วันรุ่งขึ้น เรื่องที่พวกเราพังห้องสมุดได้แพร่ไปทั่วโรงเรียน ขณะยืนเข้าแถวหน้าเสาธง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดเมื่อถูกจ้องด้วยสายตานับร้อย และยิ่งพยายามทำตัวให้เล็กเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองมากขึ้นเท่านั้น
“นักเรียนที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้…” มันเริ่มขึ้นแล้ว “หลังเลิกแถวให้ไปพบผมที่ห้องปกครอง” เสียงครูกีรติดังก้องผ่านลำโพงสนาม มันเย็นเยียบจนสันหลังผมสะท้าน
“นายเขื่อนขันธ์ มงคลชัย”
“นายเกรียงไกร แซ่ตั้ง”
“เด็กหญิงเมลิษา เตชะนันต์”
“เด็กชายฉัททันต์ พีรกานต์”
“และเด็กชายณัฐวีร์ จิรโชติ”
ผมเม้มปากแน่นเมื่อชื่อสุดท้ายของผมดังก้องไปทั่วโรงเรียน ทุกคนหันมามองผมด้วยสีหน้าต่าง ๆ บางคนขยับปากซุบซิบ บางคนแอบหัวเราะ
หลังเลิกแถว เมย์กับเฮกเตอร์เดินมาสมทบกับผมขณะมุ่งหน้าไปยังห้องปกครอง โดยมีพี่เบิ้มสองคน เขื่อนกับเฉิงตูเดินตามพวกเรามาห่าง ๆ
“เราจะโดนตีมั้ย” เฮกเตอร์ถามเสียงเบา สีหน้าหวาดหวั่น
“ไม่น่าโดนหรอก กระทรวงศึกษาฯ ยกเลิกไม้เรียวไปตั้งหลายปีแล้ว” ผมตอบ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจนัก
“แล้วจะโดนอะไรล่ะ” เขายังคงถามต่ออย่างหวาดระแวง
“คงไม่โดนอะไรมากหรอกมั้ง เราแค่เด็ก ม.1 เพิ่งมาโรงเรียนได้สามวันเอง” ผมพยายามปลอบเขา
“ใช่ แค่วันที่สองก็พังห้องสมุดแล้ว น่าจะเป็นสถิติใหม่ของโรงเรียนเลย” เมย์เสริมพร้อมกับหัวเราะ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขำออกเธอก็หยุด
“ครูโทรหาพ่อแม่นายมั้ย” ผมหันไปถามเฮกเตอร์
“โทรแล้ว… แม่ฉันบ่นจนหูชา ส่วนพ่อยังไม่รู้เรื่องนี้” เฮกเตอร์ถอนหายใจ “นายล่ะ”
“แม่ด่าหนักมาก แต่พ่อชวนดูหนังสไปเดอร์แมน” ผมยักไหล่
“อะไร พ่อเธอให้ดูหนังหลังจากถูกเรียกผู้ปกครองเนี่ยนะ” เมย์มองผมอย่างไม่อยากเชื่อ
“พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง” ผมพูดพร้อมยักไหล่อย่างภาคภูมิใจ
เฮกเตอร์ขมวดคิ้ว “แปลว่าอะไร”
“มันแปลว่าพ่อภูมิใจที่ฉันช่วยนายจากสองคนนั้นน่ะสิ” ผมพยักพเยิดไปทางเด็กเกเรสองคนที่เดินตามเราอยู่ห่าง ๆ
“พ่อบอกว่า ถ้าเราเห็นคนทำชั่วแล้วนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย เราอาจต้องเสียลุงเบนไป”
เมย์พยักหน้า “พ่อเธอเจ๋งไปเลย”
“เจ๋งที่หนึ่ง” ยกเว้นตอนที่พ่อไม่ยอมให้ผมเข้าเซนต์ปีเตอร์
“ใครคือลุงเบน” เฮกเตอร์ถาม “พี่ของพ่อนายเหรอ”
“เปล่า ลุงเบนคือลุงของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เขาตายเพราะปีเตอร์ปล่อยคนร้ายหนีไป” ผมอธิบาย
“ปีเตอร์คือใคร” เฮกเตอร์ยังคงสงสัย
“สไปเดอร์แมนไง!” ผมกับเมย์พูดเกือบพร้อมกัน
“อ้อ” เฮกเตอร์พยักหน้า
“แล้วที่บ้านเธอว่ายังไง” ผมหันไปถามเมย์
“แย่สุด ๆ พ่อจะกักบริเวณไม่ให้ฉันออกจากบ้านหลังเลิกเรียน ส่วนแม่ดูดวงแล้วบอกว่าฉันดวงตก วันเสาร์เลยจะพาฉันไปสะเดาะเคราะห์ที่วัด” เมย์ถอนหายใจ
“ก็ดีนี่ ไม่แย่เท่าไหร่” ผมปลอบเธอ
เมื่อถึงหน้าห้องปกครองบรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที ข้างในกับข้างนอกต่างกันลิบลับ เหมือนอากาศลดลงหลายองศา แม่ ๆ ของเรานั่งรออยู่แล้ว สีหน้าของแต่ละคนแทบคาดเดาอารมณ์ไม่ได้เลย ครูกีรติ ครูคณิตศาสตร์และฝ่ายปกครอง ใส่เสื้อเชิ้ตดำสนิทเช่นเคย เขานั่งหัวโต๊ะ สีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก คนที่นั่งข้างเขาคือครูรินลดา ครูประจำชั้นของพวกเรา ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงแอร์ดังหึ่งเบา ๆ
“มาพร้อมกันหมดแล้วนะครับ” ครูกีพูดขึ้น เสียงของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเครื่องปรับอากาศ
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ขณะรอฟังการพิจารณาคดีของเรา
“ตามที่ผมได้รับรายงาน คนที่ทำให้ห้องสมุดเสียหายคือคุณสามคนใช่ไหม เมลิษา ฉัททันต์ ณัฐวีร์” สายตาครูจ้องเขม็งเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักพวกเราอยู่
“ใช่ค่ะ แต่…” เมย์รีบอธิบาย
“แปลว่าคุณยอมรับผิดว่าเป็นคนก่อเรื่อง” ครูกีขัดขึ้นทันที “เขื่อนขันธ์และเกรียงไกรเข้าไปในห้องสมุด แต่ถูกพวกคุณสามคนผลักชั้นหนังสือล้มทับจนบาดเจ็บ ผมพูดถูกไหม”
...****************...
บรรยากาศในห้องปกครองเงียบเชียบ รู้สึกเหมือนเสียงแอร์ที่เคยเบากลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวินาทีช่างยืดยาวจนน่าอึดอัด ผมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไหล่เกร็งแข็งทื่อ ขณะตอบคำถามของครูกีที่กำลังจ้องมาทางพวกเราอย่างเย็นชา
“พวกเขารังแกผมก่อนครับ ที่หน้าห้องน้ำ” ผมตัดสินใจพูดขึ้น เสียงของตัวเองฟังดูเบากว่าที่คิด
“ใช่ครับ ค… ครูก็เห็น” เฮกเตอร์เสริมขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่น
สายตาของครูเลื่อนผ่านไปยังเขื่อนและเฉิงตูก่อนจะวกกลับมาที่พวกเรา
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถาม ว่าได้ก่อเรื่องในห้องสมุดจริงไหม”
เมย์กลืนน้ำลายลงคอ “เอ่อ... ก็...”
“จะยอมรับไหมว่าทำห้องสมุดเสียหาย” ครูกีคาดคั้น เสียงของเขาหนักแน่นจนยากจะปฏิเสธ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สุดท้ายผมก็พูดออกไป “ยอมรับครับ ผมเป็นคนผลักชั้นหนังสือล้มเอง”
มีเสียงฮือฮาเบา ๆ จากกลุ่มผู้ปกครองที่นั่งฟังอยู่ แต่ผมก้มหน้าลง ไม่อยากสบตาใคร
ครูเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “งั้นเหรอ แล้วทำไมคุณถึงทำแบบนั้น”
“เพราะว่าผมโกรธ” ผมตอบ “รุ่นพี่สองคนนั่นจับตัวผมไว้และพยายามไถเงิน ผมแค่อยากให้พวกเขาปล่อย”
“คุณก็เลยเอาคืนโดยการผลักชั้นหนังสือทับใช่ไหม” ครูกีย้อนถาม
“เปล่าครับ ผมไม่ได้อยากทำร้ายใคร ผมแค่...ไม่มีทางเลือก”
ครูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเรียบ “แล้วเรื่องมันเป็นยังไง”
“หลังวิ่งออกมาจากห้องน้ำผมก็เข้าไปหลบในห้องสมุด แต่พวกเขาตามผมมาจนถึงที่นั่น ผมพยายามหนีแต่ถูกไล่ต้อนจนมุม ผมหนีไปไหนไม่ได้ก็เลย...”
“ก็เลยผลักชั้นหนังสือให้ล้ม เพื่อจะได้หนีออกไป ใช่ไหม” ครูกีสรุป
“ครับ” ผมตอบเสียงเบา
ทันใดนั้น เมย์ก็ลุกขึ้น “ไม่จริงค่ะ! หนูต่างหากที่เป็นคนสั่งให้ผลักชั้นหนังสือล้ม”
แม่ของเมย์รีบดึงแขนลูกสาวให้กลับไปนั่ง จุ๊ปากเป็นเชิงห้ามปราม ครูกีและครูรินหันมามองเมย์ด้วยความสนใจ
“ตกลงว่าใครเป็นต้นคิดให้ล้มชั้นหนังสือกันแน่” ครูกีถาม เสียงของเขาทุ้มต่ำจนน่าขนลุก
“ผมครับ!” เฮกเตอร์โพล่งขึ้นมา “จริง ๆ แล้วเรื่องทั้งหมดเริ่มที่ผม ณัฐวีร์ถูกจับเพราะช่วยผม ผมเลยโกรธและเป็นคนสั่งให้ผลักชั้นหนังสือเองครับ”
“ไม่จริง หนูนี่แหละเป็นคนสั่ง” เมย์เถียงสุดเสียง ยกมือขึ้นสูงจนแม่ของเธอต้องรีบดึงลงมา
“ฉันต่างหากที่เป็นคนออกคำสั่ง” เฮกเตอร์ยืนยัน ดวงตาฉายแววความดื้อรั้น
“ฉันเป็นลูกพี่พวกเธอ ฉันต้องเป็นคนสั่งสิ” เมย์แย้ง
“แต่ฉันไม่รับคำสั่งจากผู้หญิง” ผมพูดสวนไปบ้าง รู้สึกสนุกที่ได้เถียงกันว่าใครเป็นคนสั่งให้พังห้องสมุด
“ทุกคนเงียบ” ครูกีเคาะโต๊ะเบา ๆ พวกเราหยุดเถียงกันทันที
ความเงียบปกคลุมทั้งห้องอีกครั้ง ครูกีหันไปทางเด็ก ม.6 ที่นั่งแข็งทื่อ “เขื่อนขันธ์ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนผลักชั้นหนังสือ”
เขื่อนสะดุ้ง น้ำลายเหนียวคอ “ป... เป็นเด็กผู้หญิงครับ ธ… เธอสั่งให้ผลักชั้นหนังสือ” เขาพูดเสียงสั่น ไม่กล้ามองหน้าครู
“เธอยังเอาหนังสือโยนใส่เท้าผมจนบวมด้วย” เขื่อนพูดพลางหันขวับไปทางเมย์ แต่เด็กหญิงกลับยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
เฉิงตูที่นั่งเงียบอยู่นานยืดตัวขึ้นก่อนจะพูดเสริม “ใช่ครับ... เธอเป็นคนทำ”
ครูกีพยักหน้าช้า ๆ “แปลว่าพวกคุณถูกนักเรียนหญิง ม.1 ตัวเล็ก ๆ ทำร้ายจนบาดเจ็บสินะ”
ทั้งสองสบตากันก่อนจะยอมรับ “ค... ครับ”
ครูกีถอนหายใจ “งั้นคุณสองคนกลับไปได้ ขอโทษผู้ปกครองที่ทำให้เสียเวลาด้วยครับ” เขาลุกขึ้นไหว้ ผู้ปกครองของเขื่อนและเฉิงตูรับไหว้ด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบพาลูกชายออกจากห้องปกครอง โดยมีครูกีเดินตามออกไปเงียบ ๆ
ครูรินกลับมาจ้องพวกเราทั้งสามคน “ทีนี้… ครูจะลงโทษพวกเธอสามคนยังไงดี” น้ำเสียงของครูนุ่มนวล แต่กลับทำให้พวกเราขนลุก ผู้ปกครองที่เหลือมองหน้ากันอย่างประหม่า
...****************...
ครูฝ่ายปกครองตัดสินว่าเราเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้ห้องสมุดพังเละเทะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง ผมเถียงไม่ได้เลย และตอนนี้ผมกำลังรอฟังคำตัดสินจากครูประจำชั้น
“ลูกฉันจะถูกไล่ออกมั้ยคะครู” เสียงของแม่สั่นเครือ คล้ายอ้อนวอน
แม่ของเมย์และเฮกเตอร์เองก็ดูวิตกกังวลไม่แพ้กัน สีหน้าของผู้ปกครองทั้งสามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดรอคำตอบ นี่อาจเป็นวันสุดท้ายของผมที่โรงเรียนนี้ก็เป็นได้
เดี๋ยวนะ ไล่ออกงั้นเหรอ ก็ดีสิ ถ้าโดนไล่ออกก็หมายความว่าผมไม่ต้องมาโรงเรียนนี้อีก ผมจะได้กลับไปอยู่บ้านเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนใหม่ในปีหน้า ถ้าโชคดี พ่อกับแม่อาจยอมให้ผมเข้าโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ก็ได้ ระหว่างที่อยู่ว่าง ๆ ผมก็คงต้องหางานทำ เก็บเงินช่วยพ่อกับแม่จ่ายค่าเทอม สงสัยว่าจะมีที่ไหนรับเด็กอายุสิบสามเข้าทำงานมั้ยนะ
“คงไม่ถึงขั้นไล่ออกหรอกค่ะ ครั้งนี้เป็นการตักเตือน และขอให้คุณแม่รับทราบพฤติกรรมของนักเรียนไว้” ครูรินพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เด็ดขาด
บ้าเอ๊ย! แค่ตักเตือนเองเหรอ ผิดหวังชะมัด ผมต้องพังอะไรอีกถึงจะโดนไล่ออกกันนะ
“ครูเข้าใจค่ะว่านักเรียนใหม่ต้องใช้เวลาปรับตัว ซึ่งในกรณีนี้ครูจะช่วยพูดคุยปรับความเข้าใจกันต่อไป ส่วนเรื่องความเสียหายในห้องสมุด ทางโรงเรียนจำเป็นต้องมีมาตรการลงโทษตามระเบียบ อย่างไรก็ตาม ถือว่าโชคดีที่ไม่มีทรัพย์สินสำคัญเสียหาย” ครูหยุดชั่วครู่เพื่อประเมินสีหน้าของเหล่าผู้ปกครอง ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่หากนักเรียนยังมีพฤติกรรมเช่นนี้อีก ยังมีการทะเลาะวิวาทหรือก่อความเสียหายซ้ำซ้อน ทางโรงเรียนอาจต้องพิจารณาให้พักการเรียน คุณแม่เข้าใจใช่มั้ยค่ะ”
แม่พยักหน้ารับ สีหน้าโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผม… นี่มันเหมือนชี้โพรงให้กระรอกเลย พักการเรียนก็ไม่เลว ยังไงผมก็ไม่อยากมาโรงเรียนอยู่แล้ว
“แต่เด็ก ม.6 สองคนที่เพิ่งออกไปเมื่อกี้ คุณครูจะไม่ทำโทษหน่อยหรือคะ ฉันกลัวว่าพวกเขาจะกลับมารังแกลูก ๆ ของเราอีก และถ้าสามีของฉันรู้เข้ากลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่” แม่ของเฮกเตอร์ถามด้วยความกังวล
“เราตักเตือนพวกเขาไปเรียบร้อยแล้วค่ะ วันนี้เชิญผู้ปกครองมาเพื่อรับทราบว่าเด็กทั้งสองต้องทำความสะอาดห้องน้ำเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อเป็นการลงโทษ และถ้ายังก่อเรื่องอีก คงจะต้องให้พักการเรียน”
ครูเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางพวกเรา “ส่วนพวกเธอทั้งสามคนก็ต้องถูกทำโทษโดยการไปช่วยงานที่ห้องสมุดในช่วงพักกลางวันเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“ครูคะ” เมย์ยกมือขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม “ทำไมพวกเราโดนลงโทษนานกว่าตั้งเดือนหนึ่ง แต่พวกนั้นแค่อาทิตย์เดียวเองล่ะคะ”
“เพราะพวกเธอทำให้ห้องสมุดเสียหายจนต้องปิดใช้งานยังไงล่ะคะ” ครูตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จะมีสมุดเซ็นชื่อให้บรรณารักษ์คอยรายงานพฤติกรรม และพวกเธอต้องช่วยกันดูแลห้องสมุดให้กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่วันนี้ ทำได้ใช่มั้ยคะ”
“ครับ/ค่ะ” เราตอบพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็หมดธุระแล้วค่ะ เชิญคุณแม่และนักเรียนตามสบายนะคะ” ครูรินลดายืนขึ้น ยกมือไหว้กล่าวลาผู้ปกครอง
ผมลุกขึ้นเดินตามแม่ออกจากห้องเย็น ใจลอยไปถึงอิสรภาพที่รออยู่ข้างหน้า วิเศษไปเลย แค่หาเรื่องชกต่อยอีกครั้งเดียวผมก็จะได้พักการเรียนกลับไปนอนเล่นที่บ้าน วิธีง่าย ๆ แบบนี้ ทำไมผมเพิ่งคิดออกนะ
“เจมส์... เจมส์!” เสียงของแม่ดึงผมออกจากภวังค์
“ฮะ?" ผมหันไปมอง
“เป็นอะไรหรือเปล่า ลูกดูใจลอยจัง” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวผมเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “ไม่ต้องห่วงนะ ครูก็บอกแล้วว่าครั้งนี้แค่ตักเตือน แม่รู้ว่าลูกไม่ใช่เด็กเกเร แต่ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายเลยนะ แม่เชื่อว่าลูกเป็นเด็กฉลาด ลูกปรับตัวเข้ากับโรงเรียนได้อยู่แล้ว”
แม่เดินมาส่งผมถึงหน้าห้องเรียน หยุดมองบรรยากาศรอบตัวก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตั้งใจเรียนนะลูก แล้วเจอกันที่บ้านจ้ะ” พูดจบแม่ก้มลงหอมแก้มผมเบา ๆ
“ไม่เอาน่าแม่ อายเขา” ผมเบี่ยงหน้าหลบ แม่หัวเราะเบา ๆ โบกมือลาแล้วเดินจากไป
เสียงซุบซิบดังขึ้นทันทีเมื่อผมกลับมานั่งที่โต๊ะ เมย์และเฮกเตอร์เดินตามเข้ามาติด ๆ ผมหยิบหนังสือเรียนออกจากกระเป๋า กางออกตรงหน้า พลางคิดแผนบางอย่างในใจ แผนร้ายที่จะฉุดตัวผมและรุ่นพี่เกเรสองคนให้ถูกพักการเรียนไปพร้อมกัน
...****************...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments