แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในตำหนักแต่งกายขององค์รัชทายาทฟางจิน ประจกบานใหญ่ที่พึ่งได้มาเป็นของขวัญสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทจากแผนอื่น องค์รัชทายาทยืนมองเรือนกาย ต้นเองที่กำลังแต่งโอโซนเรื่องเพื่อเข้าพิธีในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ ขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาทยังคงทำหน้าที่ของเขาอยู่เช่นเดิม
“บุตรสาวของท่านเสนาบดี ไม่ถูกพระทัยของพระองค์หรือพะยะค่ะ ? ทำไมพระองค์ทรงแสดงสีพระพักตร์ เช่นนั้นเล่า พะยะค่ะ”
“ข้ายังไม่อยากแต่งงาน ข้ารู้สึกว่าข้ายังเด็กเกินไป ที่จะมีคู่ครอง”
“ไม่เด็กแล้วนะพะยะค่ะ พระองค์มีพระชนมายุสิบแปดชันษาแล้ว เป็นหนุ่มพอที่จะออกเรือนได้แล้วนะพะยะค่ะ ต้องตำหนิเจ้าองครักษ์ ตงหยาง ที่มัวแต่พาพระองค์เที่ยวเล่นจนพระองค์ทรงคิดว่าพระวรกายและพระหฤทัยยังเป็นเด็กอยู่”
กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องแต่งกายประจำตัวของพระองค์ราชทายาท มันได้สะท้อนความเศร้าหมองบนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่ว่างเปล่าดั่งคนหมดอาลัยกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความวิตกกังวลหลายอย่าง ทั้งการเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นงานใหญ่สำหรับองค์รัชทายาทเลยทีเดียว เขารู้สึกว่า ให้เขาออกรบต่อสู้กับข้าศึกนับพันเพียงคนเดียวเสียยังจะดีกว่า
“พระองค์ทรงพระสิริโฉมเหมือนพระสนมเลยนะพะยะค่ะ แต่ได้ความสูงสง่าและความแข็งแกร่งมาจากองค์ฮ่องเต้ สมบูรณ์แบบโดยแท้จริง แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์ยิ่งกว่านี้พระองค์ต้องแสดงสีพระพักตร์ให้มันสดชื่นแจ่มใสกว่านี้นะพะยะค่ะ เพลานี้ พระองค์ต้องทรงทำหน้าที่ขององค์รัชทายาทให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือการอภิเษก บัลลังก์จะได้ไม่สั่นคลอนเพื่อกระหม่อมนะพะยะค่ะ”
องค์รัชทายาทฟางจิน ยกยิ้มอย่างฝืนๆ เพราะเขารู้ว่าปัญหาหลังจากการอภิเษก กำลังจะตามมา แต่เขาก็ไม่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ให้กับผู้ใดล่วงรู้ได้ ตระกูล หลี่คือตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดอยู่ในขณะนี้ ท่านเสนาบดีควบคุมกองกำลังทหารภายในตำหนักและนอกตำหนักทั้งหมด ฮ่องเต้จึงยอมเมื่อท่านเสนาบดีจะให้บุตรสาวของ ท่านเสนาบดี ขอให้บุตรสาวของเขาได้อภิเษก ท่านเสนาบดีเป็นคนคตในข้องอในกระดูก และองค์ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้ แต่องค์ฮ่องเต้ก็มิได้นิ่งนอนใจเขาหาทางเอาผิดและโค่นล้มอำนาจของท่านเสนาบดีหลี่อยู่ตลอดเวลาแต่ทว่ายังไม่มีโอกาสนั้น เสนอให้เยว่หลิง เข้ามาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ห้องเป้ก็ยิ่งคิดหนัก เมื่อ เยว่หลิง เพราะเมื่อเยว่หลิง ได้เป็นพระชายาก็เท่ากับว่าเพิ่มอำนาจและบารมีให้กับเสนาบดีเพิ่มมากขึ้นไปอีก ดั่งนกน้อยที่อยู่ในกรงทอง องค์รัชทายาทมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะออกไปโบยบินอยู่ภายนอก และใช้ชีวิตกับชายคนที่เขาแอบรักอย่างมีความสุขอยู่ที่สงบ ในที่ใดที่หนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่องค์รัชทายาทต้องไปเข้าพิธี หลังจากแต่งองค์เสร็จแล้วประตูตำหนักก็เปิดออก หน้าตำหนักมีเหล่าข้าราชบริพารมารอรับเสด็จ และหนึ่งในนั้นก็คือ ตงหยาง องครักษ์หนุ่มรูปร่างสูงสง่ายืนมององค์รัชทายาท ที่กำลังเดินตรงมาหาเขาด้วยแววตาที่ปวดร้าว องค์รัชทายาทเข้ามาใกล้จนประชิดกับองครักษ์ ตงหยาง พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและสั่นเครือว่า
“ข้าไม่อยากแต่งงาน” ไม่มีคำพูดตอบรับจากองครักษ์คนสนิท ตงหยาง มีเพียงมือใหญ่ที่อบอุ่นยื่นมาจากมือที่เล็กกว่าขององค์รัชทายาท พร้อมกับรูปเบาๆเพื่อเป็นการปลอบใจ และพยักหน้าให้องค์รัชทายาทรับรู้ว่า พระองค์ไม่มีทางทำตามใจปรารถนาได้และต้องออกไปทำหน้าที่ ขององค์รัชทายาทให้สมบูรณ์ ด้วยความปรารถนาดีจากทาสผู้ซื่อสัตย์อย่างเขา แววตาที่สบประสานกันนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้ง ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนออกจากตำหนักตรงไปยังลานพิธีกว้างของพระราชวัง เมื่อถึงจุดหมายที่ต้องเจอกับ เยว่หลิง แล้วทั้งคู่ต้องจับมือกันเดินไปตามทางที่ปูพรมสีแดง ขึ้นไปทำความเคารพองค์ฮ่องเต้และพระมเหสี ที่มีพระสนมฟางเหนียง อยู่ทางด้านซ้ายขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาท
“เยว่หลิง เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก”
“ขอบพระทัยเพคะพระสนม”
“เจ้าสาวงดงามจนพูดไม่ออกเลยเหรอ เจ้าคงอายใช่หรือไม่?”
เอ่อ…พะยะ ค่ะ”
เมื่อเยว่หลิง ได้เจอตัวจริงขององค์รัชทายาท อย่างใกล้ชิด นางก็ได้ตกหลุมรักพระองค์โดยทันที กลิ่นกายของเขาทำให้หัวใจและความรู้สึก ธรรมชาติของหญิงสาวได้ตื่นตัว อยากตัดตอนพิธีทั้งหมดให้ไปถึงเวลาเข้าห้องหอซะประเดี๋ยวนี้เลย เยว่หลิง แอบมองเรือนร่างและใบหน้า ที่งดงามขององค์รัชทายาท ฟางจิง อยู่ตลอดเวลา หัวใจของนางเต้นแรง พอๆกับเสียงดนตรีที่อยู่รอบๆบนลานพิธี เหล่าข้าราชบริพารและประชาชน มาเข้าร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งสองอย่างคับคั่ง เสียงดนตรีบรรเลงต้องกังวาลไปทั่วพระราชวัง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันดังเซ็งแซ่ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท กับบุตรสาวของท่านเสนาบดี ดำเนินไปเรื่อย ๆอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์สวมชุดพิธีสีแดงเข้ม โดดเด่น ยืนเคียงข้างเจ้าสาวที่งดงามราวกับดอกบัวแรกแย้ม แต่ดวงตาขององค์รัชทายาทกลับจ้องมองไปยังมุมหนึ่งที่กำลังยืนมองพระองค์อยู่เช่นกัน พลางคิดถามเขาคนนั้นในใจว่า
“ เจ้าจะเสียใจกับข้า หรือว่าจะมีดีกับข้ากันนะ”
องค์รัชทายาทฟางจิง มองหา ตงหยาง หลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาจนพิธีได้เสร็จสิ้นลง ของช่วงค่ำในวันนั้น เยว่หลิง ตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่นางรอคอย ภายในห้องหอที่มีเพียง เยว่หลิง และองค์รัชทายาท ฟางจิง กับบรรยากาศโดยรอบ ที่เหล่านางในและขันที ตกแต่งให้ดูน่าอภิรมย์ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศ ให้องค์รัชทายาท และพระชายาได้มีความสุขกัน
“หม่อมฉันจะปรนนิบัติพระองค์เองนะเพคะ”
เยว่หลิง รู้สึกว่านางรอให้องค์รัชทายาทเริ่มก่อนไม่ไหวแล้ว เมื่อนางสังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทนั้นดูเงอะงะ คงเพราะเขาไร้เดียงสาเกินไป เยว่หลิง จึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายรุกก่อน มือเล็กผิวขาว ผ่องปลดชุดคลุมสีแดงขององค์รัชทายาทออกไปจนพ้นกาย และนางก็เริ่มปลดชุดสีขาว ที่อยู่ชั้นไหนขององค์รัชทายาท ฟางจิง ออกไปอีกชั้น จนเห็นผิวกายที่นิ่มละเอียดดั่งผิวพรรณของสตรี แต่กล้ามเนื้องดงามที่อยู่บนเรือนกายขององค์รัชทายาท ฟางจิง นั้นทำให้เยว่หลิง รู้สึกถึงความพลุ่งพล่าน ภายในเรือนกายสาวที่สั่นสะท้าน ด้วยแรงกำหนัด ที่นางมีต่อเขา องค์รัชทายาท ฟางจิง รู้สึกอึดอัดคนแทบจะอาเจียนออกมา แต่เขาต้องอดกลั้นความรู้สึกเช่นนั้นเอาไว้ และนั่งนิ่งมอง เยว่หลิงปลดอาภรณ์ของตนเองออกไปจนหมดพ้นเรือนกาย เห็นทุกส่วนบนร่างกายที่งดงามตรงหน้า ซาลาเปาลูกใหญ่สองลูกที่นุ่มนิ่มอุ่นมือ มีจุกสีชมพูเด่นอยู่ตรงกลาง หากว่าชายใดได้ยลโฉมคงไม่รีรอ ป่านฉะนี้คงกระโจนใส่ ไม่รอให้เวลามันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่ธรรมชาติของบุรุษเพศที่มีต่อสตรี มิได้มีอยู่ในจิตสำนึกขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนที่ เยว่หลิง รู้สึกกับเขา มีแต่ความอึดอัด จนอยากจะวิ่งหนีออกไป เยว่หลิง ขยับกายเข้ามาใกล้ องค์รัชทายาทพร้อมกับบดเบียดร่างกายช่วงหน้าอกให้สัมผัสกับแผ่นอกกว้างของเขา และประกบปากทาบทับลงไปที่ริมฝีปากอุ่นร้อน ขององค์รัชทายาท มีเพียงเยว่หลิง ที่พยายาม ตวัดเรียวลิ้น ดูดจูบอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่พวยพุ่ง มือเล็กลูบไล้ไปทั่วร่างกายกำยำ ขอองค์รัชทายาท และปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสัมผัสตัวตน เพื่อปลุกให้มันตื่นจากการหลับไหล มือเล็กสัมผัสตัวตนสีหวาน ขององค์รัชทายาท ผู้เลอโฉม อย่างกระสัน แต่สิ่งนั้นของเขา ก็ยังคงแน่นิ่ง และนุ่มนิ่ม ไม่คิดที่จะตื่นตัวและแข็งชันขึ้นมาเลย เยว่หลิง รู้สึกขัดใจ นางเปลี่ยนจากจุมพิษและไต่ลงมาที่ตัวตนที่ยังคงนอนนิ่งสงบอยู่ ริมฝีปากโอ้โลม ให้สิ่งนั้นตื่นตัวขึ้นมาให้จงได้ แต่ทว่า
“พอเถอะ…ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าผิดหวังครั้งนี้พอแค่นี้แหละข้าอาจจะเหนื่อยจนไม่รู้สึกมีอารมณ์”
องค์รัชทายาทสวมอาภรเสื้อผ้าและเอนกายลง ปล่อยให้พระชายามีอารมณ์ค้างคาอยู่เช่นนั้น นางจำเป็นต้องหยุดเพียงเท่านี้ แล้วนอนข้างกายผู้ชายที่นอนหันหลังให้นาง เยว่หลิง ยังคงมีความหวังนางเบียดร่างบางที่มีความอวบเฉพาะจุด กับแผ่นหลังกว้างและกอดเขาให้แนบแน่น
“เจ้าสวมอาภรณ์เสียเถิด อย่าได้พยายามอีกต่อไปเลย”
“พระองค์ตรัสเช่นนั้นต้องการจะบอกกระไรหม่อมฉันหรือเพคะ? หรือว่าพระองค์เป็นโรคเสื่อมกำหนัด”
“ออ ..เอ่อ…ใช่..ใช่ ข้าเป็นเช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่สามารถจะพูดหรือบอกใครให้รู้เรื่องนี้ได้เพราะมันจะทำให้ พระราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้กันคลอนได้ เจ้าคงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปใช่หรือไม่?”
“เพคะหม่อมฉันจะไม่พูดเรื่องนี้เป็นอันขาด”
องค์รัชทายาทนั้นรู้ดีว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่มีอารมณ์รักใคร่กับสตรีที่งดงามอยู่ตรงหน้านี้ เขาจึงสวมรอยตามความที่ พระชายาของเขาเข้าใจว่าเขาเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางอารมณ์เพศ
“หม่อมฉันจะช่วยพระองค์เองเพคะ จะพยายามหาหมอที่เก่งมารักษาพระองค์ ให้ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระองค์จะต้องมีรัชทายาท หากแม้นว่าเราทั้งสองทองคู่กันนานหลายปีแต่ยังไม่มีทายาท พระองค์จะถูกถอดถอนได้เมื่อองค์ชายรองได้อภิเษกและมีทายาทก่อนพระองค์ พระองค์จะท่องถูกตรวจสอบ ความสามารถ ในการให้กำเนิด “
ค่ำคืนที่ทรมานใจนั้นกว่าจะผ่านไปมันช่างยาวนานเหลือเกิน องค์รัชทายาท ฟางจิง ถึงแม้จะนอนหลับตา แต่เขาก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เพราะตลอดเวลาทั้งวันของวันนี้และในช่วงกลางคืนทั้งคืน องครักษ์ ตงหยาง หายตัวไป เขายังไม่ได้เจออีกเลย ตงหยาง หายไปไหน องค์รัชทายาทยังคงสงสัย เยว่หลิงลืมตาขึ้นมาแล้วเพ่งพิศมอง ใบหน้าหวานขององค์รัชทายาท ฟางจิง อย่างรักใคร่และหลงใหล ขนตาที่งอนยาวเป็นแพในเวลาที่เขากำลังหลับไหลอยู่นั้นดูสวยงามเยี่ยงสตรี แต่ทว่าร่างกายนั้นดูใหญ่และกำยำจนน่าสัมผัส
“ น่าเสียดายยิ่งนัก หากแม้ว่าพระองค์ไม่ได้มีโรคภัยเช่นนี้ หม่อมฉันคงได้สุขสมอารมณ์รักกับพระองค์ไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันจะรอให้พระองค์หายดี ก่อนก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น หม่อมฉันจะปรนนิบัติให้พระองค์มีความสุขจนแทบสำลัก เลยดีไหมเพคะ?”
เยว่หลิง โน้มหน้าลงไปแอบจูบปากขององค์รัชทายาทเบาๆ แล้วลุกขึ้นออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไป ตรงไปยังตำหนักของตนเอง องค์รัชทายาทตื่นขึ้นมาหลังจากที่ เยว่หลิง ได้ปลูกเขาด้วยการจูบ แต่ว่าเขาแกล้งหลับต่อเพราะไม่อยากพูดคุยกับนางอีก จนกระทั่งนางออกไป เขาจึงรีบลุกขึ้นเพื่อตามหา ตงหยาง ที่หายไป ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ลานฝึกการต่อสู้คือที่เดียว ที่ตงหยาง ชอบไปอยู่ที่นั่น องค์รัชทายาท ฟางจิง ยืนมองบุรุษที่ไม่ได้สวมอาภรณ์ช่วงบน และกำลังฝึกดาบฟาดฟันหุ่นฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเหงื่อไหลหยดย้อยเต็มกาย จนผิวสีแทนของเขาดูมันเงา หัวใจสั่นไหวเต้นแรงทุกครั้ง ที่เห็นภาพของตงหยาง เปลือยกาย แต่องค์รัชทายาท ฟางจิง ต้องเก็บอาการเอาไว้
“ เมื่อวานเจ้าหายหน้าไปไหน เจ้าบอกเองว่าจะอยู่เคียงข้างข้า”
“ ฝ่าบาทหามิได้พะยะค่ะ พระองค์ต้องอยู่ตามลำพังกับพระชายา กระหม่อมจะอยู่ ข้างกายพระองค์มิได้เช่นแต่ก่อนแล้ว ว่าแต่ว่าเมื่อคืน พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญดีหรือไม่พะยะค่ะ?”
“ไม่ ข้าไม่สามารถทำหน้าที่องค์รัชทายาทได้สมบูรณ์ข้าทำไม่ได้ เพราะข้าไม่ได้รักนาง”
แววตาหม่นหมอง และเจ็บปวดเมื่อมองหน้าขององครักษ์หนุ่ม ตงหยาง ความรู้สึกที่อยากจะพูด อยากจะสารภาพแต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ องค์รัชทายาทเดินตรงเข้ามากอดร่างใหญ่อบอุ่นนั้นด้วยความรักใคร่ ความรู้สึกที่เก็บซ่อนมันไว้ลึกจนสุขใจไม่อาจเปิดเผย และเขาจะเก็บงำไว้เช่นนั้นตลอดไป จะไม่ยอมปริปากให้ ตงหยาง ได้รู้ เพราะไม่อยากเสียเขาไป เพียงแค่ไม่ได้เห็นหน้าเขาแค่หนึ่งวันพระองค์ก็รู้สึกทรมานใจแทบจะขาดใจตายเสียให้ได้
“เจ้าอย่าทิ้งข้าไปไหน อย่าหายหน้าไปอีก”
กระหม่อมก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อยแค่อยู่ในพิธีแล้วอึดอัดเพราะเสียงดัง จึงออกมาข้างนอกเท่านั้นเอง”
แววตาเป็นประกายของตงหยาง มองดวงหน้าหวานขององค์รัชทายาท พร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเห็น รอยยิ้มของชายหนุ่มที่พระองค์แอบรัก ก็ทำให้โลกทั้งโลกดูสดชื่นแจ่มใส องค์รัชทายาท ฟางจิง ยิ้มให้ตงหยาง อย่างเบิกบาน แล้วแอบสารภาพความรู้สึก ไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้
“ข้ารักเจ้า ตงหยาง”
เพียงแค่สารภาพรักในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเท่านี้ ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขภายในหัวใจ และความรักก็จะยังคงเป็นความลับตลอดไป พระชายาเยว่หลิง มาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เพื่อต้องการที่จะรักษาโรคเสื่อมกำหนัด ให้กับเขา องค์รัชทายาทจำเป็นต้องตามใจพระชายา เพื่อไม่ให้นางรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงยอมทำทุกอย่างไม่ว่านางจะพาหมอมาตรวจร่างกายอย่างไร ร่างกายของคนหรือทายาทก็ยังคงดูปกติดีทุกอย่าง
“ท่านหมอ ผลการตรวจพระวรกายของคาถาญาติเป็นเยี่ยงไรบ้างหรือ?”
“ก็ปกติดีทุกอย่างพะยะค่ะ ไม่ได้มีอาการของโรคที่ว่านั่นเลยสักนิด เหนื่อย จากการฝึกฝนและออกรบ อยู่บ่อยๆในช่วงหลังๆมานี้ รับชมมายุเพียงแค่สิบแปดชันษา ไม่น่าจะเป็นโรคเสื่อมกำหนดได้นะพะยะค่ะกระหม่อมจะจัดยาบำรุงพระวรกายและยาบำรุงให้นะพะยะค่ะ”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 16
Comments