เรื่องราวที่เล่าขานตำนานรักนางพยากินรี
ว่ากันว่า...
กินรีนางหนึ่งเคยเหินหากินในยามรัตติกาล ดั่งเงาละไมที่ล่องลอยไปตามลำแสงจันทร์ ราวม่านหมอกที่พลิ้วไหวใต้กลีบฟ้า นางมิใช่เพียงเงาสะท้อนแห่งปีก แต่คือบทเพลงไร้เสียงที่ชักนำใจให้หลงใหล
เสียงหัวเราะของนางอ่อนหวานดังสายลมแรกแห่งฤดูบุษบัน เย็นละมุนดุจมือนุ่มที่สัมผัสข้างแก้ม แต่ในความอ่อนโยนนั้นกลับซ่อนกลิ่นเย้ายวนลึกลับ ราวบุปผาเร้นราตรีที่ผลิบานในเงาจันทร์ ส่งกลิ่นหอมตรึงตราเฉพาะผิวเผิน หากแท้จริงซุกซ่อนพิษไว้ในเกสร
ผู้ใดเผลอใจฟังเสียงนั้น…ก็มิผิดอะไรกับผีเสื้อที่หลงเงาจันทร์ โบยบินเข้าหาแสงงามโดยไม่รู้ว่าปลายทางคือขุมนรกของกลีบไฟ
ทุกครั้งที่พระจันทร์ลอยสูงเหนือยอดไม้ ค่ำคืนก็พาใครคนหนึ่งหายไปทีละคน…ทีละคน เงียบงันดั่งดาวที่สิ้นประกายไร้คำร่ำลา ราวชะตากรรมที่ไม่ยอมเปล่งเสียง
เมื่อคืนแล้งนานวัน ความหวาดกลัวก็เริ่มฝังรากลึกลงในหัวใจมนุษย์ ดั่งหมอกหนาทอคลุมขอบฟ้าในฤดูหนาว ผู้คนเริ่มหวาดระแวงเงาทุกเงา เสียงทุกเสียงยามค่ำกลายเป็นถ้อยกระซิบจากยมทูตที่รอเรียกวิญญาณกลับสู่นิรันดร์
ตำนานที่เคยเป็นเพียงเสียงเล่าใต้แสงตะเกียง จึงกลายเป็นต้นเพลิงในใจ มนุษย์จึงรวมพลังกันอย่างเงียบงัน ร่ายเวทมนตร์จากความหวาดหวั่นและความโกรธเกรี้ยว จุดประกายเปลวเพลิงแห่งการล่า ราวดอกไม้ไฟในคืนสิ้นศรัทธา
และนั่น…คือจุดเริ่มต้นของสงครามใต้เงาจันทร์
เมื่อเหยื่อ…ไม่ใช่เพียงมนุษย์อีกต่อไป
และกินรี…ก็มิใช่นางในนิทานที่เคยเปล่งเสียงเพียงในบทกวี
ท่ามกลางเปลวเพลิงและความเคลือบแคลง ชะตาของกินรีผู้หนึ่งกับชายมนุษย์จึงพันเกี่ยวกันดั่งด้ายแดงแห่งโชคชะตา ถูกผูกไว้ในเวลาที่ผิดพลาด และรักกันในฤดูที่ไม่เอื้อ
แต่หากหัวใจยังเต้นตามเสียงของตนเอง…ใครเล่าจะห้ามไม่ให้รักผลิบานแม้ในเงามรณะ?
ปึก! เสียงปิดหนังสือเล่มใหญ่ดังก้อง
"เอาล่ะ ตัวแสบ พี่จะเล่าให้ฟังต่อพรุ่งนี้เช้านะ พี่สัญญา ตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งแล้ว ได้เวลาซักผ้า!"
มือน้อยๆดึงชายเสื้อพี่สาวเบา ๆ "พี่คร้าบ~ ขอฟังต่อคืนนี้นะครับ พี่สาว~"
หญิงสาวร่างบางยิ้มเล็กน้อย พลางมองน้องชายอย่างเอ็นดู "ก็ได้ พี่สัญญา…แต่ถ้าพี่เห็นน้องไปเล่นใกล้สระน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ พี่จะไม่เล่านิทานอีกเลยนะ เข้าใจไหม?"
"คร้าบ~ ผมสัญญาเลยครับพี่สาว!"
แต่เด็กน้อยคนนี้ก็ยังจะเล่นใกล้ๆขอบสระน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่อีก
...
“ตึ๊งๆๆ! ได้เวลา 19:00 น.เป๊ะ! เข้านอนได้แล้วครับ!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังกังวาน ดั่งระฆังวิเศษปลุกเจ้าชายน้อยให้รีบซุกตัวใต้ผ้าห่มราวนักรบที่หลบภัยในหอคอยแห่งราตรี
แอ๊ด~ ตึ๊ง! เสียงประตูเปิดกะทันหัน ราวม่านเวทีละครที่ถูกดึงขึ้น เผยให้เห็นเงาผู้มาเยือน ฝีเท้าแผ่วเบาราวแมวป่าที่ไต่เข้ามาท่ามกลางความนิ่งเงียบ ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียง
"ไอ้ตัวแสบ! ยังไม่นอนอีก ถ้านอนดึก เดี๋ยวก็ไม่โตหรอก!" น้ำเสียงพี่สาวดังขึ้นเบา ๆ ดั่งลมแผ่วพัดปลายใบไม้ มือของนางบีบแก้มของน้องชายอย่างอ่อนโยน ราวเมฆขาวโอบแสงอรุณ
"โอ๊ย~ พี่สาว ผมเจ็บนะ! ก็ผมรอฟังตำนานรักกินรีจากพี่นี่นา แล้ววันนี้พี่สัญญาไว้แล้วด้วยว่าจะเล่าให้ฟัง!" เสียงออดอ้อนของเด็กชายเปล่งออกมาราวลูกแมวที่แอบอ้อนขออ้อมกอด เขายื่นมือเล็ก ๆ ไปดึงแก้มพี่เบา ๆ ดุจผีเสื้อน้อยแตะกลีบดอกไม้
พี่สาวหัวเราะแผ่วเบา ดวงตาสว่างไสวราวดาวดวงน้อยกลางท้องฟ้าค่ำ ลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างแผ่วพลิ้ว ดั่งสายลมต้นฤดูใบไม้ผลิที่แอบปลุกดอกไม้ให้ผลิบาน
“ก็ใครกันล่ะที่มาผิดสัญญาแล้วมาอ้อน พี่ถึงใจอ่อนทุกที…ก็ได้ พี่จะเล่าให้ แต่เจ้าต้องหลับตา แล้วจินตนาการตามนะ”
“คร๊าบ~!”
...
เสียงลมแผ่วพัดผ่านป่าหิมพานต์ราวบทกล่อม ใบไม้เอนพลิ้วไหวภายใต้แสงจันทร์ ที่สาดลงผ่านยอดไม้ดั่งเส้นไหมเงิน ทอคลุมพื้นป่าไว้ดุจผ้าคลุมแห่งเวทมนตร์
ริมธารท่ามกลางโขดหิน ร่างหญิงสาวปรากฏ งดงามดุจภาพวาดจากจิตกรสวรรค์ ผิวเนียนละไมของนางเรืองรองภายใต้จันทรา ดั่งหยาดน้ำค้างบนกลีบดอกกล้วยไม้แรกเช้า
เส้นผมดำขลับพลิ้วไหวตามแรงลม คล้ายม่านรัตติกาลที่ขยับอย่างอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสีเข้มลึกซึ้ง ราวสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนจิตวิญญาณของผืนป่า
อิริยาบถของนางงดงามประหนึ่งระบำสายลม ทุกการเคลื่อนไหวคือท่วงทำนองที่ธรรมชาติบรรเลง
นางคือ นางพญากินรีเชื้อสายพิเศษ ผู้มีปีกทองดุจแสงแรกของพระจันทร์เต็มดวง แผ่ประกายให้รัตติกาลมืดมนเปล่งแสงแห่งปาฏิหาริย์
ค่ำคืนนี้...จันทราลอยเด่นกลางเวหา ราวนัยน์ตาแห่งสวรรค์ จับจ้องชะตากรรมที่ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อย
ในความเงียบแห่งรัตติกาล เสียงลมหายใจของป่าและธารน้ำกล่อมโลกให้หลับใหล เงาร่างเล็ก ๆ ปรากฏอยู่หลังเถาวัลย์ ดวงตากลมใสเป็นประกายราวรวบรวมแสงดาวไว้ทั้งฟากฟ้า
วิหคจันทร์ เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ นางกินรีน้อยเชื้อสายสูงศักดิ์ แอบย่องออกจากเขตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า ราวดอกไม้กลางคืนที่เบ่งบานใต้เงาไม้
เรือนผมสีดำสนิทปลิวไหวคล้ายม่านหมอกยามรุ่ง ปีกเล็กสีทองอ่อนเริ่มเปล่งแสง ดุจแสงอรุณแรกที่ยังไม่แจ่มชัด ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการเริ่มต้น
ก่อนจะได้เหินขึ้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ตามด้วยเสียงแผ่วนุ่มที่เปี่ยมอำนาจ
“เจ้าหนูน้อย…คิดว่าพี่จับไม่ได้หรือไง วิหคจันทร์”
เสียงของ ทิพากร ญาติสาวผู้สูงวัยกว่าดังขึ้น นางยืนใต้เงาไม้ใหญ่ ราวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดวงตาคมลึกประหนึ่งหยาดฝนที่กลั่นจากเมฆสูง
วิหคจันทร์ชะงัก แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ราวอาทิตย์สุดท้ายของปลายหนาว “ข้าแค่อยากรู้ว่าโลกมนุษย์เป็นอย่างไร…เท่านั้นเอง”
ทิพากรมองนางด้วยแววตาอ่อนล้าแต่เปี่ยมรัก ราวสายน้ำเย็นที่หล่อเลี้ยงหินแห่งกาลเวลา
นางนั่งลงข้างโขดหิน ลูบเรือนผมของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ดั่งลมไล้ผ่านยอดไม้
“โลกมนุษย์…ไม่ใช่ที่เจ้าควรไปยามนี้ มันซ่อนภัยที่มองไม่เห็น และบางครั้ง...มันไม่ให้อภัยแม้แต่ใจที่บริสุทธิ์ที่สุด”
“แต่พี่ก็รู้...เจ้าดื้อยิ่งกว่ากวางที่ไม่หลบฝน รั้นเสียยิ่งกว่าสายลมแล้งที่ไม่เปลี่ยนทิศ”
ทิพากรยิ้มบาง ๆ พลางถอนหายใจ “เพราะงั้น...พี่จะไม่ห้าม แต่จงจำไว้ วิหคจันทร์ หากเจ้าจะบินออกไป จงบินด้วยหัวใจที่ระมัดระวัง โลกมนุษย์มีทั้งพายุและสายฟ้า”
วิหคจันทร์พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาฉายแววแน่วแน่ มือเล็กกำแน่นราวกุมคำมั่นศักดิ์สิทธิ์ “ข้าจะระวัง ข้าสัญญา...แล้วจะกลับมากอดพี่ให้แน่นที่สุดเลย!”
ทันทีที่คำพูดสิ้นสุด ปีกสีทองอ่อนก็แผ่กางออกช้า ๆ ดั่งกลีบดอกไม้แย้มรับแสงอรุณ และในชั่วขณะนั้น…ร่างน้อยก็ทะยานขึ้นฟ้า ฝ่าหมอกบางเหนือยอดไม้ ราวนกน้อยผู้กล้าโบยบินสู่โลกกว้างเป็นครั้งแรก
...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 6
Comments