ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงโรยราหลังภูเขา สาวน้อยได้ลงมาล้างหน้าล้างตาเสียที ระหว่างที่เหม่อมองสระน้ำตรงหน้า ฎัณธีที่เพิ่งกลับจากไปเก็บผลไม้ในแดนมนุษย์มาไว้สำหรับเป็นอาหารของบัวก็มาถึง
ดวงจันทร์โผล่พ้นมาให้ยลโฉม แสงจากโคมไฟสาดส่องกระทบผนังไม้ในห้องดูวังเวง บัวยืนชมทิวทัศน์อยู่ริมหน้าต่าง ดวงจันทร์ที่ป่าหิมพานต์นั้นแสงสีนวลสุกสกาวงดงามยิ่งกว่าแดนมนุษย์ ชวนให้จ้องมองโดยไม่หน่ายหนี
" เข้ายามราตรีแล้ว เจ้าจงไปพักผ่อนเสียเถิด " ฎัณธีที่มายืนกอดอกชมจันทร์ด้านหลังบัวอยู่เงียบๆได้เอ่ยขึ้นมา ทำให้สาวน้อยสะดุ้งหันกลับไปมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังส่งยิ้มให้
" ราตรีนี้ข้าจักทำสมาธิถึงรุ่งสาง เช้าตรู่วันพรุ่งข้าจักพาเจ้าไปกราบพระดาบสอาจารย์ข้า "
" ด..ได้เจ้าค่ะ " บัวพูดพลางรีบจ้ำเดินออกมาจากหน้าต่าง ฎัณธีจึงไม่ทันสังเกตุเห็นว่าสาวน้อยเขินอายหน้าแดงเท่าใด
ดวงจันทร์ลอยคว้างอยู่กลางนภา สาวน้อยหัวถึงหมอนเพียงครู่เดียวก็หลับปุ๋ย ฎัณธีนั่งทำสมาธิอยู่บนตั่งไม้ปลายเตียง ราตรีนี้เงียบสงัดจนสดับได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออก
แม้อากาศค่อนข้างเย็นแต่บริเวณรอบกายของฎัณธีนั้นอุ่นได้ด้วยเพราะธาตุไฟภายในกายถ่ายเทออกมา
" ฎัณธี " อมนุษย์หนุ่มน้อยซึ่งจุติมาได้ ๕๐๐ กว่าปี ทำหน้าที่ปกปักรักษาอาณาบริเวณขอบชายป่าหิมพานต์ มีฤาษีอาจารย์นามว่า " พระสุบัณฏฤาษี " คอยอบรมสั่งสอนภาษา ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆแก่ฎัณธี เดิมก่อนออกบวชฤาษีเป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองๆหนึ่ง ภายหลังสละราชสมบัติเพื่อออกบวช ฝึกฝนปฏิบัติ พเนจรเรื่อยมาจึงได้อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์ เป็นที่เคารพบูชาของเหล่าอมนุษย์แลสัตว์วิเศษทั้งหลาย
แสงอรุณโผล่พ้นยอดเขาพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าสรรพสัตว์ บ่งบอกว่าเช้าวันใหม่ได้มาบรรจบอีกครา ลมเย็นสบายพัดผ่านทำให้หนุ่มสาวทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นจากภวังค์
สาวน้อยเหยียดแขนทั้งสองบิดขี้เกียจพลางหาววอด แล้วจึงนั่งเหม่อมองแผ่นหลังกว้างของบุคคลตรงหน้า
" ตื่นกันแล้วก็ล้างหน้าล้างตาเสียเถิด " ฎัณธีพูดโพล่งขึ้นมาทำให้บัวหยุดมองแผ่นหลังกว้างนั้น " เช้าตรู่นี้เราจักไปกราบท่านดาบสกัน " ว่าแล้วชายหนุ่มก็รุดมาอุ้มประคองบัวลงไปสระน้ำด้านล่าง
" ท่านดาบสอยู่มิได้ไกลจากสถานที่นี้มากนัก เดินสักชั่วครู่หนึ่งคงถึงอาศรม "
" เจ้าจับมือข้าไว้เถิด อาจจักเกิดอันตรายได้ทุกเพลา อยู่ใกล้ชิดกันไว้จักได้อุ่นใจ " ฎัณธีพูดพลางยื่นมือหนามาจับมือน้อยๆของบัวไว้ แม้สาวน้อยจะมีท่าทีกระดากเขินอายทว่ามิได้ขัดขืน แล้วย่างเท้าเดินตามโดยมิได้รีรอ
สายตาชมคน ชมนกชมไม้เบื้องหน้า คิดแล้วคล้ายว่าเรานั้นดั่งมดตัวจ้อย พรรณไม้สูงชะลูดเสียดฟ้า เสียงธารากระทบโขดหิน เสียงนกน้อยใหญ่ขับร้องเพลงก้องกังวาล ผลไม้สีทองอร่ามแปลกตาลูกใหญ่เท่าโอ่งดิน นกยักษ์ที่เห็นเมื่อวันวานนั้นต่างกำลังจิกกินชวนน่าประหลาดใจ
เดินเหม่อลอยชมทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลิน สาวน้อยเดินไปสะดุดเข้าที่รากของต้นไม้ทำหัวเกือบทิ่ม เป็นภาพที่ชวนขบขัน
" ฮ่าๆๆๆๆ เจ้านี่มันซุ่มซ่ามจริงเชียวบัว หากข้ามิได้ดึงมือเจ้าไว้คงล้มหน้าคะมำเป็นแน่แท้ " ฎัณธีหัวเราะร่าตัวโยนเพราะใบหน้าของบัวที่ดูเหลอหลา ทำให้สาวน้อยก้มหน้าอมยิ้มอย่างเขินอาย พวงแก้มนั้นแดงก่ำดั่งดอกชบาบาน
" เดินกันต่อเถิด อีกสักครู่คงถึงแล้ว "
" จับมือข้าไว้แน่นๆละกัน เดี๋ยวเผลอไปสะดุดหินก้อนน้อยๆตรงไหนอีก หึหึหึ " ฎัณธีเอ่ยพลางมิวายอมยิ้มแล้วจ้องมองไปในแววตาใส
ผิวอ่อนสีน้ำผึ้ง ดวงตากลมโต สีตางามราวน้ำตาลเชื่อม คิ้วบางเล็กโค้งรับกับดวงตา ปากบางชมพูระเรื่อดั่งกลีบบัว พวงแก้มอ่อนสีแดงระเรื่อรับกับจมูกที่ช่างพอดีกับใบหน้า
ฎัณธีเกิดมาหลายร้อยปีมิเคยได้ใกล้ชิดหญิงงามผู้ใด ทำให้ใจของชายหนุ่มสั่นระรัวดั่งกลองมะโหระทึกอีกครั้ง ฎัณธีรีบหลบสายตาจากดวงหน้าของบัว ราวกับว่าถ้าชมต่ออีกสักนิดคงได้เผลอจุมพิตเข้าที่ปากบางนั้นเป็นแน่
" เดินใกล้ถึงแล้ว " ฎัณธีกุมมือน้อยไว้แน่นเพราะเขินอายจนลืมตัว จิตใจเริ่มคุกกรุ่นด้วยอารมณ์แห่งความรัก
มองไปเบื้องหน้าปรากฏภาพกระท่อมที่สร้างจากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าแฝกสามชั้น ด้านในมีดาบสเฒ่ารูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ กายสวมอาภรณ์ทำจากหนังเสือ บนคอห้อยสร้อยลูกประคำสีดำสนิท หนวดเคราสีดอกเลายาวเฟื้อยเลื้อยถึงท้อง ผิวกายสีคล้ำเหี่ยวย่นชวนให้สะพรึงเล็กน้อย
" กราบท่านอาจารย์สุบัณฏขอรับ " ฎัณธีพูดพลางย่อตัวลงกราบพระดาบส บัวงุนงงเล็กน้อยแล้วกุลีกุจอลงกราบพระดาบสเช่นเดียวกัน
สุบัณฏฤาษีลืมตาออกจากฌาณสมาธิ สายตาสีดอกเลาที่ฝ้าฟางจากความแก่ชรา หรี่ตามองสองคนตรงหน้า
" ฎัณธี เพลาเช้าเช่นนี้พาลิงกังตัวจ้อยมาด้วยเหตุอันใดฤา?"
" มนุษย์เจ้าค่ะ! มิใช่ลิงกังที่ไหน มนุษย์ตัวเป็นๆเลยเจ้าค่ะท่านดาบส! " แม่บัวพูดโพล่งแก้ตัวพัลวันเรียกเสียงขบขันจากบุรุษทั้งสองดังก้องป่า
" ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ สายตาข้าฝ้าฟางมองพลาดเสียแล้ว " ดาบสที่ดูท่าทางอัธยาศัยดีกล่าวพลางหัวเราะร่า " เพลานี้พากันมาหาข้ามีเหตุอันใดฤา
"กราบเรียนพระอาจารย์ ที่หลานมาหาเพลานี้นั้นใคร่อยากจักทราบว่า เหตุใดแม่นางน้อยชาวมนุษย์ผู้นี้ถึงได้พลัดหลงมาตรงขอบชายป่าหิมพานต์ได้ขอรับ? "
สุบัณฏฤาษีมองหน้าบัว มิเอ่ยวาจาใด พลางหลับตาเข้าไปในฌาณสมาธิอีกครั้ง ทำให้รอบข้างกลับสู่ความเงียบสงัด
สักครู่นึงจึงลืมตาขึ้นมา พลางเอ่ยถาม
" อีหนู เจ้านามว่าอันใด อายุอานามเท่าไหร่ บ้านช่องอยู่แห่งหนใดฤา?"
" ข้าน้อยมีนามว่าบัว อายุย่างเข้า ๑๙ ขวบปี เป็นชาวมอญเมืองสุธรรมวดี ตั้งอยู่ที่ดินแดนสุพรรณภูมิเจ้าค่ะ "
" กระนั้นรึ ดินแดนสุพรรณภูมิอยู่ห่างจากป่าหิมพานต์ไกลโข การที่เจ้าพลัดหลงภพมิติเข้ามาได้เช่นนี้คือเจ้านั้นมีบุญญาธิการ แลจิตที่ละเอียดอ่อนยิ่ง ประกอบด้วยบุพกรรมชักนำพามาให้พบกับหลานข้า ณ ที่แห่งนี้ "
สองหนุ่มสาวได้ฟังแล้วต่างตกใจมองหน้า พลางหลบตาเขินอายมิพูดอันใด
" ดินแดนสุพรรณภูมิตั้งอยู่ทิศอาคเนย์ ฎัณธีเจ้าออกจากป่าหิมพานต์ไปส่งนังหนู สักเจ็ดวันเจ็ดคืนคงถึงที่หมาย "
" หลานรักเอ๋ย แดนมนุษย์ข้างนอกป่าหิมพานต์นั้นมีมนุษย์บางจำพวกจิตใจดุร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์ดิรัจฉาน เจ้าจงมีสติรักษาตนให้พ้นจากเภทภัย จงดูแลนังหนูนี่ให้ดี ภายภาคหน้าพวกเอ็งจักต้องพึ่งพาอาศัยกัน "
" ระหว่างที่เจ้าไปส่งนังหนู ข้าจักให้ผู้อื่นมารับหน้าที่ทำแทนเจ้า อย่าได้พะเว้าพะวงเรื่องใด ไปเสียเถิด "
" ขอรับท่านอาจารย์ " ฎัณธีพูดพลางกราบลาพระฤาษี แล้วจูงมือพาแม่บัวเดินออกไป
สุบัณฏฤาษีคำนึงในใจ หนทางข้างหน้าเจ้าทั้งสองจักได้พบเรื่องราวมากมายทั้งสุขแลทุกข์ ขอให้ใจรักมั่นกันไว้ด้วยดี.....
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments
Wesal Mohmad
อ่านเสร็จแล้ว เราต้องการต่อแล้ว!
2025-03-19
0