เมื่อถึงสนามบินปลายทาง (ดอนเมือง) ฉันก็เรียกแท็กซี่เพื่อเข้ามหาลัย จริงๆ ก็นั่งรถเมล์ได้นะ แต่มีกระเป๋าเดินทางด้วยขึ้นแท็กซี่นี่แหล่ะจะได้ไม่เป็นภาระกับคนอื่น
‘โทรศัพท์หาชอดีกว่า’ ฉันคิดในใจ
“มึง กูออกจากดอนเมืองละ กำลังจะเข้ามอ หิวมากเลย ถ้ากูเก็บของเสร็จออกมากินข้าวเป็นเพื่อนกูด้วยนะ”
“อะไรชะนี มาแล้วมาสั่งนุ่นนี่”
“เออน่า มากินข้าวเป็นเพื่อนกัน กูรู้ว่ามึงยังไม่กินข้าวเที่ยง”
“จริง กูยังไม่ได้กิน ถ้าถึงละบอกด้วย”
“โอเค เดี๋ยวไลน์บอก”
‘ต่อไปก็โทรหาแม่’
เสียงตู๊ด ตู๊ด จากปลายสายดัง 2 ครั้งก็มีเสียงแม่ถามกลับมาว่า
“ถึงมหาลัยแล้วหรอลูก”
“ยังค่ะ อยู่บนรถ แต่ใกล้ถึงแล้วล่ะ โทรบอกแล้วน้า 5555”
“ถึงแล้วก็พักผ่อนนะ” เสียงพ่อแทรกมา
“ค่ะ พ่อกับแม่ถึงบ้านยังคะ”
“ถึงนานแล้วลูก” พ่อตอบ
“อ๋อ โอเคค่ะ ดูแลสุขภาพนะพ่อกับแม่ ถ้าเหนื่อยก็ปิดร้านพักบ้างนะ”
“เหอะ ทำพูดดี ปิดร้านแล้วจะหาเงินจากไหนคะคุณลูก” แม่แอบบ่น ซึ่งฉันก็รู้แหล่ะว่าวันนี้มันวันอาทิตย์ร้านปิด แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้แม่อ่ะ
“กินข้าวแล้วก็พักผ่อนลูก โชคดีสู้ๆ นะเจ้าดื้อ” พ่อตัดบทแม่ก่อนจะบ่นยาว
“ค่ะ รักนะคะ”
รายต่อไปที่ฉันต้องโทรหาคือ ลูกแพร ทำไมต้องโทรหาหลายคนด้วยนะ งงตัวเอง
“ฮาโหล” เสียงลูกแพรตอบมา
“ฮาโหลลูกแพร จอมกำลังจะถึงนะ ลูกแพรกินข้าวยัง”
“โอ๊ะ!! ถึงเร็วจัง กินแล้วๆ แต่ไปเป็นเพื่อนได้”
“โอเค งั้นถ้าจอมถึงเจอกันแล้วไปกินข้าวนะ”
“จ้า”
“เออ จอมชวน ชอไปด้วยนะ”
“จ้า”
“เจอกันที่หอนะ”
“โอเคจ้า”
เสร็จภารกิจโทรรายงาน แท็กซี่วิ่งสู่ทางที่ฉันคุ้นเคย
‘จะเปิดเทอมแล้ว จะเปิดเทอมแล้ว’ ฉันคิดแบบนี้ตลอดทางที่รถแล่นไป
และแล้วแท็กซี่ก็วิ่งเข้ามาจอดบริเวณหน้าโซนหอพัก ฉันพักอยู่หอในมหาวิทยาลัย แม่บอกว่ามันปลอดภัยดี
ฉันจ่ายเงินแล้วเก็บกระเป๋าลงจากแท็กซี่ กระเป๋าของฉันมีแค่ 2 ใบ เป้หนึ่งใบ กระเป๋าลากหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าข้างในหอพัก ฉันเห็นพ่อแม่หลายครอบครัวขับรถมาส่งลูกตัวเองที่หอพัก ท่าทางแต่ละคนพร้อมสำหรับการเปิดเทอมเสียจริงๆ นี่สินะบรรยากาศก่อนเปิดเทอม จากที่ฉันสังเกตเห็นน่าจะไม่ใช่น้องๆ ปีหนึ่งเพราะปีหนึ่งมหาลัยน่าจะให้เช็คอินเข้าหอพักไปแล้ว
และสายตาของฉันไปสะดุดอยู่ที่ครอบครัวหนึ่ง ลูกชายของครอบครัวนี้น่าตาน่ารักน่าชังมากๆ ใส่แว่นตาที่เข้ากับเบ้าหน้าตัวเองมาก ตาเล็กๆ ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาว แต่งตัวดีกันทั้งบ้านเลย
หนุ่มแว่นคนนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับคนที่ฉันคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคุณแม่ของหนุ่มแว่น มีจังหวะหนึ่งที่หนุ่มแว่นคนนั้นก็หันมาสบตากับฉัน ฉันก็เลยส่งยิ้มบางๆ ให้
‘มาถึงมอแล้วได้เห็นอะไรที่มันดีต่อใจนี่มันดีจริงๆ’
แต่ท่าทางคุณแม่ของหนุ่มแว่นจะเห็นรอยยิ้มฉันด้วย 555
ทางเดินเข้าหอพักของฉันก็เป็นทางเดินปกติที่จะแคบๆ หน่อย จริงๆ สามารถเดินเข้าหอพักได้หลายทางนะ ทางเดินเส้นนี้นักศึกษาชายหญิงสามารถใช้เป็นทางเดินเข้าหอพักของตนได้ค่อนข้างสะดวกกว่าทางอื่นและยังเชื่อมไปยังหอพักโซนอื่นๆ ด้วยแต่อย่าเดินเรียงหน้ากระดานกันมานะ ถ้ามาให้เต็มที่คือ 3 คน มากกว่านั้นคือต้องเดินหลบๆ กันแล้ว โชคดีที่ตอนนี้ขาไปมีแค่ฉัน ถ้ามีคนเดินสวนมาฉันก็เบี่ยงหลบให้ได้
ส่วนทางด้านขวามือของฉันจะเป็นทางจักรยาน ซึ่งคนเดินเท้าส่วนใหญ่ชอบเดินกันทางนั้น แน่ล่ะ มันกว้างกว่าเท่าตัวเลยนี่นา แต่ฉันชอบเดินทางเท้าที่เป็นทางเท้ามากกว่าทางเท้าที่เป็นทางจักรยานนะ ทุกคนนึกภาพออกไหม ถ้าเป็นเราที่ขี่จักรยานอยู่แล้วมีคนมาเดินบนทางจักรยานน่ะ มันน่าหงุดหงิดแค่ไหน จักรยานเป็นฝ่ายที่ต้องหลบคนทั้งๆ ที่เป็นทางของตัวเองแท้ๆ ไม่หลบก็โดนมองแรงอีก ดีไม่ดีมีด่าตามมาอีก นี่แหละน้าคนมองเห็นแต่สิทธิของตน หน้าที่ไม่เคยจะทำ
วันนี้อากาศดีมากๆ เลย มีแสงแดดสดใสแต่ก็ไม่ร้อนมากทั้งที่เป็นเวลาเกือบๆ บ่ายโมง มีลมพัดอ่อนๆ มีเสียงนกร้องด้วย ฉันอารมณ์ดีเป็นพิเศษเดินไปยิ้มไป (นึกให้เห็นภาพที่ฉันเป็นนางเอกนะ ทุกอย่างวันนี้มีแต่สิ่งดีๆ 555)
และด้วยความที่ฉันเดินช้าฉันจึงหันไปมองด้านหลังเป็นระยะๆ แต่หันรอบนี้คือหันกลับไปเจอหนุ่มแว่นคนนั้น
โอ้!! แม่เจ้า
ฉันยังยิ้มอยู่ ให้ตายเถอะ เหมือนฉันส่งยิ้มให้เขารอบก่อนหน้านี้เลย แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ยิ้มให้นายนะ ฉันยิ้มให้วันดีๆ ของฉัน
แง!! ใครจะเชื่อวะ
นั่นแหล่ะค่ะสายตาที่หนุ่มแว่นส่งกลับมาคือ
‘หลบหน่อยสิเดินช้าๆ น่ะ ยิ้มบ้าอะไรรู้จักกันหรอ หลบไป!!’
แบบนี้เลยค่ะคุณแม่ มันสะเทือนใจมาก ฉันเสีย self ไปเลย บ้าบอ ทำไมต้องทำตาดุขนาดนั้น จังหวะนั้นไม่มีคนเดินสวนทางมาสักหน่อยเดินแซงไปก็จบไหม ข้าวของของฉันกะนายก็ไม่ได้เยอะซะหน่อยเหอะ โกรธอะไรของเขาอ่ะ โกรธที่มีคนยิ้มให้หรอ หน้าตาฉันไม่ได้น่ากลัวซักหน่อย ไอ้บ้าเอ้ย!! โอ้ย!! เสียความรู้สึกเลย คนน่ารักมักใจร้ายสินะ ฮือออ😢
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 120
Comments