บทที่ 4: ดินแดนอันดีน ตอนที่ 2: ใต้เงาแห่งท้องทะเลลึก
ยามเช้าของอันดีน เริ่มต้นด้วยแสงระยิบระยับจากกระแสน้ำที่ลอดผ่านโดมแก้ว เผยให้เห็นทัศนียภาพงดงามของเมืองใต้น้ำ โอเปร่าเฮาส์กลางเมืองดูสง่างามราวกับดอกไม้คริสตัลที่กำลังบานใต้มหาสมุทร เสียงกระแสน้ำที่ไหลผ่านสร้างความรู้สึกสงบสุขเหมือนดนตรีแห่งธรรมชาติ
ภายในโอเปร่าเฮาส์อันวิจิตร เลวีธาอานผู้พิทักษ์แห่งน้ำยืนอยู่ตรงกลางโถงใหญ่ แสงที่สะท้อนจากเกล็ดแก้วรอบตัวเธอเปล่งประกายราวกับอัญมณี เธอกำลังแนะนำสมาชิกใหม่ที่จะเข้าร่วมทีมในภารกิจสำคัญนี้
มิเรล เกลเชียร์มิสต์ ปรากฏตัวในชุดที่ประดับด้วยเกล็ดน้ำแข็งและคริสตัลที่เปล่งแสงราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย ชุดของเธอมีลวดลายอ่อนช้อยราวกับสายลมในฤดูหนาว ผมสีเงินเงางามของเธอถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับด้วยดอกไม้สีฟ้าที่เหมือนบานสะพรั่งใต้แสงจันทร์ในมหาสมุทร ดวงตาสีฟ้าของเธอสะท้อนแสงระยิบระยับ ราวกับกำลังมองลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คน
ในมือขวาของเธอถือคฑาที่ปลายเป็นคริสตัลสองสีที่หมุนวนอย่างสมดุล เปลวไฟสีฟ้าส่องแสงเจิดจ้าเคียงคู่กับเกล็ดน้ำแข็งที่สะท้อนแสงเหมือนดวงดาว ทำให้เธอดูงดงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
“สวัสดี…” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธ “ข้าคือมิเรล เกลเชียร์มิสต์ ยินดีที่ได้ร่วมภารกิจกับพวกเจ้า”
ยูเอะมองมิเรลด้วยดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “พี่อาคิระคะ…พี่มิเรลสวยเหมือนนางฟ้าเลยค่ะ” เธอหันมากระซิบเบา ๆ
“ใช่” อาคิระพยักหน้าช้า ๆ แม้ว่าเขาเคยเห็นนางฟ้าตัวจริงแล้วก็ตาม สายตาของเขายังจับจ้องไปที่มิเรล “เหมือนราชินีแห่งฤดูหนาวเลย”
หลังจากที่เลวีธาอานมอบหมายภารกิจและอธิบายสถานการณ์ของอันดีน เธอได้ใช้พลังเวทย์ของเธอมอบพรให้กับทีม ทำให้ทุกคนสามารถหายใจและเคลื่อนไหวใต้น้ำได้อย่างอิสระราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเล
“ไปกันเถอะ” มิเรลกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เธอใช้คฑาในมือชี้เบา ๆ น้ำรอบตัวเธอเริ่มก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่ค่อย ๆ นำทางพวกเขาออกไปจากโดมแก้ว สู่ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใต้น้ำที่รออยู่เบื้องหน้า…
ท้องทะเลลึกที่อยู่ไกลจากโดมแก้ว เผยให้เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในแสงสลัวของมหาสมุทร หมู่บ้านชนพื้นเมืองแห่งนี้มีเสน่ห์ในแบบของมันเอง แสงระยิบระยับจากแมงกระพรุนที่ลอยผ่านราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ผสมกับเสียงเพลงจากสาว ๆ ชาวเงือกที่ร้องคลอไปกับเสียงคลื่นเบา ๆ เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายจนทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
“ที่นี่ดูอบอุ่นดีจังเลยค่ะ” ยูเอะเอ่ย พลางกวาดสายตามองรอบ ๆ ด้วยความประทับใจ น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความชื่นชมที่แท้จริง
“ข้าชอบที่นี่มากกว่าในโดมอีก” ดราโก้เอ่ยเสริม น้ำเสียงผ่อนคลายกว่าปกติ “ในโดมมีแต่นักท่องเที่ยวจากบนบก ดูวุ่นวายไปหมด แต่ที่นี่กลับรู้สึกเหมือนเป็นบ้านจริง ๆ”
อาคิระพยักหน้าเบา ๆ เขามองวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้านที่กำลังจัดเรียงปะการัง หรือนำปลาสด ๆ ที่เพิ่งจับได้มาย่างบนใบไม้ประหลาด สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนความสุขนั้นไม่ได้ถูกกำหนดด้วยความสะดวกสบายในเมืองใหญ่ แต่ด้วยความสงบและความสัมพันธ์ของผู้คนในหมู่บ้าน
เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งเข้ามาหายูเอะ เด็กหญิงตัวเล็กที่มีหางสีชมพูสดใสคว้าชายเสื้อยูเอะด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านคือพี่สาวจากข้างบนใช่ไหมคะ? พี่สาวสวยจังเลย!”
ยูเอะหัวเราะอย่างเอ็นดู เธอคุกเข่าลงไปพูดคุยกับเด็ก ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่ชื่อยูเอะค่ะ พวกเธอน่ารักกันจังเลย”
เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักพร้อมพากันจับแขนเธออย่างสนิทสนม มิเรลมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แต่ในใจลึก ๆ เธอกลับรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย เพราะปกติเด็ก ๆ เหล่านี้มักจะห้อมล้อมเธอ แต่วันนี้พวกเขากลับวิ่งตรงไปหายูเอะราวกับเธอไม่มีตัวตน
“เด็กพวกนี้น่ารักดีนะ” ดราโก้เอ่ยขึ้นพลางกอดอกมองภาพนั้นด้วยความเพลิดเพลิน “ดูเหมือนพวกเขาไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลเลย”
“ก็เพราะที่นี่คือบ้านของพวกเขา” มิเรลตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ชาวบ้านที่อยู่นอกโดมมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและอบอุ่น ต่างจากในเมืองที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและความวุ่นวาย”
ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน มิเรลพาทีมไปยังแหล่งน้ำพุธรรมชาติที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน น้ำพุนี้ดูเหมือนจะลอยอยู่กลางอากาศ กระแสน้ำที่วนไปมามีประกายแสงระยิบระยับเหมือนอัญมณีที่เปล่งแสง ยูเอะยืนมองอย่างทึ่ง “สวยจังเลยค่ะพี่มิเรล มันเหมือน…อัญมณีที่มีชีวิต”
มิเรลยิ้มรับ ก่อนจะยกคฑาไฟของเธอขึ้นในอากาศ คฑาที่ประดับด้วยอัญมณีเปล่งแสงสีส้มและน้ำเงินสะท้อนประกายไปทั่ว เธอสะบัดเล็กน้อย เกล็ดน้ำแข็งละเอียดและเปลวไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นลอยอยู่รอบตัวน้ำพุ ก่อนที่เธอจะยื่นมือให้ยูเอะ
“ลองแตะดูสิ” มิเรลกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มันจะไม่ทำให้เจ้าเปียก แต่จะรู้สึกเหมือนได้สัมผัสเวทมนตร์”
ยูเอะลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือแตะน้ำพุ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ว้าว…มันรู้สึกอบอุ่นทั้งที่เป็นน้ำ!”
มิเรลหัวเราะเบา ๆ “นี่คือพลังของสมดุล มันคือการผสมผสานระหว่างเวทมนตร์กับธรรมชาติ น้ำพุนี้เป็นหัวใจของหมู่บ้านที่ช่วยรักษาพลังเวทย์ของที่นี่เอาไว้”
หลังจากนั้น มิเรลเริ่มบทสนทนาใหม่ขณะที่เธอเดินเคียงข้างยูเอะ “ยูเอะ…ข้าสงสัยว่าเจ้าคือลูกสาวของท่านฮิคาริจากเซเลสหรือเปล่า?”
ยูเอะหันมองเธอด้วยความสนใจ “พี่มิเรลรู้จักคุณแม่เหรอคะ?”
“รู้สิ” มิเรลตอบพร้อมรอยยิ้ม “ลีอันเคยพูดถึงเจ้าไว้เยอะมาก เขาบอกว่าเจ้าทั้งน่ารักและขี้อ้อนจนเขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวตัวเล็ก ๆ”
ยูเอะหัวเราะเบา ๆ “พี่ลีอันพูดถึงหนูด้วยเหรอคะ? งั้นพี่มิเรลก็ต้องเป็นคนที่พี่ลีอันบอกว่ามีพรสวรรค์ที่สุดสินะ เขาเล่าว่าพี่สามารถใช้ธาตุได้ถึงสี่ธาตุเลย!”
“ข้าคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” มิเรลหัวเราะเล็กน้อยพร้อมกับโบกมือถ่อมตัว “ลีอันเป็นคนที่สอนข้าเกี่ยวกับธาตุไม้ ซึ่งทำให้ข้ารู้วิธีใช้ธาตุไฟและลมได้ แต่เจ้าความจริงแล้วลีอันต่างหากที่น่าทึ่ง เขาเป็นนักเวทย์สายธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่ง”
“แต่เขาดันอยากเป็นหมอ…” มิเรลถอนหายใจเบา ๆ “น่าขำจริง ๆ ทั้งที่มีสายเลือดของเสือขาวนักสู้อย่างท่านเบียคุยะแท้ๆ แต่กลับอยากเป็นหมอ เสียของหมด”
ยูเอะหัวเราะคิกคักไปกับคำพูดของมิเรล ขณะที่อาคิระที่เดินตามหลังพวกเธอเพียงเงียบงัน ความอิจฉาที่ไม่อาจอธิบายได้ลอยขึ้นมาในใจ แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าลีอันมาก่อน แต่ทุกคำที่ได้ยินกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเปรียบเทียบอย่างไม่ตั้งใจ
ดราโก้ที่เดินอยู่ข้างอาคิระยกมือเกาศีรษะ “พวกเจ้ากำลังพูดถึงใครกัน? ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด”
คำพูดของดราโก้เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากยูเอะและมิเรล ก่อนที่อาคิระจะตัดบทด้วยน้ำเสียงสุขุม “มิเรล…เล่าเรื่องภารกิจของเราต่อเถอะ”
บรรยากาศของหมู่บ้านที่สงบสุขเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อบทสนทนาเข้าสู่เรื่องราวของภารกิจที่น่าหวาดหวั่น…
จุดชมวิว ที่มิเรลพาทีมไปตั้งอยู่บนหน้าผาหินที่ทอดยาวออกไปเหมือนสะพานธรรมชาติ แสงจากพื้นทะเลสะท้อนบนผิวเกลียวคลื่นเบื้องล่าง เกิดเป็นภาพที่งดงามราวกับผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว น้ำทะเลสีฟ้าครามที่ค่อย ๆ ลึกลงไปกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ล้อมรอบหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่พวกเขาเพิ่งจากมา มันเป็นภาพที่สวยงามจนทำให้ทุกคนต้องหยุดยืนมอง
มิเรลก้าวไปยังขอบหน้าผา ใช้คฑาชี้ไปยังพื้นที่ที่มืดครึ้มในระยะไกล “ที่นั่น…คือแอตแลนติโน่”
ทุกคนหันไปตามทิศทางที่เธอชี้ เงาดำของซากปรักหักพังขนาดใหญ่ใต้ท้องทะเลลึกที่มีหมอกคาออสสีดำข้นปกคลุม ทำให้บรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกอย่างน่าขนลุก
มิเรลหันกลับมาหาพวกเขา พร้อมกับเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แอตแลนติโน่เคยเป็นเกาะที่สวยงามและเจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งบนผิวน้ำ เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและการค้า แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน มันจมลงสู่ก้นทะเลโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ บางคนเชื่อว่ามันเป็นคำสาป แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ หลังจากนั้น มันกลายเป็นแหล่งกำเนิดคาออสที่ใหญ่ที่สุดในอันดีน”
“คาออสทำอะไรกับเกาะนั้นเหรอคะ?” ยูเอะถาม น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความสงสัยและกังวล
มิเรลถอนหายใจยาว ดวงตาเปี่ยมด้วยความเจ็บปวดจากอดีต “มันเปลี่ยนทุกสิ่ง… ปลาและพืชบริเวณนั้นเริ่มกลายพันธุ์ บางส่วนเน่าตายเพราะพลังงานคาออสที่แพร่กระจาย ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ใกล้เคียงก็ต้องย้ายออก มันไม่ได้หยุดแค่ที่นั่น… การประมงที่เป็นสินค้าส่งออกหลักของอันดีนก็ได้รับผลกระทบจนแทบล่มสลาย ชาวบ้านจำนวนมากสูญเสียทั้งบ้านและวิถีชีวิต”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง ท้องทะเลที่ดูงดงามในตอนแรกเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นในใจของพวกเขา
“แล้วไม่มีใครเคยพยายามจัดการมันเลยเหรอ?” ดราโก้ถาม น้ำเสียงของเขาต่ำลงกว่าปกติ ราวกับพยายามระงับความโกรธที่แฝงอยู่ในใจ
“พวกเราพยายามแล้ว…หลายครั้ง” มิเรลตอบพร้อมกับเบนสายตากลับไปยังเงาของแอตแลนติโน่ “แต่พวกเราถูกขัดขวางทุกครั้ง โดยเฉพาะเจ้าหมึกยักษ์คราเคน มันทั้งเจ้าเล่ห์และแข็งแกร่งเกินกว่าที่ทีมเวทย์ธรรมดาจะรับมือได้ ข้าสูญเสียเพื่อนร่วมทีมไปมากมาย…”
น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยขณะพูดถึงอดีต ทุกคนรู้สึกได้ถึงความหนักหนาของเรื่องราวที่เธอแบ่งปัน
อาคิระที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ กำมือแน่น เขามองตรงไปยังแอตแลนติโน่และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นั่นแหละเหตุผลที่พวกเราอยู่ที่นี่ ครั้งนี้เราจะต้องบุกไปให้ถึงต้นตอให้ได้”
มิเรลมองอาคิระด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง “ใช่…ข้าก็หวังเช่นนั้น”
ยูเอะยกมือขึ้นจับที่แขนอาคิระเบา ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ “พี่คะ…เราต้องทำได้แน่ค่ะ”
“เราจะทำได้” ดราโก้เสริมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นกว่าก่อนหน้า ราวกับต้องการปลุกขวัญกำลังใจของตัวเอง
มิเรลหันกลับมามองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยขึ้น “การเดินทางไปยังแอตแลนติโน่ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การต่อสู้กับคาออส… แต่เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่อันดีนกลัวที่สุด สิ่งที่ทำให้เราต้องพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน”
หลังจากจบการสนทนา พวกเขาก็ออกเดินทางกลับสู่โดมแก้ว ความเงียบปกคลุมระหว่างทางกลับ ทุกคนต่างใช้เวลาคิดถึงภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า พวกเขารู้ดีว่าเส้นทางนี้ไม่ได้มีเพียงอุปสรรคทางกายภาพ แต่มันยังท้าทายจิตใจและความมุ่งมั่นของพวกเขาในทุกย่างก้าว…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments