ทิพากร หลับตาทอดถอนใจให้กับโชคชะตาของผู้กล้าเล็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มโบยบิน
เสียงกระพือปีกเบา ๆ ของ วิหคจันทร์ คล้ายบทเพลงกล่อมหัวใจที่ถักทอด้วยด้ายแห่งความกล้า บรรเลงอยู่กลางความเงียบของค่ำคืนนางล่องลอยผ่านหุบเขา ป่าไผ่ และม่านหมอกบางที่ ความตื่นเต้น ความหวั่นไหว และฝันที่กำลังจะมีรูปร่าง
"ในที่สุดข้าจะได้เห็น โลกของมนุษย์จริง ๆ แล้ว"
เสียงพึมพำของนางเจือปนกับสายลมเย็น กลิ่นอายของโลกเบื้องล่างแตกต่างจากหิมพานต์ราวฟ้ากับห้วงสมุทร กลิ่นควันไฟ กลิ่นดิน น้ำค้างสดใหม่ และเสียงจิ้งหรีดที่สอดแทรกดั่งเสียงกระซิบจากผืนดิน…ทั้งหมดนี้ไม่อาจพบเจอในป่าอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่นานนัก ดวงตากลมโตของวิหคจันทร์ก็เบิกกว้าง
กลางหุบเขาเบื้องล่าง มีแสงไฟริบหรี่ของหมู่บ้านเล็ก ๆ โอบล้อมด้วยแนวไม้ใหญ่ที่โน้มกิ่งคล้ายอ้อมแขนของผู้เฝ้ารักษา และลำธารสายยาวที่ไหลคดเคี้ยวประหนึ่งเส้นด้ายโชคชะตาที่พาดผ่านผืนแผ่นดิน
เงาร่างเล็กของนางร่อนลงอย่างเงียบเชียบ ยึดเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูง แอบมองโลกมนุษย์ด้วยหัวใจเต้นระรัว
ในหมู่บ้านนั้น วิหคจันทร์มองเด็กชายผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ เขาใช้ถ่านวาดภาพลงบนหินแผ่นแบน มือเปื้อนเขม่าดำ แต่แววตากลับสว่างเหมือนแสงเทียนในห้องมืด ดวงหน้าเรียบเฉยแฝงความลึกซึ้งเกินวัย
" เขาดู…แตกต่างจากที่พี่ทิพากรเล่า "
เสียงกระซิบของวิหคจันทร์เบาบางกว่าลมหายใจ ทว่าเต็มไปด้วยความสงสัย
เด็กชายมีดวงตาเศร้า เหมือนผู้ที่เคยสัมผัสความสูญเสียแต่ยังไม่ยอมให้ใจตาย แววตาของเขาคือเปลวเทียนที่ยังฝืนส่องแสงแม้พายุจะโหมกระหน่ำ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน
" ศานต์ ! เจ้าหนีออกมาอีกแล้วนะ! แม่ตามหาเจ้าให้วุ่น!"
เสียงหญิงสาวดังขึ้น ก่อนร่างของนางจะปรากฏใต้ต้นโพธิ์
หญิงผู้นั้นสวมผ้าคลุมสีจาง ดวงหน้านวลเนียนเปื้อนเหงื่อ หากแววตากลับอ่อนโยน ราวแสงแรกของวันใหม่ที่ส่องผ่านม่านหมอกในยามหนาว ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านางยังมิอาจกลบความรักที่เปล่งประกายจากหัวใจ
เด็กชายหันมายิ้มเจื่อน ๆ ถือหินวาดรูปแนบอก
“ ข้าแค่อยากวาดฝันก่อนเข้านอน...แม่ครับผมฝันถึงกินรีอีกแล้ว ตัวเป็นแสงทอง...บินอยู่เหนือป่าอย่างอิสระ”
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเลือนหายชั่วขณะนางจะโอบกอดเขาไว้แน่น
“งั้นคืนนี้แม่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนฝันดี...ไม่ต้องกลัวนะ ศานต์”
คำว่า "กินรี" สะกิดบางสิ่งในใจวิหคจันทร์ ราวสายลมที่กระทบสายพิณในห้วงความทรงจำ นางจ้องมองภาพสองแม่ลูกนั้นด้วยความซึ้ง
อ้อมกอดนั้น…ชวนให้นางนึกถึง ทิพากร อย่างจับใจอ้อมกอดอุ่นๆที่เคยกอดนาง
ขณะเดียวกันนั้น เงาดำบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ตรงชายป่าห่างออกไป ดวงตาคู่หนึ่งส่องแสงสีแดงเรืองในความมืด เหมือนเปลวเพลิงซ่อนอยู่ในเงามัจจุราช เงาร่างของมันขยับใกล้เข้ามาทีละก้าว ราวเงาของโชคชะตาที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยง
วิหคจันทร์เบิกตากว้าง หัวใจเต้นโครมคราม มือเล็กกำแน่นด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ทำให้ใบไม้ร่วงหล่นลงไป
ศานต์เงยหน้าขึ้น แววตาพบกับประกายแสงสีทองวูบหนึ่งบนยอดไม้ ก่อนจะหายวับไปราวกับความฝัน
“นั่นมัน…”
“อะไรหรือศานต์?”
“…ไม่มีอะไรครับแม่” เขาตอบเบา ๆ หากแต่หัวใจยังไม่อาจลืมภาพเมื่อครู่ได้เลย
และในขณะเดียวกันนั้น วิหคจันทร์ก็เริ่มเข้าใจว่า…
โลกมนุษย์นี้ มิได้มีเพียงสิ่งงดงามดังแสงดาว แต่ยังเต็มไปด้วยเงามืดที่รอคอยจะแสดงโฉม
และนี่…คือย่างก้าวแรกของเธอ ในโลกที่เปี่ยมด้วยปริศนา หัวใจ และชะตากรรมอันเร้นลับซึ่งยังไม่มีใครล่วงรู้
นางยังเฝ้ามองภาพเด็กชายผู้นั้น—ศานต์—จากยอดไม้สูง ราวจิตใจถูกผูกไว้ด้วยสายใยบางเบาที่ไม่อาจอธิบาย ความอบอุ่นที่แผ่ออกจากแม่ของเขาชื่อ เสาวนี ก็กระซิบถึงความผูกพันลึกซึ้งบางอย่างที่ไม่ใช่เพียงสายเลือด หากแต่คือสายธารแห่งความรักแท้จากหัวใจหนึ่งสู่หัวใจหนึ่ง
หมู่บ้านที่อยู่เบื้องล่างชื่อว่า “อรุณสรา” หมู่บ้านที่แปลว่า “แสงแรกของรุ่งอรุณ” สมชื่อด้วยบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์และผู้คนผู้ยังศรัทธาในความดี ความสงบที่ปกคลุมหมู่บ้านนั้น เปรียบดังผ้าฝ้ายสีจันทร์ที่ห่มหุ้มแผ่นดินไว้ให้ไกลจากเพลิงทุกข์
ทว่าสิ่งใดก็ตามที่สงบย่อมต้องมีสิ่งตรงข้ามรอคอยอยู่ในเงามืด...
ณ ชายป่าด้านทิศเหนือ ที่ซึ่งหมู่ไม้แน่นขนัดจนแสงจันทร์ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้ เงาร่างหนึ่งยืนแน่นิ่งอยู่เบื้องหลังม่านไม้เงียบงัน ดวงตาของมันคือเหล็กไฟสองดวงที่ลุกโชนอยู่กลางเถ้าถ่านแห่งความแค้น
“เรณุเวฬา” —หญิงผู้มีนามอ่อนหวานราวละอองลม แต่หัวใจแข็งกร้าวเหมือนหินผา เธอคือร่างเร้นของอดีตผู้เฝ้ารักษาดินแดนโบราณผู้พลัดตกจากเกียรติยศ และเลือกจะอยู่ร่วมกับเงามืดเพื่อเอาคืนโลกที่เคยทอดทิ้ง
"กลิ่นของมัน...กลิ่นของพงศ์เผ่าหิมพานต์" นางกระซิบเบา ลมหายใจของเธอเย็นเยียบจนหยดน้ำค้างในอากาศเกาะตัวเป็นเกล็ด
ในอีกมุมหนึ่งของท้องฟ้า วิหคจันทร์ยังไม่ขยับไปไหน ความรู้สึกบางอย่างในอากาศกำลังทำให้ขนที่ต้นคอของนางลุกชัน ราวกับลมจากแดนวิปโยคกำลังเคลื่อนผ่าน
"หากสิ่งนั้นมาจากเงา...ข้าจำต้องเตือน"
นางผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ โบยบินสู่ทิศที่เงานั้นสั่นไหว ใต้ปีกบางเบาที่สะท้อนแสงจันทร์ มีประกายแวววาวคล้ายแสงดาวหลงฟ้า
ศานต์เองก็ยังไม่หลับ เขานอนตะแคงอยู่บนเบาะไม้ไผ่ เสียงแม่หายใจเบา ๆ อยู่ข้างกายคือเสียงเพลงกล่อมใจที่เขารักที่สุด ทว่าในดวงตานั้น ยังมีประกายแห่งคำถามที่ไม่สิ้นสุด
“ตัวเป็นแสงทอง...บินอยู่เหนือป่า…” เขาพึมพำกับตนเอง
กลางดึกนั้น เสียงแผ่วบางของใบไม้ที่ไหวปลิวเข้ามาในห้องน้อย ๆ ผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดแง้ม กลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกจำปีที่ปลิวมาติดปลายจมูก ราวกับโลกภายนอกกำลังส่งสารบางอย่างเข้ามาในฝันของเขา
และในขณะที่เด็กชายหลับตาลงในที่สุด เงาสีทองอ่อนก็บินโค้งผ่านฟ้าอีกครั้ง—สูงพอจะไม่ให้ใครมองเห็น แต่ต่ำพอจะได้ยินเสียงลมหายใจของผู้คน
ในใจของวิหคจันทร์มีเสียงของทิพากรดังอยู่แผ่วเบา
“หากเจ้าจะรู้จักโลกมนุษย์...จงอย่าดูแค่เพียงแสงไฟ จงฟังเสียงเงาด้วยหัวใจให้เป็น”
นางหลับตาลงชั่วขณะ ให้สายน้ำในอกไหลเวียนอยู่เงียบ ๆ
คืนนี้เป็นเพียงบทเริ่มของเรื่องราวที่ยาวไกล—เรื่องราวของการรู้จักโลก รู้จักใจ และการเผชิญหน้ากับสิ่งที่แม้แต่ในหิมพานต์ยังไม่มีผู้ใดกล่าวถึง
และแล้ว...รัตติกาลอันอ่อนโยนก็ดำเนินผ่านไป พร้อมเสียงกระพือปีกที่หายไปกับแสงจันทร์
---
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments