แสงแรกแห่งอรุณรุ่งฉาบไล้ผ่านผืนหมอกบางที่คลี่คลุมหมู่บ้านอรุณสรา เหมือนแปรงวาดของฟ้าสีทองลูบไล้ผืนดินให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน กลีบดอกไม้ยามเช้าเริ่มคลี่บานรับหยาดน้ำค้าง ดั่งรอยยิ้มแรกของวันใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือระวังตัว
เสียงไก่ขันแว่วเบา ๆ ในห้องไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่มุงด้วยใบจาก เด็กชายศานต์ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน เขาบิดขี้เกียจพลางพึมพำ
"แสงทอง...จริงด้วย..." เขายังจำได้ถึงเงาแปลกตาเมื่อคืนที่ทิ้งประกายวูบไหวในใจ คล้ายจะเป็นฝัน...แต่หัวใจก็ยังไม่อาจคลายความรู้สึกนั้นลงได้
ขณะที่เขาค่อย ๆ เดินออกไปล้างหน้าตรงบ่อไม้ไผ่เล็ก ๆ ข้างบ้าน สายลมเย็นเช้าพัดหอบกลีบดอกจำปีปลิวมาชนจมูกเขาพอดี
"อีกแล้ว..." ศานต์พึมพำก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วเอื้อมมือรับกลีบดอกไม้นั้นไว้
และในห้วงขณะเดียวกัน ท่ามกลางแสงตะวันอ่อน วิหคจันทร์ก็กำลังนั่งเหยียดขาบนกิ่งไม้สูงของต้นจำปีหลังเขตหมู่บ้าน ดวงตากลมโตจ้องมองเด็กชายด้วยความใคร่รู้ และอดจะอมยิ้มไม่ได้
“มนุษย์...ขี้เกียจเหมือนกวางขนฟูยามหนาวเลยนะ”
น้ำเสียงแผ่วเบาของนางปะปนกับเสียงลมเช้า แต่หากมีใครอยู่ใกล้กว่านี้ คงได้ยินเสียงหัวเราะกลั้น ๆ คล้ายจะขบขัน...แต่แฝงด้วยความอบอุ่นบางอย่างที่นางเองก็ไม่ทันรู้ตัว
ทันใดนั้นเอง—
"โครม!"
เสียงบางอย่างตกจากกิ่งไม้ วิหคจันทร์ตกลงมากลางพุ่มไม้พอดี ขนนกติดใบไม้ฟูฟ่องเหมือนเมฆปุยนุ่นตกใส่พื้นโลก
“โอ๊ย! ข้าแค่ขยับตัวนิดเดียวเองนะ…”
นางพึมพำพร้อมผุดลุกขึ้นมาปัดใบไม้ออกจากปีก แต่สายตาของศานต์ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ไม่ไกล ทำให้นางชะงัก
ดวงตาทั้งคู่สบกัน ดั่งเงาสะท้อนในสายน้ำที่นิ่งงัน
"...แสงทอง..." เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง “เจ้าเป็น...กินรีจริง ๆ เหรอ?!”
“เอ่อ...ไม่ใช่ซะหน่อย!” วิหคจันทร์รีบปฏิเสธ หน้าแดงระเรื่อเหมือนลูกพุดสุกกลางแดด “ข้า...ข้าแค่หลงทางเฉย ๆ!”
ศานต์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอียงคออย่างนึกสงสัย “…กินรีหลงทาง? นี่มันฟังดูแปลกกว่าฝันข้าอีกนะ”
“แล้วเจ้าฝันว่าอะไรล่ะ?” นางย้อนถามพร้อมลูบปีกเบา ๆ พลางพยายามยืดหลังให้ดูสง่ากว่าเดิม
ศานต์ยิ้มกริ่ม “ก็...มีแสงทองบินผ่านฟ้า แล้วก็ตกลงมาใส่พุ่มไม้เหมือนตอนนี้เป๊ะเลย!”
วิหคจันทร์ทำหน้างอ “เจ้านี่! ปากดีนักนะมนุษย์!”
“ข้าชื่อศานต์ ไม่ใช่มนุษย์” เขาว่าแล้วก็ยักไหล่
“แล้วเจ้าล่ะ? จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?”
นางเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวช้า ๆ “ข้าชื่อ...วิหคจันทร์” วิหคจันทร์ตอบ
ศานต์ยิ้มกรุ้มกริ่ม “ข้าจะไม่บอกใครก็แล้วกัน...ว่าเจ้ายังบินไม่ได้”
“เจ้าบังอาจนัก!” นางพึมพำเสียงลอดไรฟัน ปีกกางแผ่วเหมือนจะฟาดลงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยกมันขึ้นครึ่งทางเพราะบาดเจ็บ แล้วปล่อยลงราวกับลมเหนื่อย
บรรยากาศรอบกายเงียบลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมอ่อนที่ไล้ผ่านแนวไม้ไผ่
ศานต์ยื่นมือออกไปดึงเศษฟางเล็ก ๆ ออกจากปลายปีกนางเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าไม่ให้ใครมาจับเจ้าขังแน่...ต่อให้แม่ข้าจะป้อนข้าวเจ้าทั้งวันจริง ๆ ก็ตามที”
วิหคจันทร์นิ่งไป ดวงตากลมโตของนางทอดมองเด็กชายอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“…เจ้าดีกับข้าเกินไปหรือเปล่า?”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำยังไงล่ะ?” ศานต์ถามกลับ “เจอคนตกลงมาจากฟ้า ทั้งสวยทั้งมีปีก จะให้ข้าผลักกลับขึ้นไปเลยเหรอ?”
คำพูดนั้นทำให้แก้มนางขึ้นสีแดงระเรื่อราวกลีบดอกซ่อนกลิ่นเมื่อยามสาย นางหลบตา กัดริมฝีปากแน่น แล้วว่าเบา ๆ
“ข้าไม่สวยขนาดนั้น…”
“แล้วใครเป็นคนตัดสิน?” ศานต์ว่า “เจ้าสวยในแบบของเจ้าเอง เหมือนดอกไม้ป่าที่ไม่ได้ปลูกในกระถางทอง...แต่งดงามในที่ของมัน”
ศานต์ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “แล้วก็วิหคจันทร์…เป็นชื่อที่สวยดีนะ เหมือนพระจันทร์ที่มีปีก”
เมื่อวิหคจันทร์ได้ยินนางเบือนหน้า แต่ปลายหูแดงจัด
ในขณะเดียวกัน ศานต์กำลังพา “วิหคจันทร์” ไปซ่อนที่หลังบ้าน
“เจ้าจะอยู่ที่นี่ได้ไหม? แม่ข้าจะตื่นแล้วนะ อย่าเผลอโผล่มาให้เห็นล่ะ”
“ทำไมล่ะ?” นางถาม “แม่เจ้าใจดีออก…”
“นั่นแหละ! เพราะนางใจดีเกินไป ถ้าเห็นเจ้ามีปีก นางจะจับเจ้าขังไว้ในห้องแล้วป้อน น้ำ ข้าว จนเจ้ากลายเป็นนกเลี้ยงแน่ ๆ!”
“อะไรของเจ้า! ข้าไม่ใช่นก!”
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่วิหคจันทร์ทำท่าจะฟาดปีกใส่เขาอย่างไม่จริงจัง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments