บทที่ 4: ดินแดนอันดีน ตอนที่ 6 เผชิญหน้าบาปแห่งความริษยา
ท่ามกลางหมอกคาออสที่ล่องลอยไปทั่ว ผืนน้ำสีครามสะท้อนเงาของปราสาทอันงดงามในเบื้องหลัง โครงสร้างของมันสูงตระหง่านดุจสถาปัตยกรรมแห่งเทพ แต่รายล้อมด้วยซากปรักหักพังที่บ่งบอกถึงกาลเวลาที่กัดกร่อน
และที่ใจกลางของฉากนั้น เธอปรากฏตัว—หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ดวงตาของเธอราวกับสายน้ำที่ไหลลึก ทว่าภายในกลับแฝงความเศร้าหมองที่ไม่อาจปิดบัง ดวงตาสีฟ้าของเธอสั่นไหวราวกับแบกรับความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดอันหนักอึ้ง
ชุดสีเงินประดับลวดลายวิจิตรส่องประกายเบาๆ ในแสงใต้ทะเล ราวกับเธอยังคงยึดมั่นในความงามของอดีตที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องหยุดหายใจคือหัวงูสีน้ำเงินหกหัวที่พุ่งออกมาจากด้านหลังของเธอ งูแต่ละหัวเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม แต่ก็แฝงความน่าหวาดหวั่นจากแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความริษยา
งูเหล่านั้นไม่เพียงแค่น่ากลัว มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเธอ แววตาของพวกมันสะท้อนความเกรี้ยวกราดและความอิจฉาที่ปะทุขึ้น ราวกับความรู้สึกภายในที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ หัวงูแต่ละหัวอ้าปากแสดงเขี้ยวแหลมที่คมกริบ พร้อมที่จะพุ่งโจมตีได้ทุกเมื่อ
ความงดงามและความน่าสะพรึงนั้นช่างขัดแย้งกันในตัวเธอ ราวกับเธอคือภาพสะท้อนของความเจ็บปวดที่ถูกกลืนกินด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจปลดปล่อย…
อาคิระยืนตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยแรงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้า เจ้าหญิงงู เธอคือตัวตนที่เขาเคยเห็นในฝัน—ฝันที่เขาคิดว่าเป็นเพียงภาพหลอน แต่ในตอนนี้ ทุกอย่างกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
เขานึกย้อนไปถึงความฝันครั้งนั้น ฝันที่เขาเห็นสิงโตเพลิงยืนตระหง่านอยู่กลางดินแดนแห่งเปลวไฟ และหญิงสาวปริศนา ผู้รายล้อมไปด้วยหัวงูแปลกตา เขาจำได้ถึง ปลาคราฟสองตัว ที่ว่ายวนรอบสัญลักษณ์ 12 ดวงดาว รูปแบบเรขาคณิตที่เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น แต่กลับคุ้นเคยเหลือเกินเมื่อได้เห็นมันอีกครั้งในวิหารวัลคีรีย์เมื่อไม่กี่วันก่อน
“นี่มัน…” อาคิระพึมพำกับตัวเอง ภาพต่างๆ เริ่มไหลกลับเข้ามาในหัว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ทุกบทสนทนาที่ดูเหมือนไร้ความหมายในตอนนั้นเริ่มมีความสำคัญขึ้นมา
เสียงกระซิบที่เขาเคยได้ยิน ในโลกมนุษย์ น้ำเสียงอ่อนโยนที่เหมือนจะเป็นของ วัลคีรีย์ ผู้ที่เขาได้พบในวิหาร เธอคือคนที่นำพาเขามายังโลกนี้อย่างมีจุดมุ่งหมาย
เขานึกถึงพ่อและแม่ของเขา ซึ่งแอบพูดถึง “อาร์เคเดีย” และ “เซเลส” ก่อนจะมาที่นี่ และเรื่องราวของ คำทำนายของดวงดาว ที่แม่ชี้ให้เขาเห็นภาพวาดในหนังสือนิทานที่เหมือนกับรูปสัญลักษณ์ในวิหารวัลคีรีย์ในช่วงที่เขายังเด็ก แม้ว่าเขาจะคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวแฟนตาซีสำหรับกล่อมเด็ก แต่ความตั้งใจของพวกเขาในการสอนเขาถึง การใช้ดาบ ของอาจารย์ และ การแก้ปัญหา ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนของคุณปู่ รวมถึง การปลูกฝังความยุติธรรม จากพ่อและแม่ ล้วนดูเหมือนถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น
“อัญมณี…” เขาพึมพำอีกครั้ง นึกถึงอัญมณีสีฟ้าที่แม่ให้เขา มันเป็นของที่เขาไม่เคยแยกจากตัว และท้ายที่สุด มันก็กลายเป็น กุญแจสำคัญ ที่เปิดประตูระหว่างโลกมนุษย์กับอาร์เคเดีย เขาจำได้ว่ามันเปล่งแสงขึ้นในวันนั้น และนำเขามายังโลกนี้อย่างสมบูรณ์
โฮชิคาวะเซนเซ อาจารย์ที่ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเขาเป็นพิเศษ สอนทั้ง การต่อสู้และการวางกลยุทธ์ ราวกับรู้ว่าเขาจะต้องใช้มันในโลก เธอมักจะพูดคำว่า “อาคิระ จงจำไว้ ในจักรวาลนี้ยังมีอะไรอีกมากที่เจ้ายังไม่รู้ เจ้าต้องเตรียมความพร้อม และจงรู้ไว้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นเพียงฝุ่นธุลีเล็กๆของจักรวาลแห่งนี้อย่างแน่นอน” เขานึกได้ว่ามันคือการเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
ทุกสิ่งมันเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่สิ่งเล็กๆ อย่างบทเรียนที่ดูเหมือนธรรมดา ไปจนถึงคำพูดที่ฟังดูแปลกๆ ของพ่อและแม่ อาคิระเริ่มเข้าใจว่า เส้นทางนี้ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เป็น โชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว โชคชะตาที่เขาถูกเลือกให้แบกรับ
แต่ในตอนนี้ เขายังเหลืออีกหลายคำถามในหัว—ใครคือคนที่กำหนดโชคชะตานี้? พ่อกับแม่ของเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร? และตัวตนของเจ้าหญิงงูทึ่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วย ความเศร้าและความรู้สึกผิด ที่อยู่ตรงหน้านี้ เธอเกี่ยวข้องอะไรกับปลาคราฟและดวงดาว?
ทุกสิ่งที่เขาเคยสงสัย ทุกภาพในความฝัน และทุกคำสอนในโลกมนุษย์ มันกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน อาคิระก็รู้ว่าเส้นทางของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น…
อาคิระได้แต่ยืนนิ่ง ราวกับถูกกาลเวลาตรึงไว้กับที่ ในใจเขาตระหนักได้ถึงโชคชะตาของตนเอง—เส้นทางที่ถูกวางไว้ล่วงหน้านานแค่ไหนกันแน่? ทุกภาพในฝันเริ่มกลับมาชัดเจน ฝันลางบอกเหตุที่บอกให้เขาเตรียมพร้อม ไม่ใช่แค่เพื่อรับมือกับเจ้าหญิงงูในตอนนี้ แต่ยังมีตัวตนอื่นๆ ที่รอเขาอยู่ ตัวตนที่น่าหวาดกลัวและทรงพลังจนเขาไม่อาจมองข้าม
แต่ในความหวาดหวั่นนั้น เขากลับมองเห็นแสงแห่งความหวัง เขาเหลือบมองไปที่ดราโก้ นักรบที่ยืนเคียงข้างเขามาตลอด สนับมือไฟของดราโก้กำยำหนักแน่นราวกับปกป้องทั้งโลกไว้ในมือ และมิเรล จอมเวทย์ที่คฑาน้ำแข็งและไฟของเธอเปล่งแสงเรืองรอง แม้เธอจะไม่พูดมาก แต่ความมุ่งมั่นในสายตาของเธอบอกชัดว่าเธอจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ทั้งสองคนนี้…พวกเขาไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมทาง แต่คือพันธมิตรที่เขาเคยเห็นในฝัน ภาพของพวกเขาเคียงข้างเขาท่ามกลางสมรภูมิปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อเขามองไปยังยูเอะ—น้องสาวจิ้งจอกที่ยืนอยู่ข้างเขา ความน่ารักและความอ่อนโยนของเธอแฝงไปด้วยความกล้าหาญ แม้ในฝันเธอจะดูเป็นเพียงน้องสาวหูแมวธรรมดา แต่ในความเป็นจริง เธอคือจิ้งจอกผู้มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้
ภาพเหล่านี้นำพาเขาไปไกลกว่านั้น เขาจำได้ถึงภาพเงาของผู้คนอีกมากมาย คนหนึ่งในฝันของเขามีสายฟ้าฟาดกระจายรอบตัว แววตาของเธอร่ำร้องราวกับต้องการการปลดปล่อยจากพันธนาการ บางสิ่งของเธอเหมือนจะสะท้อนบางสิ่งในใจอาคิระเอง อีกทั้งยังมีคนอีกมากมายในฝัน ผู้ที่ยืนหยัดอยู่เบื้องหลังเขา ราวกับเป็นกองทัพแห่งแสงสว่างที่พร้อมจะช่วยเหลือในยามที่เขาล้มลง
ความหวาดกลัวต่อบอสที่รอเขาอยู่ในอนาคตยังคงหลอกหลอน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็นำมาซึ่งความตื่นเต้นที่เขาไม่อาจห้ามได้ ความคิดถึงพันธมิตรที่ยังรอการพบพาเขาให้ลุกขึ้นอีกครั้ง เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป แต่มันคือภาพสะท้อนของอนาคต—อนาคตที่เขาจะได้พบเจอกับผู้คนเหล่านั้น
“เราต้องไปต่อ…” เขาพึมพำเบาๆกับตัวเอง แววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนจากความลังเลไปเป็นความมุ่งมั่น “ไม่ว่าจะต้องเจออะไร เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
อาคิระหันกลับไปมองเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง เขารู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้านั้นเต็มไปด้วยปริศนาและอุปสรรคมากมาย แต่เขาก็มั่นใจในตัวพันธมิตรที่อยู่ข้างเขา และคนที่เขายังไม่เคยพบเจอ ความคิดนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงทั้งด้วยความหวังและความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอนาคตที่รออยู่
ยังไม่ทันที่อาคิระจะได้รวบรวมสติ ความรู้สึกถึงภัยอันตรายก็พุ่งเข้ามาในทันที หัวงูที่อยู่ด้านหลังของเจ้าหญิงงูเริ่มขยับเคลื่อนไหว ราวกับมีชีวิตแยกจากร่างของเธอ หนึ่งในหัวงูพลันอ้าปาก พลังน้ำที่ดูเหมือนจะรวมตัวกันอย่างรวดเร็วพุ่งออกมาเป็นลำแสงรุนแรง กระแทกร่างของอาคิระเต็มๆ ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว
แรงระเบิดของน้ำทำให้ร่างเขากระเด็นไปชนกับซากปรักหักพังอย่างแรง ก้อนหินขนาดใหญ่ถล่มลงมาทับร่างเขา ยูเอะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ “พี่!” เธอรีบว่ายเข้าไปหา พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังรักษา แสงสีเขียวอ่อนจากมือของเธอโอบล้อมร่างพี่ชายเอาไว้
ดราโก้พุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับหัวงูที่โจมตี แต่ทันทีที่เขาใกล้ถึง ระลอกน้ำจากปากงูอีกหัวก็พุ่งเข้ามาโจมตีเขาอย่างจัง ร่างของดราโก้ถูกกระแทกจนปลิวไปไกล เขาล้มลงกับพื้นพร้อมเสียงหายใจที่หนักหน่วง “นี่มัน…อะไรกันแน่!” เขาพึมพำในความมึนงง
มิเรลที่ยืนอยู่ห่างออกไปมองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เธอร่ายเวทย์น้ำแข็งจากคฑาของเธอ สร้างบาเรียน้ำแข็งรูปโดมขึ้นมาล้อมรอบทีมชั่วคราว “ทุกคนอยู่หลังฉัน!” เธอตะโกน แต่ไม่นานนัก ความแรงของการโจมตีจากหัวงูก็เริ่มแผดเผาและทำลายบาเรียทีละน้อย
เสียงน้ำพุ่งกระแทกและความเย็นยะเยือกจากบาเรียที่เริ่มแตกหักสร้างความตึงเครียดในทีม หัวงูที่เหลือเริ่มโจมตีในจังหวะที่เร็วขึ้น ราวกับเครื่องจักรที่ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ลำแสงน้ำที่ยิงออกมาสลับกันแทบไม่มีจังหวะพัก อาคิระที่เพิ่งเริ่มลุกขึ้นมาได้หันไปมองสถานการณ์ตรงหน้า
“นี่มัน…ไม่มีจังหวะให้โต้กลับเลย” เขาพึมพำกับตัวเอง สัญชาตญาณของเขาเริ่มร้องเตือน แต่ในขณะเดียวกัน ใจของเขากลับเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เขามองเห็นการโจมตีที่ต่อเนื่องของหัวงูที่เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ และมันกระตุ้นความเป็นนักสู้ในตัวเขา
“ยูเอะ!” เขาเรียกชื่อเธอขณะที่แสงแห่งการรักษายังคงโอบล้อมร่างของเขา “ถอยไปหาที่ปลอดภัย! มิเรล ดราโก้! ว่ายไปที่ซากปรักหักพัง เราต้องถอยก่อน แล้วค่อยหาทางโต้กลับ!”
เสียงของเขามั่นคงและหนักแน่นจนทุกคนหยุดการกระทำและทำตามคำสั่งโดยไม่ลังเล ยูเอะพยักหน้า ดวงตาของเธอยังคงมีน้ำตาเอ่อคลอ แต่เธอก็พยายามดึงตัวเองกลับมา เธอประคองอาคิระให้ลุกขึ้น ก่อนที่ทั้งทีมจะเริ่มว่ายไปหลบในจุดที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยที่สุด
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments