งก็หายไปไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้ให้ไล่ตามทัน เด็กชายนาม พระเพลิง จึงหลับตาหนักอึ้งและล้มลงกับพื้นหมดสติต่อหน้าต่อตาชายหนุ่มทั้งสองคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ทำให้พวกเขาตรงไปดูอาการเด็กเพราะคิดว่าเด็กอาจได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าบาดแผล พวกเขาจึงรีบพาตัวเด็กขึ้นรถแล้วออกตัวรถตรงไปยังสภาไม่รอช้า

 

 

*โยนิ แปลว่า กำเนิด หมายถึงที่เกิด ที่ให้กำเนิดสัตว์

*มิจฉาทิฐิ แปลว่า ความเห็นผิดจากความเป็นจริง หรือผิดตามทำนองคลองธรรม

 

 

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!