บทที่ 4: ดินแดนอันดีน
ตอนที่ 3: การเดินทางสู่แอตแลนติโน่
ยามเช้าของวันใหม่ในอันดีน ทุกอย่างราวกับสงบนิ่งใต้มหาสมุทรลึก แต่สำหรับทีมของอาคิระ ความสงบนั้นเป็นเพียงฉากหน้าก่อนความท้าทายครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาเดินทางมาพบมิเรล ณ โดมแก้วริมเมือง ซึ่งวันนี้นักเวทย์ชาวอันดีนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมทีมปราบปรามอย่างพร้อมเพรียง
เหล่านักเวทย์มีรูปลักษณ์หลากหลายจนเกินจะจินตนาการ บ้างมีร่างกายท่อนล่างเป็นปลาสีสดใส บ้างดูเหมือนพะยูนตัวใหญ่ที่สง่างาม บางคนมีลักษณะคล้ายหมูเงือกที่สามารถหายใจในน้ำได้อย่างน่าทึ่ง ที่เด่นที่สุดคือกลุ่มที่ดูเหมือนฉลามหัวค้อนถือฉมวกคมกริบ และปลาหมึกที่ถือดาบยาวเหมือนปลาดาบอันแหลมคม
“ทีมนักเวทย์ของเราพร้อมแล้ว” มิเรลกล่าวพร้อมชูคฑาไฟของเธอที่เปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้าและน้ำเงิน “พวกเขาเป็นมือดีที่สุดที่เรามี แม้ว่าแอตแลนติโน่จะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ครั้งนี้…เราจะไม่ล้มเหลว”
เสียงปรบมือแผ่วเบาจากเหล่านักเวทย์อันดีนเป็นสัญญาณของความพร้อม ทุกคนว่ายออกจากเขตเมืองโดมแก้ว มุ่งหน้าสู่แอตแลนติโน่ ระหว่างทางน้ำที่เคยสงบเริ่มก่อตัวเป็นคลื่นแปลกประหลาด พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานคาออสที่ค่อย ๆ แผ่กระจายออกมา
ไม่ช้าทีมก็เจอกับมอนสเตอร์กลุ่มแรก—เบลดฟิช ปลาขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายกับใบมีด พวกมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงและรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ หากพลาดพลั้งเข้าไปใกล้ จะเหมือนถูกมีดโกนจำนวนนับร้อยบาดไปทั่วร่าง
“ระวังตัวไว้!” มิเรลตะโกน เธอชูคฑาขึ้นและร่ายเวทย์น้ำวน พลังเวทย์ของเธอทำให้กระแสน้ำรอบตัวหมุนวน ฝูงเบลดฟิชถูกดึงเข้าไปในแรงหมุนนั้น มันพยายามว่ายทวนน้ำจนดูเหมือนหยุดนิ่งจากมุมมองด้านนอก
“พวกมันหยุดเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว!” หนึ่งในนักเวทย์อันดีนร้องบอก ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันปลดปล่อยเวทย์โจมตี ฝูงปลาที่เคยว่องไวเหมือนใบมีดกลายเป็นเป้าหมายง่ายดาย และถูกกำจัดจนหมดในเวลาไม่นาน
“นั่นแค่การอุ่นเครื่อง” ดราโก้เอ่ยพลางมองไปข้างหน้า “สิ่งที่รออยู่ต่อไปน่าจะโหดกว่านี้”
ไม่กี่อึดใจต่อมา ทีมก็เผชิญหน้ากับฝูงปลาไหลไฟฟ้า พวกมันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้าที่สร้างความเสียหายได้แม้แต่ในน้ำ นักเวทย์บางคนที่ไม่ทันระวังถูกช็อตจนต้องล่าถอย
“พวกมันเร็วเกินไป!” หนึ่งในนักเวทย์ร้องบอก มิเรลพยายามร่ายเวทย์น้ำวนอีกครั้ง แต่ความเร็วของปลาไหลทำให้พวกมันหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
“เราต้องหาแผนใหม่” อาคิระกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขานึกถึงการทดลองวิทยาศาสตร์ที่เคยเห็นในโรงเรียนโลกมนุษย์ ก่อนจะว่ายไปหามิเรล
“เธอสร้างหลอดน้ำแข็งทรงกลวงขึ้นไปบนฟ้าได้ไหม?” เขาถาม “แล้วใช้เวทย์ดูดน้ำเข้าไป พร้อมกับใส่เวทย์ลมเพื่อสร้างสุญญากาศในหลอด แรงดันน้ำจากน้ำวนจะพาปลาไหลขึ้นไปบนฟ้า”
มิเรลทำหน้าฉงน แต่พยักหน้า “ข้าจะลองดู”
เธอยกคฑาและร่ายเวทย์อย่างตั้งใจ หลอดน้ำแข็งขนาดใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้นกลางน้ำวน พร้อมกับน้ำที่ถูกดูดเข้าไปในหลอดด้วยความต่างของสุญญากาศกับแรงดันสูงใต้น้ำ ฝูงปลาไหลถูกแรงดูดดูดเข้าไปเหมือนถูกดูดด้วยปั๊มขนาดใหญ่ บางตัวช็อตกันเองภายในหลอดน้ำแข็ง และตัวที่ถูกพ่นขึ้นไปบนฟ้าก็กลายเป็นเป้าหมายของนักเวทย์ที่รออยู่ด้านล่าง
“สุดยอด!” หนึ่งในนักเวทย์อันดีนอุทาน “แผนนี้ได้ผลจริง ๆ!”
มิเรลหันไปมองอาคิระพร้อมรอยยิ้ม “นี่เป็นไอเดียของเขาเอง…ข้าก็แค่ทำตาม”
เสียงชื่นชมเริ่มดังขึ้นจากทีมอันดีน พวกเขาเริ่มมองอาคิระด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
หลังจากจัดการฝูงปลาไหลไฟฟ้าได้สำเร็จ ทีมก็มาถึงพื้นที่ที่เงียบผิดปกติ แต่ความเงียบนั้นถูกทำลายโดยการปรากฏตัวของ เมกกะโลดอน ฉลามยักษ์ที่ดูเหมือนผสมกับจระเข้ มันมีเกราะหนา ฟันแหลมคม และสายตาที่เต็มไปด้วยความดุร้าย
“นี่คือตัวที่ทำให้ข้าเสียเพื่อนร่วมทีมไปมากรองจากคราเคน” มิเรลกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมปนความเศร้าและความโกรธ “มันไม่ใช่แค่ใหญ่ แต่มันฉลาดและอันตราย”
ด้วยประสบการณ์ ทีมว่ายมารวมตัวกัน เนื่องจากรู้ว่ามันจะไม่โจมตีหากอยู่เป็นกลุ่ม เมกกะโลดอนว่ายวนรอบ ๆ ทีม ราวกับกำลังรอคอยให้ใครแตกฝูง ก่อนที่จะถอยหลังและพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้วยเทคนิคเดียวกับวาฬเพชฌฆาตมันได้สร้างคลื่นกระแทกที่เกิดจากแรงพุ่งของมันทำให้ทีมเกือบกระจัดกระจาย
“เราต้องล่อมัน!” อาคิระตะโกน พลางหันไปถามดราโก้ “นายทำให้อะไรเบามากๆได้ไหม?”
“แน่นอน เรื่องง่าย ๆ” ดราโก้ตอบ
อาคิระจึงวางแผนให้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เขาว่ายออกไปจากกลุ่ม เมกกะโลดอนที่เฝ้ารออยู่ไม่พลาดโอกาส มันพุ่งเข้าหาเขาในทันที
“มาเลย…” อาคิระพึมพำ ก่อนจะใช้เพลงดาบดาวในเวอร์ชั่นใต้น้ำ ด้วยพรของเลวีธาอาน ทำให้เขาสามารถสร้างคลื่นดาบที่กระแทกตัวเมกกะโลดอนจนชะงัก ดราโก้ฉวยโอกาสปล่อยเวทย์แรงโน้มถ่วง ช่วงชิงน้ำหนักมหาศาลจากร่างของมัน
ผลลัพธ์คือเมกกะโลดอนที่เคยหนักหน่วงกลายเป็นเหมือนลูกโป่งใต้น้ำ มันลอยขึ้นไปบนผิวน้ำอย่างควบคุมไม่ได้ ขณะที่นักเวทย์อันดีนโจมตีมันอย่างต่อเนื่องจนสิ้นฤทธิ์
หลังจากปราบเมกกะโลดอน ทีมได้รับเสียงชื่นชมจากนักเวทย์อันดีน ยูเอะที่คอยสนับสนุนด้วยการฟื้นฟูพลังและรักษาอาการบาดเจ็บของทีม ยิ้มบาง ๆ แม้ในใจเธอจะเริ่มกังวลว่าตัวเองยังไม่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ และเธอเริ่มเปรียบเทียบกับคนเก่งอย่างมิเรลแบบเงียบๆ
“ที่ต่อไปคือสามเหลี่ยมมรณะของคราเคน” มิเรลกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอชี้ไปยังหลุมลึกที่ล้อมรอบด้วยหมอกคาออส “คราเคนยึดพื้นที่นั้นไว้… และมันไม่เคยปล่อยให้ใครรอดชีวิต”
ทีมมองไปยังเงามืดที่น่าหวาดหวั่น ภาพของเงามืดที่สั่นไหวในม่านหมอกสีดำ ความกดดันเริ่มทวีขึ้นในทุกย่างก้าวที่พวกเขาเข้าใกล้ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก่อนจะถึงแอตแลนติโน่ในภารกิจครั้งนี้…
บทที่ 4: ดินแดนอันดีน
ตอนที่ 4: เผชิญหน้าคราเคน
ทีมของอาคิระรวมตัวกันอยู่กลางผืนน้ำลึกที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบและความมืด หมอกคาออสสีดำสนิทปกคลุมพื้นที่ข้างหน้าไว้จนมองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงจากปลาดาวที่ส่องระยิบระยับอยู่ในระยะไกล บรรยากาศที่หนาวเย็นและเงียบงันทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
“ก่อนเราจะเข้าไป” อาคิระพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่หนักแน่นพอจะดึงความสนใจของทุกคน “เราต้องรู้จักศัตรูของเราก่อน… คราเคน มันมีจุดอ่อนหรือจุดแข็งอะไรบ้าง?”
ชาวอันดีนเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “มันอาศัยอยู่ในหมอกคาออสที่นี่ ไม่ออกมาจากพื้นที่ของมัน มันใช้หมอกและหมึกของตัวเองปกปิดร่างกาย ถ้าเราเข้าใกล้เกินไป มันจะพ่นหมึกออกมาปกคลุมพื้นที่เพิ่ม หรือใช้หนวดลากพวกเราไป ถ้าอยู่ไกล มันจะใช้เศษหินหรือซากเรือขว้างใส่เราอย่างรุนแรงและไม่สามารถคาดเดาได้”
อีกคนเสริม “พวกเราพยายามสร้างน้ำวนเพื่อกำจัดหมอก แต่คราเคนใช้หนวดสลายน้ำวนของเราได้ อีกทั้งการยิงเวทย์สุ่มเข้าไปในหมอกกลับยิ่งกระตุ้นมันให้ตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากขึ้น…”
อาคิระฟังเงียบ ๆ สายตาจับจ้องไปที่หมอกมืดเบื้องหน้า เขานึกถึงประสบการณ์ในเกมที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ใช้การพรางตัวและโจมตีจากระยะไกล สิ่งสำคัญในการต่อกรกับศัตรูประเภทนี้คือ “การมองเห็น”
เขาหันมองยูเอะที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ “ยูเอะ… เธอพอจะมองเห็นคราเคนในหมอกนั้นได้ไหม?”
ยูเอะทำหน้าฉงนเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “หนูไม่แน่ใจค่ะพี่… แต่หนูจะลองดู” เธอหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วตั้งสมาธิ พลังบางอย่างภายในตัวเธอเริ่มแผ่ขยายออกมา ดวงตาของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และมีประกายแสงระยิบระยับราวกับเธอกำลังมองเห็นทั้งจักรวาลในสายตา
“เห็นค่ะ!” ยูเอะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “มันอยู่ตรงนั้น… ตัวใหญ่มาก!”
ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ มิเรลมองยูเอะด้วยความประหลาดใจ “ความสามารถนี้… เหลือเชื่อจริง ๆ”
“แผนของเราคือต้องจัดการมันอย่างรอบคอบ” อาคิระพูดขึ้น “เราจะใช้ทีมเวทย์สร้างวงล้อมรอบสามเหลี่ยมนี้ ยิงเวทย์เข้าไปแบบสุ่มเพื่อก่อกวนหรือทำให้หมอกคาออสลดลง แต่ต้องระวังของที่มันขว้างออกมา นักเวทย์ต้องอยู่ในระยะปลอดภัย”
เขาหันไปถามดราโก้ “นายเคยทำให้เจ้าฉลามจรเข้นั่นลอยได้แล้ว ขออีกรอบแบบแรงๆเลยได้ไหม?”
ดราโก้ยิ้มบาง ๆ “สบายมากสหาย”
“ดี งั้นนายเตรียมตัว” อาคิระกล่าว “ฉันกับนายจะว่ายขึ้นไปเหนือหัวมัน มิเรลจะใช้เวทย์น้ำช่วยส่งพวกเราลงไปเร็วที่สุด ยูเอะจะบัฟฉันและดราโก้ มิเรลจะคอยสนับสนุน ถ้าทำตามแผนได้ คราเคนจะลอยออกมาจากหมอกหมึก และจะเปิดช่องให้ทุกคนโจมตีได้เต็มที่”
มิเรลพยักหน้า “เข้าใจแล้ว… ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อทุกคนเตรียมพร้อม ทีมเวทย์รอบนอกเริ่มปล่อยเวทย์น้ำวนและเวทย์ไฟฟ้าก่อกวนหมอก คราเคนตอบโต้ทันทีด้วยการขว้างเศษซากเรือและก้อนหินออกมาจากหมอกดำ เสียงน้ำระเบิดดังสนั่นเมื่อสิ่งเหล่านั้นกระทบกับเวทย์ป้องกัน
ทีมของอาคิระเริ่มว่ายขึ้นไปเหนือหัวของคราเคนตามแผน ยูเอะยืนอยู่ข้างมิเรล หลับตาแล้วเปิดพลังบัฟ “พี่คะ หนูเสร็จแล้วค่ะ!”
“ส่งเราไปเลย มิเรล!” อาคิระตะโกน มิเรลร่ายเวทย์น้ำขนาดใหญ่ สร้างกระแสน้ำวนที่พุ่งส่งตัวอาคิระและดราโก้ลงไปด้วยความเร็วสูง คราเคนที่เริ่มสังเกตเห็นพวกเขาพยายามใช้หนวดมหึมามาขวาง
“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” อาคิระที่ได้รับบัฟพลังโจมตีจากทั้งมิเรลและยูเอะ สร้างคลื่นดาบด้วยวิชาดาบดาว ฟาดออกไปต่อเนื่องหลายระลอก หนวดของคราเคนที่พยายามขวางถูกตัดจนกระเด็น
“ถึงแล้ว!” ดราโก้คำราม เขาปลดปล่อยเวทย์แรงโน้มถ่วงเต็มพลัง คราเคนที่เคยซ่อนอยู่ในหมอกดำกลายเป็นลูกโป่งยักษ์ ลอยออกจากหมอกคาออสโดยสิ้นเชิง
“เป้าหมายชัดเจนแล้ว!” มิเรลตะโกน ทีมเวทย์รอบนอกเริ่มระดมยิงเวทย์ใส่คราเคนอย่างไม่ยั้ง ขณะที่อาคิระเตรียมปิดฉาก
เขาตั้งท่าอิไอ วิชาดาบที่เคยเรียนรู้จากอาจารย์ซายากะและท่าที่สิงโตเพลิงสุดโหดได้ใช้ “ครั้งนี้…ฉันจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น!” อาคิระพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวและปล่อยคลื่นดาบต่อเนื่องห้าระลอก คลื่นดาบสีฟ้าพุ่งผ่านร่างของคราเคนไประเบิดที่ผิวน้ำ สร้างแสงระยิบระยับที่ตัดผ่านท้องทะเลพร้อมกับละอองน้ำที่มากพอจนเห็นรุ้งเล็กๆ
เสียงคำรามสุดท้ายของคราเคนกึกก้องในน้ำ ก่อนที่ร่างมหึมาของมันจะสงบนิ่ง ทุกคนในทีมส่งเสียงเฮลั่น สนามรบที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถูกแทนที่ด้วยความยินดี
“เราทำได้!” มิเรลพูดพร้อมรอยยิ้ม เธอมองอาคิระด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ “นี่คือชัยชนะที่เราเฝ้ารอมานาน”
“แต่ภารกิจยังไม่จบ” อาคิระกล่าวพลางมองไปยังแอตแลนติโน่ที่ยังรออยู่เบื้องหน้า “เราแค่เริ่มต้นเท่านั้น”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments