SCHOOL LEGACY โรงเรียนซ่อนเร้น

SCHOOL LEGACY โรงเรียนซ่อนเร้น

เพื่อนใหม่ที่ไม่ต้องการ

เรามักทำร้ายคนที่เรารักบ่อยกว่าทำร้ายคนที่เราเกลียด นี่คือเรื่องจริง เชื่อสิผมรู้ดี พ่อกับแม่บอกเสมอว่ารักผม แต่ความรักของพวกเขากลับทิ้งแผลใจเอาไว้ให้ผมอย่างเจ็บแสบ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ผมนั่งอยู่แถวหน้าในห้อง ม.1/3 มองดูรอยขีดเขียนบนโต๊ะไม้เก่าที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผมไม่ได้เลือกที่นั่งตรงนี้เพราะอยากเป็นเด็กเรียนดีหรอกนะ แต่เพราะส่วนสูงของผมเตี้ยกว่าคนอื่น ๆ ครูเลยจับให้มานั่งหน้าห้อง

เสียงชอล์กขีดเขียนบนกระดานดำดังแกรก ๆ ผมพยายามตั้งใจฟังที่ครูสอน แต่พัดลมเพดานที่กำลังหมุนเอื่อย ๆ ส่งเสียงครืดคราดเหมือนจะขาดใจจนน่ารำคาญ

เฮ้อ… ถ้าผมได้เข้าโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ ทุกอย่างคงดีกว่านี้ ได้ยินว่าตึกเรียนที่นั่นสะอาดสะอ้าน มีสนามฟุตบอลกับอัฒจันทร์อย่างใหญ่ ห้องเรียนก็ทันสมัยพร้อมแอร์เย็นฉ่ำ ไม่เหมือนที่นี่ โรงเรียนมัธยมวัชรโยธินที่เต็มไปด้วยของโบราณ โต๊ะเรียนมีแต่รอยขีดเขียนสะเปะสะปะ ผนังเปื้อนคราบสกปรก และพัดลมที่ใกล้จะพัง

ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันที่ผลสอบเทอมสุดท้ายของชั้น ป.6 ออกมา ผมดีใจมากเพราะสอบได้ที่หนึ่ง และพ่อกับแม่สัญญาว่าถ้าผมทำได้ พวกเขาจะให้ผมเรียนต่อที่เซนต์ปีเตอร์ โรงเรียนสุดหรูที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด

วันเกิดปีที่สิบสามของผมมาถึงพร้อมกับเค้กก้อนใหญ่บนโต๊ะ แต่บรรยากาศกลับเย็นชาเกินกว่าจะเป็นวันพิเศษ แม่ลูบหัวผมเบา ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว

“เจมส์... ลูกรัก” น้ำเสียงของแม่ดูลังเล “แม่ขอโทษ เราคงส่งลูกไปเรียนที่เซนต์ปีเตอร์ไม่ได้แล้ว”

เปรี้ยง! เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ไม่จริง นี่ล้อกันเล่นใช่มั้ย ผมหันไปมองพ่อ พ่อก้มหน้าทำเหมือนไม่กล้าสบตา แล้วอธิบายว่าค่าเทอมของเซนต์ปีเตอร์แพงเกินไป ค่ากิจกรรม ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์ ทุกอย่างแพงขึ้นหมด

“แต่พ่อกับแม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอฮะ” ผมพูดเสียงสั่น กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ

“ผมอวดทุกคนแล้วว่าจะไปเรียนต่อที่เซนต์ปีเตอร์”

“พ่อรู้ แต่ตอนนี้บ้านเรายังไม่พร้อมจริง ๆ” พ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามอธิบาย

“เจมส์... ลูกรู้หรือเปล่าว่าพ่อก็เป็นศิษย์เก่ามัธยมวัชรโยธิน พ่ออยากให้ลูกไปเรียน ม.1 ที่นั่น ลูกจะต้องชอบแน่”

พ่อกับแม่สบตากัน ก่อนที่พ่อจะยิ้มแห้ง ๆ พยายามแต่งเรื่องเพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น “เขาว่ากันว่าโรงเรียนนี้มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ด้วย เจ๋งใช่มั้ยล่ะ”

แม่รีบเสริมทันที “ใช่จ้ะ เป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสงครามโลก บางทีลูกอาจเป็นคนหามันเจอก็ได้นะจ๊ะ”

เอาแบบนี้จริงดิ นี่พ่อกับแม่คิดว่าผมเป็นใคร อินเดียน่า โจนส์งั้นเหรอ

“ไม่เอา ผมไม่อยากได้สมบัติ ผมอยากได้โรงเรียนที่พ่อกับแม่สัญญาไว้ พ่อเป็นคนพูดเอง ถ้าผมสอบได้ที่หนึ่ง ผมจะได้เรียนที่เซนต์ปีเตอร์ ผมควรจะได้เรียนที่เซนต์ปีเตอร์สิฮะ ไม่ใช่วัชรโยธิน”

เสียงของผมดังเกินไป พ่อเหลียวมองรอบตัวเหมือนกับกลัวคนอื่นได้ยิน แต่ผมไม่สนอีกแล้ว

“ทำไมต้องเกิดกับผม ไม่ยุติธรรมเลย” ผมกัดฟันแน่น พยายามกลืนก้อนจุกในลำคอ “ทุกคนโกหกกันหมด”

แม่เม้มปาก ดูเจ็บปวด “ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังนะลูก” แม่พยายามทำเสียงอ่อน เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“มาเป่าเทียนสิเจมส์ บางทีคำอธิษฐานของลูกอาจเป็นจริงก็ได้” พ่อพูดขณะที่ใช้ไฟแช็กจุดเทียนทั้งสิบสามเล่มบนเค้ก

“ได้ งั้นขอให้ผมได้เข้าโรงเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด... เพี้ยง!”

ผมเป่าเทียนจนดับ กลิ่นควันลอยเข้าจมูกจนต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะวิ่งเข้าห้องนอน ปิดประตู ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม น้ำตาไหลพรากและไม่พูดอะไรอีก

ไม่นานเสียงทะเลาะกันก็ดังลั่นไปทั่วบ้าน ก็เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นั่นแหละ ผมพยายามยกมือขึ้นปิดหู แต่ก็หนีความจริงไม่ได้ว่าสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะผม พ่อกับแม่ตะโกนใส่กันไปมาแต่แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างก็เงียบลง ซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นความเงียบก่อนที่คลื่นสึนามิจะซัดถล่มทุกอย่างให้พังพินาศ ผมต้องหยุดพวกเขาก่อนมันจะสายเกินไป

ผมเปิดประตูห้อง ตะโกนออกไปสุดเสียง “พอเถอะฮะ!”

“พอทั้งคู่นั่นแหละ ผมจะไปเรียนที่วัชรโยธินก็ได้ พอใจหรือยังฮะ” น้ำตาเค็ม ๆ ไหลมาถึงปากผม

พ่อกับแม่เงียบกันไป ผมฉวยโอกาสพูดต่อก่อนที่พวกเขาจะทะเลาะกันอีกครั้ง “แต่พ่อกับแม่ต้องสัญญาว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก”

ผมรู้ดีว่าถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ อีกไม่เกินชั่วโมงข้างหน้า เรื่องราวทั้งหมดจะไปโผล่บนเฟซบุ๊กของแม่ พร้อมคำบรรยายสุดร้อนแรงให้ป้าข้างบ้านเอาไปนินทากันอย่างสนุกปาก น่าทึ่งที่คนโบราณคิดค้นแอปที่ทำให้ใครต่อใครเขียนเรื่องแย่ ๆ ของตัวเองลงไปในนั้นได้ เฟซบุ๊กไม่ใช่ทะเบียนบ้าน ไม่ต้องเขียนทุกอย่างลงในนั้นหรอก ผมไม่เข้าใจคนแก่ที่เล่นแอปนี้เลยจริง ๆ

“เจมส์... ลูกพ่อ” พ่อเดินเข้ามาพร้อมกับก้มลงกอดผม

“แม่ขอโทษนะลูก” แม่เอื้อมมือมากอดเราไว้ด้วยกัน มันได้ผล พวกเขาหยุดทะเลาะกันแล้ว

“ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันเพราะผม ผมอยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” ผมพูดออกไปทั้งที่น้ำตายังไหลพราก

พ่อถอนหายใจยาว “เราเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยน”

แม่พยักหน้า ลูบหลังผมราวกับปลอบโยนเด็กที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย “ใช่จ้ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็รักลูกเสมอ”

เพราะแบบนี้เอง ความรักของพ่อกับแม่ก็เลยทำให้ผมได้มาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัชรโยธินแบบไม่เต็มใจนัก นั่งอยู่บนโต๊ะแถวหน้าสุด ใกล้กระดานดำ ฟังเสียงพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ ส่งเสียงครืดคราดเหมือนพยายามร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ต่างอะไรจากผมในตอนนี้

...****************...

ที่โรงเรียนใหม่ ผมนั่งเงียบ ๆ ตลอดช่วงเช้า พยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ไม่อยากทำความรู้จักกับใครด้วย กระทั่งถึงช่วงพักเที่ยงผมถึงรู้ตัวว่ากำลังอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโรงอาหาร และเมื่อมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็เห็นทุกโต๊ะมีนักเรียนจับกลุ่มกันหมด เหลือแค่ผมที่นั่งคนเดียว กำลังใช้ช้อนเขี่ยใบกะเพราไปไว้ที่ขอบจานข้าวอย่างตั้งใจ

เอี๊ยด! เก้าอี้ข้าง ๆ ผมถูกลาก ตามมาด้วยเสียงของเด็กผู้ชาย

“นั่งด้วยได้มั้ย”

ผมเงยหน้าขึ้น เห็นเด็กคนหนึ่งยืนถือจาน อีกมือถือขวดน้ำ ท่าทางลำบากใจ

“แบบว่า… ที่อื่นเต็มหมดแล้ว” เขาพูดอ้อนวอน

ผมถอนหายใจ ก่อนจะตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ได้ ฉันอยากนั่งคนเดียว”

แต่เด็กชายกลับวางจานลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงหน้าตาเฉย “ไม่ต้องอายหรอกน่า ฉันจะนั่งเป็นเพื่อนเอง”

ผมจ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ แล้วหันกลับมาสนใจผัดกะเพราของตัวเองต่อ

“หวัดดี ฉันเฮกเตอร์” เขาพูดพลางเปิดขวดน้ำดื่ม

“ไม่ได้ถาม” ผมตอบห้วน ๆ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าเสีย “ไหน ๆ นายก็พูดแล้ว ฉันชื่อเจมส์ อยู่ห้อง ม.1/3”

“ร้ายกาจ!” เฮกเตอร์ทำตาโต “แบบว่า… เราอยู่ห้องเดียวกันใช่มั้ย” เขาพูดอย่างตื่นเต้น

“คงงั้น” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตักข้าวเข้าปากแล้วแอบมองเขาครู่หนึ่ง สมองเริ่มคิดอะไรเล่น ๆ ถ้าเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาจะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้นะ หากโชคดี วันนี้ผมอาจมีรอน วีสลีย์ เป็นของตัวเอง

ในที่สุดผมจึงตัดสินใจถามลองเชิงเฮกเตอร์ “นี่ นายมีพี่ชายเรียนที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”

“ฉันไม่มีพี่ชาย” เขาขมวดคิ้วตอบโดยไม่ต้องคิด

ผมจึงถามต่อ “งั้นนายก็ต้องมีน้องสาว?”

“ฉันลูกคนเดียว” เฮกเตอร์ส่ายหน้า

“ชุดนักเรียนนายใส่ต่อของคนอื่น?”

เขาทำหน้างง ก่อนจะตอบเสียงแข็งขึ้นนิดหน่อย “ฉันเพิ่งซื้อใหม่”

“พ่อทำงานกระทรวงฯ?”

“ทำสวนยาง”

“บ้านนายเลี้ยงนกฮูก?”

“เลี้ยงไก่ชน”

“กลัวแมงมุมมั้ย?”

“อีบึ้งย่างไฟอร่อยมาก”

“ถ้าเอาสัตว์มาโรงเรียนได้หนึ่งตัว นายจะเลือกอะไร?”

“งูหางกระดิ่ง”

ผมชะงัก วางช้อนลงแล้วจ้องหน้าเฮกเตอร์ “บ้าเอ๊ย!”

“อะไร?!” เฮกเตอร์ตกใจ

“ฉันนึกว่านายเป็นรอน แต่ไม่ใช่” ผมรู้สึกผิดหวังอย่างแรง

“รอนไหน?”

“รอน วีสลีย์” ผมรีบเฉลย แต่เฮกเตอร์กลับทำหน้างง

“ไม่เห็นรู้จัก”

ผมเบิกตากว้างเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย ไม่อยากจะเชื่อ หมอนี่ไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่เคยดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กที่ไม่เคยดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพหรอก เชื่อผมสิ

“ถ้าไม่ใช่รอน แล้วนายเป็นใคร?” ผมกลอกตาคิดหนัก

“ฉันเพิ่งบอกว่าชื่อเฮกเตอร์ นายกับฉันเรียนอยู่ห้องเดียวกัน”

“ฉันรู้แล้ว”

“นายโอเคใช่มั้ย?”

“ฉันโอเค”

“นายเพ้อเหมือนคนบ้าเลยเพื่อน” เฮกเตอร์เริ่มขยับเก้าอี้ออกห่างอย่างระแวง

“ฉันปกติดีทุกอย่าง” ผมยักไหล่แล้วหยิบกล่องนมขึ้นดูดรวดเดียวจนหมดก่อนลุกขึ้นยืน “แล้วก็… ฉันไม่ใช่เพื่อนนาย”

พูดจบผมจึงหยิบจานข้าวเดินไปเก็บ และออกจากโรงอาหารโดยไม่หันกลับมามองเฮกเตอร์อีก ตั้งใจจะหาที่เงียบ ๆ นั่งพัก แต่แสงแดดข้างนอกทำให้ผมต้องลังเล ไม่ไหว โรงเรียนนี้ร้อนจนผมแทบเป็นลม จะมีที่ไหนเย็น ๆ และเงียบสงบบ้างมั้ยนะ แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาให้หัว ใช่ ห้องสมุดยังไงล่ะ

ผมถามทางไปห้องสมุดจากเด็กนักเรียนแถวนั้น และไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็ก้าวเข้ามาในห้องสมุดอันเงียบสงบ เย็นสบาย นี่แหละสมบูรณ์แบบ ผมเดินไล่มองหนังสือจากชั้นวางก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งมาเปิดอ่าน หวังว่ามันจะทำให้ผมลืมความน่าเบื่อของโรงเรียนใหม่นี้ได้สักพัก

...****************...

เสียงระฆังดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มต้นคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนค่อย ๆ เงียบลงเมื่อครูก้าวเข้ามาในห้อง เขาเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าตาเย็นชา ดูไร้อารมณ์ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำพับถึงศอกกับกางเกงสีเดียวกัน

ครูวางหนังสือลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! จนผมสะดุ้ง

จากนั้นหัวหน้าห้องก็ลุกขึ้นสั่ง “นักเรียนเคารพ!”

ทุกคนกล่าวพร้อมกัน “ซาหวาดดีครับ/ค่ะ คุณครู”

“นั่งลงได้” ครูพูดสั้น ๆ สายตากวาดมองไปรอบห้อง

“ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณครู” เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังกุกกัก แล้วทุกอย่างก็เงียบลงอีกครั้ง

“หลับตา” ครูออกคำสั่ง “นั่งสมาธิสามนาที”

ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ทุกคนหลับตาลง เวลาสามนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่เสียงของครูจะดังขึ้นอีกครั้ง

“ลืมตาได้”

ทันทีที่ทุกคนลืมตา ครูก็ใช้ชอล์กสีขาวเขียนชื่อตัวเองบนกระดานดำ

“กีรติ คือชื่อของผม” เขาพูด ภายหลังพวกเราเรียกเขาว่าครูกี

“ก่อนจะเริ่มเรียน เรามาตกลงกันก่อน” ครูยกชอล์กขึ้นเคาะกับกระดานเป็นจังหวะ

“ผมมาที่นี่เพื่อสอนความรู้ให้พวกคุณ ผมไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่เพื่อนเล่น ผมเป็นครู จำไว้ให้ดี”

ทั้งห้องเงียบกริบ

“ที่นี่… ผมให้เกียรติพวกคุณทุกคน” ครูกล่าวช้า ๆ

“แต่ถ้าใครไม่ให้เกียรติผม ก็เอาเกรดศูนย์ไป”

ไม่มีการหยอกล้อหรือพูดเล่นในระหว่างคาบเรียน ผมก้มหน้าจดสมการตัวเลขอย่างตั้งใจ เสียงปากกาขีดเขียนบนสมุดดังสลับกับเสียงขยับเก้าอี้เป็นครั้งคราว ความเอาจริงเอาจังของครูทำให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

จนกระทั่ง… แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง! เสียงระฆังสุดท้ายของวันดังขึ้นทลายความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดคาบ ครูหยุดพูดทันที ปิดหนังสือเรียนลง แล้วก้าวออกจากห้องไปโดยไม่เสียเวลาเลยสักวินาทีเดียว

ผมเองก็รีบเก็บอุปกรณ์การเรียนยัดใส่กระเป๋าและออกจากห้องเป็นคนแรก วิ่งผ่านลานหน้าเสาธงตรงไปที่ประตูด้วยความหวังว่ารถโรงเรียนจะมารออยู่แล้ว แต่กลับไม่มี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำได้แค่เดินเล่นอยู่แถวนั้นจนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับรูปปั้นที่ตั้งอยู่บนฐานสูง สนิมสีเขียวเกาะตามซอกหลืบของเนื้อโลหะบ่งบอกถึงความเก่าแก่ ขณะที่ผมกำลังไล่สายตาสำรวจอยู่นั้น พลันมีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลัง

“รูปปั้นเด็กหญิงนางฟ้า เพื่อระลึกถึงเด็ก ๆ ที่จากไปในช่วงสงคราม สร้างโดยพ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน คนที่ก่อตั้งโรงเรียนนี้”

ผมหันขวับไปตามเสียง เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอตัวผอมแต่สูงกว่าผม ใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ท่าทางคึกคักตลอดเวลา

“รู้ได้ไง” ผมถาม

“ก็อ่านดูสิ” เธอชี้ไปที่แผ่นทองเหลืองที่ติดอยู่ตรงฐานรูปปั้น

“รู้มั้ยว่าสมัยสงครามโลก พ่อเลี้ยงเอาสมบัติมาซ่อนไว้ที่นี่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาเจอ” เธอพูดพลางเหลือบตามองรูปปั้น

“เหลวไหล โกหกทั้งเพ” ผมสวนกลับทันที ไม่ชอบท่าทางสาระแนอวดเก่งของเธอเลย

“เธอจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ” เธอยักไหล่ ทำหน้าเหมือนไม่ใส่ใจว่าผมจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

“ถ้าทุกคนรู้ มันก็แปลว่าสมบัติคงไม่เหลือแล้วน่ะสิ” ผมพูดย้อนและมันได้ผล เธออ้าปากเหมือนจะเถียงแต่ก็พูดไม่ออก ยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

“ฉันชื่อเมย์” เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า

ผมจึงปล่อยกรรไกรทันที “ฉุบ! ฉันชนะ”

รอยยิ้มของเธอหายไป “ไม่ใช่เป่ายิ้งฉุบ จับมือทักทายน่ะ ไม่เคยเห็นในหนังเหรอ”

“อ๋อ” ผมร้องเบา ๆ

“งั้นเรามาแนะนำตัวกันใหม่ ฉันชื่อเมย์…”

“ไม่ได้ถาม” ผมตัดบทเย็นชาพอ ๆ กับสีหน้าของรูปปั้น

“รู้ตัวมั้ยว่าเธอเนี่ย มารยาทแย่มาก” น้ำเสียงบ่งบอกว่าเมย์เริ่มโมโห

“รู้แล้วก็หลีกไปสิ” ผมเดินเลี่ยงเธอออกมา

“นี่ ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอก็เท่านั้นเอง” เมย์พยามชวนผมคุยอีกครั้ง

ผมหยุดเดินชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับไปสบตาเธอ “ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉัน”

“ก็… ไว้ลอกการบ้านไง วันนี้ฉันเห็นเธอที่ห้องสมุดกำลังนั่งอ่านหนังสือคนเดียว แล้วเธอก็นั่งโต๊ะหน้าห้อง ฉันเลยคิดว่าเธอเป็นเด็กเรียน เป็นเด็กฉลาด ฉันอยากเป็นเพื่อนกับคนฉลาด ๆ”

“อย่างี่เง่า ฉันไม่ได้เลือกที่นั่งเอง!” ผมตวาดเสียงดัง “และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอด้วย” ทันทีที่พูดจบผมก็เดินหนี

“เดี๋ยวสิ งั้นมาร่วมทีมล่าสมบัติกับฉันมั้ย นี่…” เสียงแหลม ๆ ของเมย์ดังไล่หลังมาแต่มันไม่ได้ทำให้ผมหยุดเดิน

...****************...

ฮอต

Comments

moa_dubadu_wariwari

moa_dubadu_wariwari

เข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้ดีมากๆ ค่ะ!

2025-03-02

1

ทั้งหมด

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!