Return Of The Cursed Devil
Return of the Cursed Devil : บทนำ
หนังสือเล่มที่3และจุดเริ่มต้น
ณ สรวงสวรรค์
เขตแดนอันมนุษย์มิอาจย่างกราย อันเป็นที่ซึ่งเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ต่างอาศัยกันอยู่ อย่างผาสุกสมบูรณ์พร้อมไปด้วยสรรพสิ่ง
เป็นแขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่และความเจริญยิ่งอย่างน่าเกรงขาม
เหล่าตัวตนที่อยู่ที่นี่ได้นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงสถานะให้มากความ เหล่าผู้คนน้อยใหญ่ต่างก็รู้กันดีถึงพลังอำนาจ และบารมีอันล้นเหลือของพวกเขาเหล่านั้น
จนมิอาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเหล่านี้จึงนับว่าเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาอย่างเนิ่นนาน ของเหล่ามนุษย์ผู้ต่อยต่ำบนผืนแผ่นดินของโลกใบนี้เลยทีเดียว
ว่าตัวตนเหล่านี้นั้นคือ"เทพ"
ด้วยความน่าเหลือเชื่อในอำนาจและพลังของตัวตนที่เรียกว่าเทพนี้ จึงทำให้เหล่ามนุษย์ยุคก่อนอดีตกาลก่อนอภิมหาสงครามครั้งนั้น ต่างเชื่อกันว่าเรื่ิองราวเกี่ยวกับเทพบนสรวงสวรรค์นั้น ไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่นิทานหรือเรื่องราวที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมา ยังไงยังงั้น
แต่จริงๆแล้วมันหาใช่อย่างนั้นไม่ สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง และเหล่าเทพหลายตนต่างอาศัยอยู่กับมนุษย์เลยก็มี
จนปัจจุบันแทบจะทุกที่ จึงเกิดเผ่าพันธุ์หนึ่งขึ้นนั้นก็คือ เหล่าตัวตนครึ่งเทพ หรือมนุษย์ครึ่งเทพ
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้นั้นก็คือผู้ที่สืบเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับสิ่งมีชีวิตอย่างเทพ จึงทำให้พวกเขามีความสามารถทางกายภาพที่สูงส่งเยี่ยงเทพตามสายเลือดของตน
ถึงจะบอกว่าแทบจะทุกที่แต่การจะหาตัวตนเหล่านั้นให้เจอมันก็ยากแสนยาก ที่จะได้เจอตัวเป็นๆสักครั้งนึง
กลับมาเรื่องเดิมกันดีกว่า
อย่างที่รู้กันดีว่า"ตำนาน" นั้นคืออะไร
มันคือเรื่องเล่าจากอดีตกาลใช่หรือไม่?
แล้วตำนานที่มนุษย์เล่าขานนั้นเป็นเช่นไร
ตัวตนน้อยใหญ่ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต้อยต่ำ ต่างต้องรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะมันก็แค่เรื่องพื้นๆที่จะต้องรู้กันทั่วไปกันแทบทั้งนั้น
และเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจากบรรพชนรุ่นก่อนนั้นก็มีมาอย่างช้านาน อาจจะตั้งแต่ยุคตนกำเนิดของโลกาและจักรวาลเลยก็ว่าได้
ตำนานเหล่านี้นั้น บ้างก็ลี้ลับ บ้างก็โศกเศร้า บ้างก็อัศจรรย์ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่มนุษย์ต่างอนุมานขึ้น จากสิ่งที่คิด สิ่งที่เห็น หรือสิ่งเป็นอยู่
เมื่อรู้กันดีอยู่แล้วว่าตำนานบนผืนแผ่นดินของโลกนั้น ที่มวลมนุษย์ต่างเล่าขานกันมานั้นเป็นเยี่ยงไร
แล้วตำนานที่สูงส่งยิ่งกว่านั้นอย่าง
"ตำนานบนสรวงสวรรค์"
จะเป็นเช่นไรกัน!?
บรรยายมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้มาหยุดเอากลางทันแล้วดำเนินเรื่องเลย ก็เห็นทีว่าจะไม่ได้ งั้นก็ขอเล่าต่อเลยแล้วกัน
เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างเล่าขานกันมาอย่างเนิ่นนาน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์จนพิศวงทั้งลึกลับ และน่าหวาดหวั่น สั่นคลอนทั่วทั้งอานาจักรแห่งสรวงสวรรค์ แม้นแต่ยมโลกหรือโลกมนุษย์ก็ไม่วายเว้น
เมื่ิอในวันที่แสนจะรื่นรมย์สงบสุขวันหนึ่ง
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเหล่าเมฆาสีหม่นหมองอันสื่อถึงลางร้ายเข้าปกครุมท้องนภาจนมืดทึบ ครานั้นเหล่าแสงสว่างจากดวงตะวันก็มิอาจสาดส่องลงมาได้
ขณะที่บรรยากาศเริ่มหมองหม่น บนท้องนภาอันมืดครึ้มนั้นก็ได้ปรากฏ ดวงแสงสีทองอร่ามดวงเล็กๆดวงหนึ่ง กำลังทอแสงสว่างไสวออกมาราวกับรุ่งอรุณยามเช้าอันดวงตะวันได้สาดส่องลงมายังผืนปฐพี
พร้อมกับอำนาจและกลิ่นอายของสิ่งที่เป็นโบราณกาลอันศักดิ์สิทธิ์เหนือยิ่งกว่าสรวงสวรรค์เป็นไหนๆ
จนถึงขั้นที่เหล่าทวยเทพตั้งชื่ออันมีเกียรติให้เจ้าสิ่งนี้ว่า "ดวงแสงเปิดสวรรค์สร้างภพ"
เมื่อแสงสว่างเริ่มคงที่ รอบๆดวงแสงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เหล่ามวลพลังของทุกสรรพสิ่ง เริ่มทยอยมนุนวนและหลั่งไหลเข้าไปในดวงแสงดวงนั้นเป็นเส้นสาย ราวกับว่าเป็นหลุมดำอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่งอย่างบ้าคลั่งก็มิปาน ทั้ง เวทย์มนตร์ พลังชีวิต พลังธาตุ พลังวิญญาณ พลังเซียน
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกดูดกลืนเข้าไปในดวงแสงดวงนั้นอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นคลื่นพลังอันหนาแน่นตลบอบอวลไปด้วยพลังที่ราวกับจะทำลายได้แม้กระทั่งสรวงสวรรค์
เหล่าพลังทั้งหลายเริ่มปั่นป่วนม้วนตลบอย่างวุ่นวาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
จู่ๆทันใดนั้น ดวงแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็หยุบตัวลงอย่างฉับพลัน แล้วขยายตัวและกระจายออกไปอย่างรุนแรง ด้วยพลังอันมหาศาลจนเกิน
กว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
เกิดการระเบิดขึ้นอย่างหนักหน่วงราวกับการระเบิดของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง หาใช่จะเป็นอย่างอื่นไม่
ก่อเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมซัดหอบเอาพลังอันมหาศาลออกไปเป็นวงกว้าง กระจายไปทั่วทั้งท้องนภาของสรวงสวรรค์อย่างบ้าคลั่งโดยมีดวงแสงศักดิ์สิทธ์เป็นศูนย์กลาง
ด้วยผลกระทบอันเป็นการสั่นคลอนสรวงสวรรค์ก่อเกิดเสียงกู่ร้องของท้องฟ้าดังสนั่น ผืนปฐพีเริ่มสั่นคลอน ผืนแผ่นดินเริ่มแยกห่าง พายุคลั่งเริ่มก่อตัวขึ้นไปทั่วทุกสารทิศของสรวงสวรรค์ โหมกระหน่ำซาดซัดผืนป่า ต้นไม้ใบหญ้าปริวว่อนไปทั่วทั้งท้องนภา
เสียงหวีดหวิวของสายลมดังโหยหวนราวกับดวงวิญญาณนับแสนนับล้านที่คุ้มครั่งส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน
ปรากฏการภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆเริ่มเกิดขึ้นทันทีหลังจากดวงแสงทำการระเบิดพลัง
กลายเป็นหายนะครั้งมโหฬารที่ได้เกิดขึ้นในตอนนี้
หมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่เว้นแม้แต่ทวยเทพ ต่างเกิดความกลหลวุ่นวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เหล่าทวยเทพทั้งหลายที่ถูกลูกหลงเมื่อพลังเหล่านี้ทะล่วงผ่านร่าง ตัวตนที่แข็งแกร่งก็ถึงกับทรุดตัวลง บางถึงกับกระอักเลือด บางตัวตนที่อ่อนแอ่ถึงกับสิ้นชีพ ไม่ต้องรวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ่กว่านั้น เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างล้มตายกันเป็นเบือ ก่อเกิดเป็นภาพอันน่าสยดสยองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เหล่าม่านพลังคุ้มครองอันแข็งแกร่งที่ต้านท้านได้แม้กระทั่งแรงระเบิดของดาวเคราะห์ ต่างสูญสลายหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ในสถานที่แห่งนี้
เมื่อเช่นนั้นบ้านเมืองโบราณสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็พังพินาศลงอย่างไม่มีชิ้นดี เศษซากของมหาวิหารต่างลอยละลิ่วไปตามแรงของพายุคุ้มคลั่งกระจัดกระจายอย่างระเนระนาดอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นมีหรือที่เหล่าตัวตนหรือทวยเทพชั้นสูงจะนิ่งเฉย
เทพเจ้าหลายต่อหลายองค์ถึงแม้จะอกสั่นขวัญผวาไปด้วยความกลัว ต่างก็พยายามที่จะหยุดคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์นี้สุดชีวิตเพื่อปกป้องตัวตนที่อ่อนแอ่กว่าแต่ก็หาเป็นผลไม่
คลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้นเหล่าทวยเทพนับแสนนับล้านองค์จะทุ้มเทกันสุดกำลังเข้าต่อต้านกับมันด้วยพลังทั้งหมดที่มี
ณ ตำหนักของจอมราชันย์เทพเจ้า
ตัวตนผู้อยู่จุดสูงสุดของสรวงสวรรค์
ชายชราหนวดเครายาว สวมชดุอาภรณ์สูงศักดิ์สีขาวเหลื้อมทอง นั่งอยู่บนบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เคลือบด้วยแร่อัญมณีอันเรอค่าดูน่าเกรงขาม
บัดนี้ตัวตนผู้อยู่เหนือสรวงสวรรค์ที่ทั้งเย็นชาราวน้ำแข็งที่แช่แข็งได้แม้กระทั่งโลก มีความเคร่งครึมเป็นที่สุดไม่สทกสะท้านกับอำนาจพลังกอัดใดเลย
ตอนนี้กำลังสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว เหงื่อเริ่มผุดพรายออกมาทั่วทั้งกาย หัวใจเริ่มสั่นระรัวอย่างรุนแรงราวกับจะหลุดออกจากร่างเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้
คลืน!!โครม!!
เสียงแผ่นดินไหวดังสนั่นไปทั่วทั้งตำหนักเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนที่เนืองแน่นไปด้วยพลังของสิ่งโบราณกาล
ถึงแม้น ณ ที่แห่งนี้นั้นจะมีพลังมากมายเพียงใดของจอมราชันย์เทพเจ้า ก็ไม่วายที่จะโดนลูกหลงของพลังนี้
ทันทีทันใดที่ชายชรารับรู้ถึงพลังนี้ พลันใบหน้าซีดเซียวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายชราผู้สูงศักดิ์ขบคิดอยู่พักใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังนี้ พร้อมมองดูหายนะที่เกิดขึ้นกับสรวงสวรรค์อย่างลนลานด้วยพระเนตรแห่งพระเจ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างหวาดผวาว่า
"ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น.. นี่คือพลังระดับนั้น... มันคือพลังระดับนั้นอย่างแน่นอน"
โลกมนุษย์ ยมโลก และขอบเขตบริเวณสรวงสวรรค์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น
ทุกที่ต่างรับรู้ซึ่งการมาถึงของมัน
เมื่อคลื่นกระเพื่อมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเริ่มจางหาย ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าจะหยุดนิ่ง เหล่าตัวตนน้อยใหญ่ผู้สูงศักดิ์หรือผู้ต่ำต้อย ต่างแหงนหน้าจ้องมองท้องฟ้าอย่างหวาดผวา
เหล่าทวยเทพที่จ้องมองอยู่ใกล้กับดวงแสงศักดิ์สิทธ์ต่างคิดว่ามันคงจบแล้วแต่ไม่มันยังไม่จบ
เมื่อจู่ๆเหล่าเมฆาที่มืดมัวต่างแหวกออกเป็นวงกว้าง พร้อมกับการปรากฏของของสิ่งหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางของท้องฟ้าอันแสงสว่างสาดส่องลงมาราวกับตัวเอกที่ยืนอยู่ใจกลางเวที พร้อมแสงไฟจากสปอร์ตไลท์ที่ส่องลงมา
เหล่าเมฆาต่างหลบหลีก ราวกับว่าของสิ่งนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ค้ำจุลได้แม้กระทั่งจักรวาลเลยก็ว่าได้
มันแผ่อำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือยิ่งกว่าดวงแสงเปิดสวรรค์สร้างภพเมื่อตะกี้นี้เสียอีก แต่ก็ไร้ซึ่งเจตนารมณ์ที่คิดจะทำลายล้าง
เหล่าทวยเทพที่เห็นพลันตาเบิงกว้างมองสิ่งสิ่งนี้ด้วยความตกตลึงงงงัน
บางตนที่ยืนอยู่ถึงกับทรุดตัวลงเมื่อเห็นสิ่งๆนี้
"นี่หน่ะหรือร่างที่แท้จริงของสิ่งที่สั่นคลอดสรวงสวรรค์"
"ไม่จริงน่าสิ่งนี่มัน.."
"ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริงๆ"
"ข้าก็ด้วย"
เหล่าทวยเทพต่างเสียงดังเอะอะโวยวายกันอย่างทั่วหน้าด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก คำกล่าวต่างๆถูกลั่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แทบไม่มีผู้ใดเลยที่เอ่ยชื่อของสิ่งนั้นออกมา
สายตาของทุกตัวตนจ้องมองไปที่สิ่งๆนั้นด้วยดวงตาที่ไม่แม้แต่จะกระพริบ
จนท้ายที่สุดแล้วก็มีเทพชั้นสูงผู้หนึ่งที่เอ่ยชื่อของมันขึ้น
" มันคือหนังสือ... หนังสือจากท่านผู้นั้น"
ทุกผู้ทุกนามต่างเกิดความรู้สึงที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สรวงสวรรค์ได้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ครั้งถูกสร้าง
เหล่าทวยเทพต่างล้มตายกันเป็นเบือ ซากศพนับล้านชีวิตถูกลูกหลงของพลังแทบทั้งสิ้น
หลังจากที่หนังสือเล่มนั้นตกลงสู่ผืนดิน
ลักษณะของหนังสือเล่มนี้นั้นดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมากทั้งปกเหลื่อมทอง ที่แกะสละอย่างสวยงามไว้ล้อมบริเวณปก และทอแสงอ่อนๆสีทองออกจากรอยแกะสลัก จนทำให้มันดูน่ายกย่องเทิดทูลขึ้นไปอีก
โดยมีกึ่งกลางของปกหน้าเป็นรูปทรงกลมปริศนาที่มีนัยยะบางอย่างปรากฏอยู่แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ
ท่านจอมราชันย์แห่งเทพเจ้าก็ได้นำมันไปเก็บไว้อย่างดีที่สุด ภายในหอสมุดแห่งนักปราชญ์ แยกห่างจากหนังสืออื่นๆทั้งมวล
ตั้งไว้ตรงใจกลางหอสมุด โดยมีชั้นหนังสือตั้งล้อมไว้สี่ทิศเป็นกงกลม และมีสี่เส้นทางเปิดที่ปล่อยโล่งไว้ เพื่อให้ผู้สันจรได้เข้าชม
มันตั้งอยู่อย่างมีเกียรติบนผลึกสีสดใส ที่ยกสูงขึ้นและห้อมล้อมเอาไว้ด้วยผลึกอันเลอค่า ราวกับราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างภาคภูมิ
โดยที่ท่านจอมราชันย์เทพเจ้า ได้สั่งห้ามมิให้ใครผู้ใดได้อ่านมันแม้นแต่ผู้เดียว
เนื่องด้วยภายในหนังสือได้มีกฏๆนึง ที่ว่าเมื่อใครผู้ใดที่อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจบ กาลเพลาต่อมาจะมีการกำเนิดของหนังสือเล่มใหม่เกิดขึ้น
และหนังสือเล่มต่อมานั้นจะตกเป็นสมบัติของผู้ที่อ่านเล่มเก่าจบ
ด้วยเหตุนี้ท่านจอมราชันย์เทพเจ้าจึงได้สร้างกฎขึ้นมาว่า "เมื่อใครผู้ใดอ่าน คนผู้นั้นจะถูกลงทัณฑ์จากข้าผู้นี้"
ถึงแม้นท่านจอมราชันย์เทพเจ้าจะกล่าวไปถึงขนานนั้นแต่ก็ไม่วายเว้น ยังมีบุคคลที่อ่่านมันอยู่ดี
บุคคลผู้นั้นที่ได้แอบอ่านหนังสือเล่มนี้ เขาพบว่าจนแทบจะทั้งชีวิตของแล้ว แต่เขาก็ยังอ่่านมันไม่จบสักที
ใช้เวลาหลายร้อยปีในการอุทิศตนในการอ่านให้จบ
ถึงหนังสือเล่มนี้จะดูเหมือนเป็นหนังสือปกหนาที่มีไม่ถึงพันหน้า แต่เมื่อได้อ่านก็กลับพบว่ามันมีมากมายกว่านั้นอย่างไม่รู้จบ
และเมื่อใดที่อ่านจนสุดหนังสือแล้วจะพบว่ามันได้กลับมาเริ่มใหม่ที่หน้าแรกแต่มันต่อเนื่องจากหน้าสุดท้ายของเมื่อตะกี้ที่อ่าน
จนวันหนึ่งชายผู้นั้นที่ได้อุทิศตนกับการอ่านมานับร้อยๆปีก็เปิดมาถึงหน้าสุดท้ายที่ไม่มีการเริ่มใหม่อีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเขาทำไปได้ยังไงกันที่อ่านเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มานับร้อยปีได้
ภายในหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกเรื่องราวของบุคคลผู้หนึ่งเอาไว้ ซึ่งจากการคาดการณ์ของผู้อ่าน
เขาได้คิดว่าเรื่องที่ถูกบันทึกไว้นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว
ซึ่งมีึความเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีต้นเรื่องมาจากตัวของผู้แต่งเอง
เมื่อคำสุดท้ายถูกอ่าน
เหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ได้เกิดแค่แรงสั่นสะเทือนเท่านั้น
มันไม่ได้เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่โตแบบครั้งก่อน ครั้งนี้นั้นมันเบาบางมากขนาดที่ผู้ที่รู้เหตุการณ์มีแค่สองตัวตนเท่านั้น
นั่นก็คือท่านจอมราชันย์เทพเจ้าและตัวของผู้อ่านเอง
เมื่อท่านจอมราชันย์เทพเจ้ารู้ถึงการมีอยู่ของเล่มที่สองก็ถึงกับต้องกุมขมับ และเรียกบุคคลผู้เป็นเหตุนั่นคือผู้อ่านมาลงทัณฑ์
แต่ท่านจอมราชันย์เทพเจ้านั้นไม่ได้ใจร้ายใจมารขนาดนั้น เขานั้นมีเมตตาเป็นอย่างมาก
แค่เพียงทำการยึดหนังสือเล่มต่อมาของผู้อ่านเท่านั้น เพื่อเก็บไว้ในหอสมุดแห่งนักปราชญ์ต่อ
ซึ่งในขณะนั้นผู้อ่านก็ถึงกับสั่นสะท้านในจิตใจ เมื่อท่านจอมราชันย์เทพเจ้าเรียกเขาเข้าพบ
แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านผู้อ่านเองก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก
และเมื่อหนังสือเล่มที่สองโผล่ขึ้น ท่านผู้อ่านก็ได้รับสมญานามใหม่จากจอมราชันย์เทพเจ้าว่า"นักอ่านเทพปราชญ์"
เมื่อเล่มสองได้ถือกำเนิด เล่มสามเล่มสี่ก็ผุดขึ้นมาตามกาลที่มีผู้อ่านอ่านจบ
และได้ถือกำเนิดนักอ่่านเทพปราญผุดขึ้นตามมานับสิบคนเมื่อหนังสือแต่ละเล่มถูกอ่านจบ
นานนับหลายกาลต่อมา
มีเด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังอ่านเรื่องราวของเล่มที่สามบทที่ศูนย์อย่างสนุกสนาน
ใช้แล้วล่ะปัจจุบันนั้นมีบทที่หนึ่ง..ที่สอง..ที่สาม..ที่สี่ตามมา เพื่อแยกเนื้อหาจากเล่มเดียวให้ออกมาหลายเล่ม
ซึ่งหนังสือแต่ละเล่มนั้นถ้าเยอะๆหน่อยก็อาจจะมีมากกว่าพันบทเลยก็มี
ซึ่งปัจจุบันหอสมุดแห่งนักปราชญ์นั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เผลอๆอาจแค่ตัวอาคารก็กินเนื้อที่ไปเป็นไมล์เลยก็ว่าได้
และเหล่าหนังสือที่โผล่ออกมาจากดวงแสงนั้นได้ถูกแต่งตั้งชื่อขึ้นว่า"สารบัญตำนานบุคคล"
และเหตุที่ต้องตั้งชื่ออย่างนี้นั้นเพราะหนังสือแทบทุกเล่มนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลทั้งสิ้น
ซึ่งหนังสือเล่มหลักที่โผล่ออกมาจากดวงแสงนั้นได้ถูกจัดว่างไว้ ตรงใจกลางของห้องต่างๆ ที่จะมีการจัดตั้งแบบเดียวกับเล่มแรก
โดยมีชั้นหนังสือที่ตั้งไว้ห้อมล้อมหนังสือเล่มหลักสี่ทิศ
โดยหนังสือแต่ละเล่มที่ว่างอยู่ตรงชั้นว่างทั้งสี่ทิศนั้น จะเป็นบทต่างๆของหนังสือเล่มหลักทั้งสิ้นว่างไว้ตรงชั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
"ข้าว่าเล่มสาม น่าจะสนุกที่สุดแล้วล่ะถ้าเทียบกับเล่มอื่นๆ" เสียงอันเยาว์วัยดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นเพียงเสียงอันไร้เดียงษาของเด็กน้อยที่อยู่บริเวณแถบที่นั่งอ่านหนังสือที่เป็นโซฟาอย่างดี พร้อมกับโต๊ะแบบเรียบง่าย
"เงียบหน่อยเจ้าหนู เจ้ากำลังลบกวนผู้อ่านท่านอื่นอยู่นะ" สาวสวยผู้เป็นบรรณาลักษณ์ห้องสมุดรูปร่างดูสะโอดสะองดึงดูดสายตาผู้คน
ติเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่เด็กน้อยอย่างไม่คิดอะไรมาก
"ข้าขอประทานอภัย"
เด็กน้อยกล่าวอย่างสำนึกผิด พร้อมลุกขึ้นโค้งคำนับต่อทุกคนบริเวณนั้นอย่างน่าเอ็นดู
ผู้คนบริเวณนั้นก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเห็นเขาเป็นแค่เด็ก และหันกลับไปอ่านหนังสือของตนต่อ บ้างก็แอบขบขันอยู่ในใจ บ้างก็ถึงกับส่ายศีรษะ กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้นี้
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะเจ้าหนู คราหน้าอย่าทำอีกล่ะ" บรรณารักษ์สาวกล่าวกะเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
"ครับ" หลังจากกล่าวจบเด็กน้อยก็กลับไปอ่านหนังสือต่อ..
จบปฐมบทสารบัญตำนานบุคคล
ต่อจากนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของเล่มที่สามในสารบัญตำนานบุคคล
ในชื่อเรื่อง"เทพอสูรต้องคำสาป"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments