สองหนุ่มสาวพากันออกมาจากอาศรมของสุบัณฏฤาษีได้หนึ่งชั่วครู่ จึงกระพือปีกบินเหาะเหินขึ้นไปบนนภา เมื่อพ้นเขตป่าหิมพานต์ กลับกลายเป็นว่าป่าอัศจรรย์ได้อันตรธานหายวับไปราวกับฝัน แทนที่ด้วยเทือกเขาอันถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวสูงตระหง่านนับร้อยนับพันลูก อากาศนั้นหนาวเหน็บเย็นจับขั้วหัวใจ ทำให้สาวน้อยตัวสั่นงันงกกอดร่างใหญ่ไว้แนบแน่น
" ป่าหิมพานต์นั้นเป็นดินแดนวิเศษ แม้จักตั้งอยู่ในเขตแดนโลกมนุษย์ ทว่าภพมิตินั้นทับซ้อนกันอยู่ มนุษย์ธรรมดามิอาจมองเห็นฤาจับต้องได้เลย ทั้งยังเพลาในแดนมนุษย์แลป่าหิมพานต์ก็มิเท่ากัน ๑ ปีในแดนมนุษย์ เทียบเท่า ๑ วันในหิมพานต์ " ฎัณธีมองเข้าไปในแววตาใสก็ทราบได้ทันทีว่าสาวน้อยนั้นงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ย่ำเข้ายามสายัณห์ ฎัณธีบินพ้นจากเขตเทือกเขาหิมะ อากาศจึงเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย มองไปเบื้องล่างพบหมู่บ้านขนาดเล็กตั้งอยู่
" ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราพักที่หมู่บ้านแห่งนี้เอาแรงเถิด " สายตาฎัณธีจับจ้องบนดวงหน้าน้อย บัวหลับตาพริ้มมิกล่าววาจาใด กายาที่เคยอบอุ่นนั้นเริ่มร้อนผ่าวไปด้วยพิษไข้
" นั่นประไร จับไข้เสียแล้ว..." เขาที่จดจ่อกับการมองหาที่พักจึงมิทันสังเกตุ ฎัณธีจึงรีบถลาลงเดินที่ป่าข้างหมู่บ้าน พลางร่ายคาถาซ่อนปีกสีแดงแลกรงเล็บคมกริบอันโดดเด่นให้อันตรธานหายไป
ภายในหมู่บ้านมีกันอยู่สิบกว่าหลังคาเรือน ทุกหลังสร้างขึ้นจากดินเหนียว หลังคามุงด้วยดินเหนียวเช่นกันแล้วโปะด้วยหญ้าหนาๆ หน้าบ้านผู้คนมักแขวนหนังสัตว์ กะโหลกของสัตว์ป่า พืชพรรณธัญญาหาร แลของใช้อุปโภคทั้งหลาย
ชาวบ้านที่นี่แต่งกายห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ค่อนข้างหนา แม้บริเวณนี้อากาศนั้นอุ่นกว่าบนเทือกเขา แต่ก็หนาวเย็นในระดับที่มนุษย์ยังต้องอาศัยความอบอุ่นในการดำรงชีวิต
กวาดสายตามองไปโดยรอบ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ ทั้งแพะ แกะ วัว ม้า อยู่ปะปนรวมกันเป็นฝูงใหญ่ๆ
มองไปรอบหมู่บ้านพบว่ามีบ้านหลังหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นตั้งอยู่ใจกลาง ข้างหน้าบ้านมีกองไฟขนาดใหญ่มีชาวบ้านนั่งรายล้อมพูดคุยกันเฮฮาสนุกสนาน
เสียงเด็กเล็กเด็กน้อยวิ่งไล่จับเจี้ยวจ้าวจอแจชวนให้บรรยากาศดูครื้นเครง ฎัณธีเดินประคองร่างของบัวเดินตรงดิ่งไปยังกองไฟ สายตานับสิบจับจ้องผู้มาใหม่ด้วยความฉงนสงสัย สักครู่มีชายชราผู้หนึ่งตะโกนเรียก
" มาๆๆ พ่อหนุ่ม มานั่งตรงนี้ก่อนสิ! " ชายชราที่ดูค่อนข้างอัธยาศัยดีกวักมือเรียกหย่อยๆ ฎัณธีจึงรีบปลุกบัวให้ตื่นจากการหลับไหลเพื่อไปคารวะท่านผู้เฒ่า
" มาๆๆ อากาศหนาวเย็นไฉนเดินล่อนจ้อน มานั่งล้อมกองไฟ ดื่มนมร้อนๆให้ร่างกายอบอุ่นเถิด
" ชายชรากล่าวพลางยิ้มอย่างไมตรี ชาวบ้านต่างจัดแจงที่นั่งให้หนุ่มสาวทั้งสองผู้มาเยือน
" คารวะท่านผู้เฒ่า คารวะท่านทั้งหลาย ข้ามีนามว่าฎัณธี น้องสาวข้านามว่าบัว จรลีมาไกลจากเมืองทางทิศเหนือ ใคร่จักมุ่งสู่เมืองสุธรรมวดีทางทิศอาคเนย์ขอรับ "
" เพลานี้น้องสาวข้าจับไข้ด้วยเกิดจากความหนาวเหน็บ ใคร่จักขออาศัยที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อรักษาตนสักวันได้ฤาไม่ขอรับ? "
" โอ้ๆหาใช่เรื่องใหญ่ พักได้ๆ " ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าว
" คนลำบากมาเราต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว! " ชาวบ้านท่านสองกล่าว
" เดี๋ยวเจ้าทั้งสองมาอยู่บ้านข้าละกัน พื้นที่กว้างขวาง ของใช้มีครบไม่ขาดเหลือ! " ท่านผู้เฒ่ากล่าว
" เซรีเอ้ย! เซรี ลูกจัดข้าวปลาอาหาร ฟูกนอนหมอนให้แขกบ้านหน่อยเถิด! " ท่านผู้เฒ่าตะโกนเรียกหาใครสักคนที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนั้น
" ได้จ้ะท่านพ่อ! " เสียงเด็กสาวผู้หนึ่งตะโกนตกปากรับคำตามมา
" โอ้ๆๆ พ่อหนุ่มข้าลืมไปๆ ข้ามีนามว่าเซลุนห์ เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านตีนเขาเซลันห์แห่งนี้ "
" เจ้าหนูเอ้ยๆ ตักนมใส่ถ้วยให้แขกหน่อยเร็วลูก! " ผู้เฒ่าเซลุนห์เดินโงนเงนไปรับถ้วยนมมาให้ผู้มาเยือนอย่างกระตือรือร้น
" ขอบพระคุณในน้ำใจมากขอรับท่านผู้เฒ่า " ฎัณธีพูดพลางค่อยๆป้อนนมอุ่นจากถ้วยให้บัวดื่มจนนางมีสีหน้าที่ดีขึ้น
" ท่านพ่อ สำรับอาหารและที่นอนเตรียมเสร็จแล้ว " เสียงใสตะโกนดังออกมา
" มาๆๆลูกฎัณธี เข้ามาพักภายในบ้านเถิด ฟ้ามืดลงแล้วอากาศยิ่งทวีความหนาวเย็น แม่หนูมันจักไข้หนักเอา มาเข้ามา! "
โถงภายในบ้านเดินเข้าไปพบเตาไฟขนาดใหญ่มีกองไฟที่กำลังลุกโชน คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นถ่านไม้ที่กำลังถูกเผา บรรยากาศภายในบ้านชวนอบอุ่นต่างจากอากาศภายนอกยิ่งนัก
สำรับอาหารถูกจัดวางเรียงราย กลิ่นหอมอุ่นโชยมาชวนให้อยากอาหาร แม้ฎัณธีมิคุ้นชินกับอาหารของเหล่ามนุษย์ เพราะที่ผ่านมากินแต่สัตว์เล็กๆ ผลไม้ต่างๆ
สายตากวาดมองอาหารมากมายที่อยู่ตรงหน้า เอื้อมมือคว้าชามข้าวต้มเล็กๆมาป้อนให้คนป่วยดื่ม ความอบอุ่นภายในบ้านผนวกกับความอุ่นของอาหารทำให้บัวมีสีหน้าที่ดีขึ้นอีก
" น้องสาวเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างลูกฎัณธี " ชายชราพูดพลางเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
" กินอาหารได้แล้ว ดูสีหน้าแล้วอาการพอดีขึ้นบ้างขอรับ พักสักคืนคงได้ไปวิ่งเล่นกับเด็กน้อยด้านนอก " ฎัณธีพูดพลางแอบขำเล็กน้อย
" ฮ่าๆๆๆๆ เช่นนั้นรึๆ! เห็นทีเจ้าหนูเซรีของข้ามีเพื่อนเที่ยวเล่นเพิ่มอีกแล้วซี ฮ่าๆๆๆ " ชายชราหัวเราะร่าตัวโยน
" ท่านพ่อ! ค่อยๆพูด ค่อยๆกิน เดี๋ยวสำลักข้าวหรอก! "
" เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าดุข้าแทนแม่เจ้าแล้วฤาเจ้าเด็กแสบ! " ชายชรายีหัวลูกสาวเขาเบาๆ
เสียงชายชรากับเด็กสาวหยอกล้อกันไปมาทำให้เป็นมื้ออาหารที่พิเศษอีกมื้อหนึ่ง ฎัณธีรำพึงในใจ มนุษย์นั้นมิได้เลวร้ายอย่างที่เคยคิดไว้
" ขอบพระคุณมากขอรับท่านผู้เฒ่าสำหรับข้าวปลาอาหาร " ฎัณธีโค้งหัวนอบน้อมด้วยไมตรี
" พาแม่หนูเจ้าขึ้นไปพักผ่อนเถิด ห้องพักอยู่ด้านบน เซรีลูกนำทางแขกขึ้นไปซิ "
" เดี๋ยวข้านำทางให้เองท่านแขก ตามมาสิ " เซรีวิ่งนำทางอย่างกระตือรือร้นขึ้นบันได
" เซรีลูกเอ๊ย! พ่อบอกพ่อเตือนกี่ครั้งกี่หนว่าอย่าวิ่งขึ้นบันได เดี๋ยวหกล้มเอา! " เสียงชราตะโกนไล่หลังมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของลูกสาวแสนซนของเขา
" ห้องนี้เลยท่านแขก! " เด็กสาวหยุดวิ่งพลางหอบเล็กน้อย
" ขอบคุณเจ้ามากหนูน้อย " ฎัณธียิ้มพลางโค้งหัวเบาๆ
ประตูห้องถูกกั้นสายตาด้วยขนสัตว์ผืนใหญ่ ด้านในห้องมีแสงไฟสลัวจากเทียน ฎัณธีบรรจงวางคนป่วยลงอย่างแผ่วเบา พลางห่มผ้าให้ปิดกายมิดชิด
" แล้วข้าควรทำสิ่งใดต่อล่ะ? " ฎัณธีขมวดคิ้วพลางวัดไข้บนหน้าผากของคนป่วย
ด้วยชาติกำเนิดตนนั้นเป็นอมนุษย์ เกิดอยู่แต่ในป่า อย่าว่าแต่ดูแลคน ป่วยไข้สักครั้งยิ่งมิเคย
" พ่อจ๋า...แม่จ๋า...ข้าหนาวเหลือเกิน " เสียงละเมอพึมพำออกจากปากน้อยที่กำลังนอนซมอยู่
" หนาว...เช่นนั้น..." ฎัณธีจึงนอนลงแล้วโอบกอดบัวไว้ พลางถ่ายเทพลังงานความร้อนจากกายอย่างแผ่วเบา...
เหมันต์ราตรีนั้นช่าวยาวนานเสียเหลือเกิน หิมะสีขาวตกลงมาจากฟ้ามิขาดสาย สองหนุ่มสาวโอบกอดกันจนฟ้าสาง...
แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องเขา กระทบกับสีขาวของหิมะช่างเป็นทิวทัศน์ที่งามงดเกินคำบรรยาย ฝูงนกอพยพฝูงใหญ่บินเลียบผ่านยอดเขา เสียงสัตว์น้อยใหญ่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ร้องระงมคล้ายเป็นสัญญาณว่าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกวัน
บัวงัวเงียตื่นขึ้นมา ดวงตาสลับกันเปิดปิดเพราะยังมัวขี้ตา บนตัวพบผ้าผืนใหญ่ห่มทับอยู่ ส่วนซ้ายมือก็มีคนร่างใหญ่นอนกอดอยู่เช่นกัน
บัวตัวร้อนหน้าแดงก่ำราวกับไข้ขึ้นอีกครา เพราะใบหน้าของชายหนุ่มนั้นแนบชิดจนหัวใจสั่นเต้นระรัว บัวพลิกตัวเบาๆให้สัญญาณจนคนร่างใหญ่ลืมตาตื่นขึ้น
" ตื่นแล้วฤาแม่บัว? " ฎัณธีพูดพลางใช้มือหนาลูบหน้าผากของบัวอย่างแผ่วเบา
" เมื่อวานเจ้าจับไข้อาการหนักหนา ดียิ่งนักที่เจ้าฟื้นตัวได้เร็ว " สายตาของฎัณธีจดจ้องที่ใบหน้าของบัวอย่างอ่อนโยน
" ขอบใจยิ่งนักเจ้าค่ะท่านฎัณธี...." บัวนั้นเขินอายจนแทบเสียสติ แม้แต่สบตามองยังมิกล้า เขาจักรู้ไหมหนาการกระทำเช่นนี้ช่างอันตรายต่อหัวใจของสาวน้อยยิ่งนัก
" เพลานี้เราอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ไกลจากเทือกเขาหิมะ อากาศยังพอมีความหนาวอยู่ เดี๋ยวข้าค่อยหาชุดคลุมสักตัวให้เจ้า "
" อ้อ ภาษาที่ใช้นั้นคนละภาษากับของเจ้า ฉนั้นนึกคิดอันใดให้สื่อสารผ่านข้า "
" ท่านพูดภาษาของที่นี่ได้ฤาเจ้าคะ! แล้วท่านพูดได้เยี่ยงไรเจ้าคะ? "
" ท่านอาจารย์ฤาษีของข้า แต่นานมาเคยเป็นกษัตริย์ เชี่ยวชาญทั้งภาษาพูดแลเขียน ท่านเมตตาสอนให้ข้าทั้งหมด " ฎัณธีพูดพลางพนมมือไว้บนหัว " บุญคุณนั้นหาที่สุดมิได้ "
" ท่านช่างมีวาสนาจริงแท้เชียว! สอนข้าบ้างได้ไหมเจ้าคะ! " บัวกล่าวพลางยิ้มกว้างตาเป็นประกาย
" ได้หมดหากใจเจ้าปรารถนา " ฎัณธีลูบหัวสาวน้อยเบาๆ
" ท่านแขก! ตื่นยังจ๊ะ ได้เพลาข้าวเช้าแล้ว! " เสียงตะโกนของเด็กสาวดังมาจากโถงชั้นล่างทำให้ทั้งสองสะดุ้ง
" เซรี! อย่าตะโกนโหวกเหวกรบกวนผู้อื่น เดี๋ยวเถอะ! "
" เห้อ...ลูกสาวข้านี้ช่างดื้อซนเสียจริงเชียว! " ชายชราเดินบ่นพึมพำมากับเสียงไม้เท้าที่กระทบพื้น
" เรารีบลงไปกันเถิดแม่บัว "
กลิ่นหอมของควันไฟโชยมาพร้อมกับกลิ่นของอาหารลอยมาปะทะจมูกชวนให้หิวกระหาย อาหารบนโต๊ะถูกจัดวางเรียงราย สาวน้อยตาลุกวาวพลางกลืนน้ำลายเพราะตนนั้นกินแต่ผลไม้มาหลายวันแล้ว
" มาๆๆลูกหลานทั้งหลาย กินข้าวกินปลาให้สำราญพุงกัน ฮ่าๆๆๆๆ "
เสียงเอิกเกริกเฮฮาดังไปทั่วโต๊ะอาหาร แปดเปื้อนด้วยรอยยิ้มของคนต่างวัย ต่างชาติ ต่างเผ่าพันธ์ุ มื้อเช้านี้จึงกลายเป็นมื้ออาหารที่วิเศษยิ่งนัก.....
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments
tae Yeon
เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก สุดยอด!
2025-03-19
1