บทที่ 4: ดินแดนอันดีน
ตอนที่ 5: บททดสอบจิตใจ
ทีมของอาคิระว่ายน้ำผ่านสามเหลี่ยมมรณะ หลังจากที่เพิ่งเผชิญหน้ากับคราเคนและเอาชนะมันมาได้ พวกเขามุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองแอตแลนติโน่ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง แต่บัดนี้ถูกพลังงานคาออสกลืนกินจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง
ใจกลางเมืองปรากฏปราสาทเก่าแก่ที่ยังคงตั้งตระหง่านท่ามกลางซากปรักพังรอบข้าง มันดูแตกต่างจากทุกสิ่งรอบตัวอย่างน่าประหลาด ราวกับกำลังบอกว่ามีบางสิ่งที่ทรงพลังและชั่วร้ายยังคงหลบซ่อนอยู่
“ที่นี่…ดูเหมือนเป็นจุดกำเนิดของบางอย่าง” มิเรลกระซิบ ขณะที่พวกเขาว่ายน้ำเข้าใกล้ปราสาท
แต่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตปราสาท ทุกคนก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำที่หนาแน่น ราวกับปลาหมึกยักษ์พ่นหมึกออกมา หมอกนั้นเข้มข้นจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง
“นี่มัน…อะไรกัน!” ดราโก้ตะโกนเสียงดัง แต่เสียงของเขาเหมือนถูกหมอกดูดกลืนจนเบาบาง
หมอกค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของพวกเขา ไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายพวกเขาหยุดนิ่ง แต่เหมือนมันกำลังชักนำให้พวกเขาจมลึกลงไปในความคิด ความรู้สึกบางอย่างที่แสนจะอึดอัดและบิดเบี้ยวเริ่มก่อตัว
อาคิระ: ความอิจฉาที่ไม่เคยพบหน้า
ในความมืดที่หนาทึบ อาคิระรู้สึกถึงบางสิ่งที่ค่อย ๆ คลืบคลานเข้ามาในจิตใจของเขา มันเริ่มต้นด้วยเสียงกระซิบเบา ๆ ราวกับลมเย็นที่ผ่านพัดเข้ามาในความเงียบ
“นายไม่มีค่าเลย…ไม่มีใครเห็นนายเลย” เสียงนั้นกระซิบชัดขึ้น มันไม่ใช่เสียงของใครอื่น แต่เป็นเสียงของตัวเขาเองที่ดังสะท้อนอยู่ในหัว
ภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้นราวกับมีคนฉายภาพในจิตใจ ยูเอะ…เธอยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่เขาเคยคิดว่าเป็นของเขาคนเดียว แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป เธอพูดถึงชื่อของ “ลีอัน” ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“พี่ลีอันใจดีมาก ๆ เลยค่ะ เขาเก่งที่สุดเลย!” เสียงนั้นดังสะท้อนในหัวของอาคิระ ใบหน้าของยูเอะเปล่งประกาย ขณะที่เธอพูดถึงชายที่เขาไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แต่กลับถูกเปรียบเทียบกับเขาในทุกมิติ
ไหนเธอบอกว่าไม่มีใครเคียงข้างเธอ? ความคิดนี้พุ่งขึ้นมาอย่างไร้การควบคุม แล้วทำไมถึงเรียกเขาว่า ‘พี่’… ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นแบบนั้น?
เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจ ราวกับมีบางสิ่งกำลังบีบรัดมันจนแน่น ลำคอของเขาแห้งผาก ความขุ่นเคืองและความอิจฉาเริ่มปะทุขึ้นมาทีละน้อย
เราอยู่ที่นี่มาตลอด…เราอยู่เคียงข้างเธอ แต่ทำไมเราถึงไม่เคยเป็นที่พูดถึงแบบนั้นบ้าง?
ความรู้สึกเหล่านี้กลืนกินเขาอย่างช้า ๆ ภาพของยูเอะที่ยืนข้างชายอีกคนซ้อนทับกับภาพในจินตนาการ เธอยิ้มอย่างสดใสให้ใครบางคนที่ไม่ใช่เขา ภาพนั้นบีบหัวใจของอาคิระจนแทบแตกสลาย
เสียงในหัวเริ่มกระซิบอีกครั้ง คราวนี้มันชัดเจนและหนักแน่นกว่าเดิม “นายไม่เคยสำคัญพอ…นายจะไม่มีวันสำคัญพอ”
เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลึกลงไปในหลุมดำแห่งความรู้สึกที่บิดเบี้ยว มันเป็นความอิจฉาที่กัดกร่อนเขาจากข้างใน ความคิดที่ว่าเขาไม่มีวันเทียบเคียงกับคนที่ชื่อว่า “ลีอัน” ได้เลยไม่ว่าจะแง่ไหน ยิ่งทำให้เขาหล่นลึกลงไปในความสิ้นหวัง
หัวใจของเขาหนักอึ้ง ทุกสิ่งรอบตัวเริ่มพร่าเลือน มีเพียงความเจ็บปวดในใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาอยากกรีดร้องออกมา อยากถามยูเอะว่า ทำไม? อยากให้เธอรู้ว่าเขาก็อยู่ตรงนี้… อยู่ข้างเธอเสมอ
ยูเอะ: ความกังวลที่กลายเป็นไฟริษยา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมหัวใจ ยูเอะรู้สึกถึงบางสิ่งที่ค่อย ๆ บีบรัดเธอจนหายใจแทบไม่ออก มันไม่ใช่ความกลัวที่เธอเคยเผชิญ แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เคยยอมรับว่ามันอยู่ในใจมาก่อน—ความอิจฉา
ภาพของมิเรลที่ยืนคุยกับอาคิระปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเห็นอาคิระมองมิเรลด้วยแววตาชื่นชม เสียงของเขาที่พูดถึงแผนการและความสามารถของมิเรลดังก้องในหัวของเธอ
พี่อาคิระชื่นชมเธอขนาดนั้นเลยเหรอ? แล้ว…ฉันล่ะ?
เสียงกระซิบในหัวเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เจ้าไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว… เขาเห็นมิเรลที่ทั้งสวย ทั้งเก่ง แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไร้ประโยชน์”
ภาพซ้อนที่เธอเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างอาคิระ…แต่เขากลับมองผ่านเธอไปราวกับเธอเป็นเพียงเงา มันเจ็บปวดเกินบรรยาย ความคิดเหล่านั้นเหมือนเชื้อไฟที่ค่อย ๆ ลุกลามในหัวใจ
หรือว่าฉันจะไม่ดีพอสำหรับเขา? ความคิดนี้บีบคั้นหัวใจเธอจนแทบทนไม่ไหว เธอเริ่มคิดว่าตัวเองด้อยกว่า เธอไม่สามารถต่อสู้เก่งแบบอาคิระ ไม่สามารถวางแผนหรือเป็นที่พึ่งพาได้เหมือนมิเรล
หรือว่า…พี่อาคิระไม่ต้องการฉันอีกแล้ว?
ความเจ็บปวดจากความคิดนี้ราวกับเข็มนับพันแทงทะลุหัวใจ น้ำตาที่เธอไม่อยากให้ใครเห็นค่อย ๆ ไหลออกมาในความมืด
มิเรล: ความเจ็บปวดจากการถูกมองข้าม
ในความเงียบงันของจิตใจ มิเรลรู้สึกเหมือนเธอกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในท้องทะเลที่ไร้ที่สิ้นสุด มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยยอมรับมาก่อน—ความเจ็บปวดจากการไม่ได้รับการยอมรับ
ภาพของเด็ก ๆ ชาวอันดีนที่ครั้งหนึ่งเคยห้อมล้อมเธอด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ กลับหายไป พวกเขาไม่ได้วิ่งเข้ามาหาเธออีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับไปหายูเอะ เด็กหญิงตัวเล็กที่ทั้งสดใสและน่ารัก
“เจ้าเคยเป็นฮีโร่ของที่นี่… เจ้าเคยปกป้องอันดีน เสียสละเพื่อพวกเขา” เสียงในหัวเธอเริ่มกระซิบเย้ยหยัน “แต่ดูสิ เด็ก ๆ พวกนั้นกลับลืมเจ้าไปหมดแล้ว เพียงเพราะยูเอะ น่ารักกว่า สดใสกว่า และใหม่กว่า”
ภาพของยูเอะที่หัวเราะอย่างสดใสในหมู่เด็ก ๆ ตอกย้ำความคิดของเธอ เธอเห็นตัวเองยืนอยู่ในเงามืด เฝ้ามองพวกเขาด้วยความโดดเดี่ยว
ทั้ง ๆ ที่ฉันทำเพื่อพวกเขามากมายขนาดนี้…แต่ตอนนี้ฉันกลับเป็นเพียงตัวประกอบในสายตาพวกเขา
เสียงในหัวเริ่มกระซิบอีกครั้ง “เจ้าก็แค่ตัวสำรอง…ไม่มีใครสนใจเจ้าอีกแล้ว”
มิเรลรู้สึกเหมือนกำลังจมลึกลงไปในหลุมดำแห่งความสิ้นหวัง เธอไม่อาจทนเห็นตัวเองที่เคยเข้มแข็งและมั่นใจ กลายเป็นคนที่ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างอย่างสิ้นหวังเช่นนี้
ดราโก้: ความไม่มั่นใจที่กัดกิน
ในความมืดที่ล้อมรอบ ดราโก้ยืนนิ่ง ความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับภาพของอาคิระที่ต่อสู้กับคราเคน—คลื่นดาบที่ทรงพลังและความเป็นผู้นำที่เขาเองยังรู้สึกอิจฉา
“นายไม่มีวันเทียบเขาได้” เสียงในหัวกระซิบ มันเหมือนเข็มพิษที่แทงทะลุหัวใจ “อาคิระทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ทั้งหน้าตาดี ทุกคนชื่นชมเขา…นายล่ะ? นายมีอะไรบ้าง?”
ภาพการประลองที่เขาเคยชนะอาคิระแวบขึ้นมาในหัว แต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจอีกต่อไป “นายแค่โชคดีที่วันนั้นเขาไม่มีดาบ” เสียงในหัวเขาเย้ยหยัน “ถ้าเขามีดาบ นายจะไม่มีวันชนะเขาอีก”
ความไม่มั่นใจเริ่มกัดกินหัวใจของเขาทีละน้อย เขามองไปที่อาคิระที่ดูเหมือนมีทุกอย่างที่เขาไม่มี ความเป็นผู้นำที่ดึงดูดผู้คน ความสามารถในการคิดวางแผน และความแข็งแกร่งที่แทบไม่มีใครเทียบได้
แล้วฉันล่ะ? ฉันมีอะไรบ้างที่คนจะจดจำ?
ดราโก้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกบดบังด้วยเงาของอาคิระ เงาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาแทบมองไม่เห็นตัวเองอีกต่อไป เขาเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเอง และความสงสัยนั้นกลายเป็นความอิจฉาที่กัดกินหัวใจของเขาอย่างช้า ๆ
เสียงกระซิบแห่งความริษยาในหัวใจทั้งสามดังก้องไปทั่วราวกับเสียงกรีดร้องในความเงียบที่ไม่มีใครได้ยิน…
การหลุดพ้นจากความริษยา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมจิตใจ อาคิระหลับตาและตั้งสมาธิ เสียงกระซิบที่เคยกรีดร้องในหัวเริ่มเบาลงเมื่อเขานึกถึงคำสอนของปู่ “ความอิจฉาเป็นเพียงเงาสะท้อนของความไม่มั่นใจในตัวเอง หลานจงจำไว้ว่า ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง และไม่มีใครเหมือนใคร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเปรียบเทียบ แต่เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่เราเป็น”
คำพูดเหล่านั้นดังก้องในใจเหมือนแสงไฟที่ส่องผ่านม่านหมอกในความมืด ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจค่อย ๆ จางหาย อาคิระลืมตาขึ้น และตระหนักว่า…ความอิจฉาที่เขารู้สึกต่อ ‘ลีอัน’ ไม่ใช่ความรู้สึกแท้จริงของเขา มันเป็นเพียงการสะท้อนความกลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้องกังวานในความเงียบ “เราไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร…ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง และเรามีคุณค่าในสิ่งที่เราเป็น ความอิจฉาไม่ได้บอกว่าเราไร้ค่า แต่มันบอกให้เรามองให้เห็นคุณค่าของตัวเองแทนที่จะไปมองที่คนอื่น”
เสียงของเขาทำให้หมอกมืดรอบตัวสั่นสะเทือน ยูเอะที่จมอยู่ในความคิดที่ว่าอาคิระอาจละทิ้งเธอ รู้สึกถึงแสงเล็ก ๆ ส่องผ่านเข้ามาในใจเธอ
ยูเอะ: การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง
ยูเอะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาต่อมิเรล เริ่มฟังเสียงของอาคิระที่ดังขึ้นในจิตใจของเธอ เสียงนั้นไม่ได้เพียงแค่เรียกเธอให้ตื่นขึ้น แต่มันเตือนให้เธอหันกลับมามองตัวเอง
ทำไมเราถึงต้องเปรียบเทียบตัวเองกับพี่มิเรล? เธอถามตัวเอง พี่มิเรลเก่งในแบบของเธอ…แต่เราเองก็มีสิ่งที่พี่มิเรลไม่มีเหมือนกัน
เธอนึกถึงช่วงเวลาที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านเงือกมารุมล้อมเธอ รอยยิ้มของพวกเขาที่อบอุ่นและจริงใจ นั่นไม่ใช่เพราะเธอเก่งหรือสวยเหมือนมิเรล แต่มันเป็นเพราะเธอเป็นตัวของตัวเอง—เป็นคนที่พวกเขารู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย
“เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใคร” ยูเอะพึมพำ “แค่เป็นตัวเราเองก็เพียงพอแล้ว”
หมอกในใจเธอจางหาย เธอเปิดดวงตาและมองเห็นอาคิระที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
มิเรล: การยอมรับคุณค่าของผู้อื่น
ในความมืดนั้น มิเรลได้ยินเสียงของอาคิระเช่นกัน เสียงนั้นสะท้อนถึงหัวใจของเธอที่เคยถูกบดบังด้วยความริษยาที่มีต่อยูเอะ
“เด็ก ๆ ไม่ได้ลืมข้า…พวกเขาแค่เห็นสิ่งที่ยูเอะมี” เธอเริ่มคิด พวกเขาชอบความน่ารักและความสดใสของยูเอะ นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าไร้ค่า… ข้ามีบทบาทในแบบของข้าเอง
เธอเริ่มนึกถึงภารกิจที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เธอช่วยทีมได้สำเร็จ เธอไม่ได้ทำเพื่อเสียงชื่นชม เธอทำเพราะมันเป็นสิ่งที่เธอเลือกที่จะทำ เป็นสิ่งที่เธอภูมิใจ
“ยูเอะน่ารัก ข้าก็ยอมรับ” มิเรลพูดในใจ “แต่ข้าก็มีสิ่งที่ยูเอะไม่มีเหมือนกัน—และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราต่างเติมเต็มกัน”
หมอกดำรอบตัวเธอจางหาย เธอลืมตาขึ้นและเห็นยูเอะกำลังยิ้มให้เธอ
ดราโก้: การมองข้ามเงาของผู้อื่น
ดราโก้ที่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับอาคิระ เริ่มฟังเสียงที่ก้องกังวานในใจ เขานึกถึงสิ่งที่อาคิระพูด…การเปรียบเทียบไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นเพียงเงาที่เราใช้ปิดกั้นแสงของตัวเอง
เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่เขามี สิ่งที่เขาเคยทำสำเร็จ “อาคิระเก่งในแบบของเขา แต่ข้าก็มีสิ่งที่เขาไม่มี” เขาพูดกับตัวเอง “ข้าไม่ได้ต้องการจะดีกว่าใคร…แต่ข้าต้องการจะเป็นตัวเองที่ดีที่สุด”
เขาหลับตาและนึกถึงความสำเร็จของเขา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ ความอดทน หรือความเป็นเพื่อนที่เขามอบให้ทีม ทุกอย่างนั้นคือสิ่งที่ไม่มีใครพรากไปจากเขาได้
ดราโก้ลืมตาขึ้น หมอกในใจเขาจางหาย และเขายิ้มเล็ก ๆ เมื่อเห็นอาคิระ ยูเอะ และมิเรลยืนรอเขาอยู่
บทสรุปของบททดสอบ
แม้ว่าทีมของอาคิระจะหลุดพ้นจากความมืดมิดในใจ แต่เหล่านักเวทย์อันดีนที่มาด้วยกลับไม่สามารถก้าวข้ามความริษยาได้ พวกเขาถูกความรู้สึกนั้นเผาผลาญจนโจมตีกันเองและแม้แต่โจมตีทีมของอาคิระ
“เราต้องหยุดพวกเขา!” มิเรลตะโกน
ทีมของอาคิระพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยับยั้งพวกเขาโดยไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่ยูเอะใช้พลังชำระล้างพลังคาออสที่แทรกซึมในหัวใจของพวกเขา
เมื่อทุกอย่างสงบลง ทีมอาคิระตัดสินใจส่งเหล่านักเวทย์กลับไปยังอันดีน เหลือเพียงพวกเขาสี่คนที่ยังคงยืนหยัดเพื่อภารกิจข้างหน้า
พวกเขากลับเข้าสู่ปราสาทอีกครั้ง คราวนี้หมอกดำไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้อีกต่อไป แต่สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้ากลับเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาเคยเผชิญ—บอสที่อาคิระเคยเห็นในฝัน กำลังรอพวกเขาอยู่…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments