ตอนที่ 9: บันทึกแห่งความทรงจำ
อาคิระยืนจ้องมองเกราะสีเงินที่อยู่ตรงหน้า ร่องรอยของการต่อสู้ในอดีตยังปรากฏชัดบนผิวของมัน แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แสงสีเงินที่เปล่งออกมาจากเกราะดูราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในความเงียบงัน ลวดลายวิจิตรที่สลักบนเกราะเล่าเรื่องราวของนักรบผู้หนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้ในสมรภูมิที่ไร้จุดจบ
“นี่มัน…” อาคิระพึมพำ ขณะยื่นมือไปสัมผัสพื้นผิวเย็นเฉียบของเกราะ
ทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงบนเกราะ แสงสีขาวจ้าก็พุ่งออกมาราวกับลำแสงจากดวงอาทิตย์ มันโอบล้อมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงอาคิระเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำที่ลึกที่สุด
“พี่!” ยูเอะร้องเรียกด้วยความตกใจ เธอพยายามวิ่งเข้าหา แต่ดราโก้ยกแขนขึ้นขวาง
“อย่าเข้าไป มันอาจจะเป็นบททดสอบอีกแบบหนึ่ง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาของเขาจับจ้องแสงสีขาวนั้นอย่างระแวดระวัง
ในห้วงแห่งความทรงจำ อาคิระพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่น เสียงนกร้องเพลงและสายลมอ่อนโยนพัดผ่านให้ความรู้สึกสงบ เขาหันไปมองรอบตัว และสายตาของเขาก็หยุดลงที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ชายหนุ่มมีใบหน้าคมคายที่ดูเต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่ายสีขาว ท่าทางของเขาแสดงถึงความสุขที่เรียบง่าย
“นี่ใครกัน…” อาคิระพึมพำ ขณะเดินเข้าไปใกล้
“กาเอล…” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากหญิงสาวที่ปรากฏตัวข้างชายหนุ่ม เธอมีปีกสีขาวบริสุทธิ์และรอยยิ้มที่สว่างไสวเหมือนแสงตะวัน
อาคิระจ้องมองเธอราวกับถูกดึงดูด หญิงสาวผู้นี้ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่สิ่งที่ทำให้อาคิระต้องเบิกตากว้างคือความคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาดระหว่างเธอกับแม่ของเขา
“เอลเลนาร์…” กาเอลเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก
ทั้งสองหัวเราะเบาๆ ขณะพูดคุยกัน เสียงหัวเราะนั้นอบอุ่นจนทำให้อาคิระรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาเบาขึ้น
ทันใดนั้น ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป เขาพบว่าตัวเองอยู่กลางสนามรบ เสียงคำรามของศัตรูและเสียงดาบที่กระทบกันดังสนั่น ชายหนุ่มผู้เป็นกาเอลยืนอยู่กลางสมรภูมิ ดาบคู่สีดำและสีขาวในมือของเขาปล่อยแสงสว่างจ้าจนดูเหมือนจะตัดผ่านความมืด
“เพื่ออาร์เคเดีย…เพื่อเอลเลนาร์” กาเอลตะโกนก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีศัตรูตรงหน้า
อาคิระมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนอีกครั้ง
คราวนี้ เขาเห็นกาเอลนั่งคุกเข่าอยู่กลางความมืดมิด ปีกของเอลเลนาร์ถูกเด็ดออก เธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้าของเธอซีดเผือด
“เอลเลนาร์!” กาเอลตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
อาคิระรู้สึกถึงความเจ็บปวดในหัวใจของตัวเอง ภาพความรักที่แสนบริสุทธิ์ถูกบดขยี้โดยความโหดร้ายและการทรยศ เขาเห็นกาเอลกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยความโกรธแค้น
“ข้าจะไม่ยอมให้อภัยพวกมัน! ข้าจะทำลายทุกสิ่งที่พรากเธอไปจากข้า!” เสียงตะโกนของกาเอลดังสะท้อนก้องไปทั่ว
อาคิระถูกดึงกลับมายังโลกปัจจุบัน เขาหอบหายใจแรง ขณะมองไปที่เกราะตรงหน้า แสงของมันอ่อนลง แต่ยังคงเปล่งประกายอย่างเงียบงัน
“พี่…พี่เป็นอะไรไหมคะ?” ยูเอะถามขณะที่เธอจับมือของเขา
อาคิระพยักหน้าเบาๆ “ฉัน…เห็นบางสิ่ง”
“บางสิ่ง?” ดราโก้ถามพร้อมขมวดคิ้ว “นายหมายถึงอะไร?”
อาคิระจ้องมองเกราะตรงหน้า “เรื่องราวของกาเอล…ชายคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อคนที่เขารัก แต่กลับถูกทรยศและสูญเสียทุกอย่าง”
“กาเอล…” ยูเอะพึมพำ “นั่นชื่อที่หนูไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ”
“เขาเป็นผู้กล้า…แต่ก็เป็นชายที่ถูกความโกรธแค้นกลืนกิน” อาคิระตอบ เขามองไปที่เกราะอีกครั้ง ดวงตาของเขาสะท้อนความมุ่งมั่น “แต่ฉันเชื่อว่าเรื่องราวของเขาไม่ได้จบอยู่แค่นั้น”
บทสรุปของความทรงจำนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดเผยเรื่องราวของกาเอลและเอลเลนาร์ แต่ยังเป็นการเริ่มต้นของเส้นทางที่อาคิระต้องก้าวเดิน เขารู้ดีว่าความโกรธและความแค้นสามารถครอบงำจิตใจได้ แต่เขาเลือกที่จะใช้มันเป็นบทเรียนเพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเขา
ทั้งสามคนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าอีกครั้ง…
ตอนที่ 10: เกราะแห่งความสุขุม
ภายในวิหารลาวาที่เปล่งแสงสะท้อนจากเกราะแห่งความสุขุม อาคิระ ยูเอะ และดราโก้ยืนมองเกราะสีเงินที่ส่องประกายราวกับมีชีวิต แสงนั้นกระพริบไหวเบาๆ คล้ายกับว่ามันกำลังรอคอยผู้ครอบครอง
“เกราะนี้…ไม่เหมือนของธรรมดา” อาคิระพึมพำ ขณะยื่นมือไปสัมผัสพื้นผิวที่เรียบลื่นแต่แฝงไปด้วยพลังมหาศาล
ดราโก้ยืนมองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “อาคิระ ให้ฉันลองใส่ดูหน่อย ฉันอยากรู้ว่าเกราะนี่จะเหมาะกับฉันหรือเปล่า”
“ดราโก้…” อาคิระลังเล เขาจำความเจ็บปวดจากการต่อสู้ที่ผ่านมาได้ดี และรู้ว่าเกราะแห่งนี้อาจมีพลังที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของดราโก้ เขาก็พยักหน้า “ได้สิ แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติ รีบบอกทันทีนะ”
ดราโก้ก้าวไปข้างหน้า หัวใจของเขาเต้นแรง เขายื่นมือไปสัมผัสเกราะ และทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสพื้นผิว เกราะก็ส่องแสงสีแดงเข้มขึ้นมา ราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน
“แสงนี่…” ยูเอะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ระวังตัวไว้!” อาคิระเตือน ขณะที่เขาเองก็ถอยไปเล็กน้อยเพื่อเฝ้าสังเกต
ดราโก้ไม่สนใจ เขายกเกราะขึ้นและสวมมันด้วยความมั่นใจ แต่ในทันทีที่เกราะคลุมร่างเขาทั้งหมด ความรู้สึกที่แปลกประหลาดก็ถาโถมเข้ามา เสียงกระซิบลึกลับดังขึ้นในหัวของเขา ราวกับมีใครกำลังพูดอยู่ใกล้ๆ
“เจ้าไม่เคยคู่ควร…เจ้าเป็นเพียงเงาของผู้อื่น…”
ดราโก้ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่น พยายามไล่เสียงนั้นออกจากหัว “ไม่… ไม่จริง!”
เสียงกระซิบกลับยิ่งดังขึ้นและลึกลงไปในจิตใจ > “เจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองใช่ไหม? แต่เจ้าจะไม่มีวันทำได้…เพราะเจ้ามันไม่มีค่า”
ร่างของดราโก้เริ่มสั่นสะท้าน ความโกรธและความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ในใจถูกปลุกขึ้นมา แสงจากเกราะที่เคยเป็นสีแดงเข้มตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานที่ส่องสว่างราวกับลาวาเดือดปุด
ยูเอะเบิกตากว้างและร้องเรียก “พี่ดราโก้! หยุดนะคะ! มันไม่ใช่ของที่พี่ต้องใส่!”
“ยูเอะ!” อาคิระรั้งตัวเธอไว้ น้ำเสียงเคร่งเครียด “อย่าเข้าไปใกล้ มันอันตรายเกินไป!”
ดราโก้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานคล้ายเปลวเพลิง ความเจ็บปวดในหัวใจของเขาเหมือนถูกกระตุ้นจนถึงจุดเดือด “ไม่… ฉันไม่ยอมแพ้! ฉันจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้!”
แสงจากเกราะสว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะระเบิด เสียงคำรามดังลั่นจนพื้นวิหารสะเทือน ยูเอะน้ำตาคลอเบ้า เธอตะโกนสุดเสียง “พี่ดราโก้! ได้โปรดหยุดเถอะค่ะ! หนูรู้ว่าพี่กำลังเจ็บปวด แต่เราอยู่ตรงนี้กับพี่นะ!”
คำพูดของยูเอะเหมือนเป็นประกายแห่งแสงในความมืด ดราโก้กัดฟันแน่น น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนเกราะ เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้… ฉันไม่อยากแพ้อีกแล้ว…”
อาคิระก้าวเข้ามาใกล้ เขาเอื้อมมือไปจับไหล่ของดราโก้ “ดราโก้ นายไม่ได้ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น นายแค่ต้องเป็นตัวของนายเองเท่านั้น และเราทั้งหมดก็ยอมรับนายในแบบที่นายเป็น”
คำพูดนั้นทำให้ดราโก้สะดุ้ง แสงจากเกราะเริ่มจางลงเล็กน้อย เขากำหมัดแน่นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจดึงเกราะออกทีละชิ้น ความเจ็บปวดเหมือนถูกดึงพลังออกจากร่างกาย แต่เขาก็ยังอดทน
“เจ้าไม่มีค่า…”
“ไม่จริง!” ดราโก้คำรามเสียงดังลั่น “ฉันมีค่า! ฉันไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับแก!”
แสงสีแดงจากเกราะดับวูบลงในที่สุด ดราโก้ทรุดตัวลงกับพื้น หายใจหอบหนัก ยูเอะรีบพุ่งเข้าไปหาเขา น้ำตาไหลริน “พี่ดราโก้… พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
ดราโก้มองเธอด้วยสายตาอ่อนล้า ก่อนจะยิ้มบางๆ “ฉันไม่เป็นไร ขอโทษนะ ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง…”
อาคิระนั่งลงข้างเขา เขาวางมือบนไหล่ของดราโก้ “นายไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ดราโก้ นายทำได้ดีแล้ว”
ดราโก้ยิ้มจางๆ ขณะที่หันไปมองเกราะที่ตอนนี้กลับมาเปล่งแสงสีเงินเบาๆ “เกราะนี้…มันไม่ได้เลือกฉัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันยังมีค่าในแบบของตัวเอง”
ยูเอะพยักหน้า “พี่คือพี่ดราโก้ที่เราเชื่อใจค่ะ เกราะอะไรพวกนั้นไม่สำคัญเลย”
หลังจากพักฟื้น ดราโก้ก็กลับมายืนได้อีกครั้ง พร้อมกับคำมั่นในใจว่าเขาจะไม่ยอมให้ความไม่มั่นใจในตัวเองมากลืนกินเขาอีก
อาคิระมองดราโก้และยูเอะ ก่อนจะหันไปมองเกราะแห่งความสุขุมที่ยังคงรอผู้ที่เหมาะสมอยู่ เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดกับตัวเอง “ไม่ว่าสิ่งนี้จะต้องการใคร แต่เราจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุด…เพื่อพวกเราทุกคน”
ตอนที่ 11: การเตรียมตัวและเป้าหมายใหม่
แสงสะท้อนจากเกราะแห่งความสุขุมเปล่งประกายแผ่วเบาในแสงลาวาที่ลุกโชติช่วงรอบตัว มันดูไม่เหมือนสิ่งของธรรมดา โลหะที่สร้างเกราะนี้ให้ความรู้สึกถึงพลังและเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในทุกลวดลาย อาคิระยืนจ้องมองมันขณะที่ยังคงสวมเกราะอยู่ แสงที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้ดราโก้และยูเอะมองดูด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ดราโก้ยืนกอดอกก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง “ไม่อยากจะเชื่อว่าเกราะนั่นเลือกนาย ทั้งที่ฉัน…ก็คิดว่าฉันเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงถึงความอิจฉา แต่เต็มไปด้วยความสงสัยและเสียดาย
ยูเอะก้าวเข้ามาข้างๆ ดราโก้ “พี่ดราโก้คะ อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะ เกราะนี่อาจจะเลือกพี่อาคิระเพราะพี่มีอะไรบางอย่างที่มันเห็นว่าจำเป็นสำหรับตอนนี้” เธอยิ้มบางๆ พลางแตะแขนเขาเบาๆ “แต่พี่ก็สำคัญนะคะ หนูมั่นใจว่าไม่มีพี่ เราคงผ่านมาไม่ได้”
ดราโก้เงยหน้าขึ้นมองยูเอะพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็ดี อย่างน้อยมันก็เป็นอาวุธของพวกเรา” เขามองไปที่อาคิระ “แค่จำไว้ว่านายไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียวนะ เราเป็นทีมเดียวกัน”
อาคิระยิ้มเล็กน้อยขณะที่ปรับเกราะให้เข้าที่ “ใช่ ผมรู้ดีว่าไม่มีใครทำทุกอย่างได้คนเดียว และผมก็เชื่อว่าพวกเราสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”
บรรยากาศที่เคยกดดันในวิหารเริ่มเบาบางลง หลังจากตรวจสอบความเรียบร้อย ทั้งสามคนเตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังเมืองกลางที่ตั้งอยู่เชิงภูเขาไฟสุริยะคำราม เสียงลาวาเดือดพล่านยังคงดังก้องอยู่เบื้องหลังเมื่อพวกเขาก้าวออกจากวิหาร
เมื่อมาถึงลานกว้างหน้าปราสาทกลางเมือง อิกนิสยืนรออยู่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดวงตาสีเพลิงของเขาจับจ้องไปยังเกราะที่อาคิระสวมอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา
“พวกเจ้ากลับมาได้โดยสวัสดิภาพ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังคาออสที่ลดลงจากภูเขาไฟ นับเป็นสัญญาณที่ดี” อิกนิสกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เขาเดินเข้าไปใกล้อาคิระ สายตาของเขาจับจ้องที่เกราะแห่งความสุขุม “นี่คือสัญลักษณ์ของชัยชนะที่แท้จริง การที่เจ้าได้รับเกราะนี้หมายความว่าเจ้าสามารถก้าวข้ามความโกรธในจิตใจ และพิสูจน์ความมุ่งมั่นในตัวเจ้าได้”
อาคิระพยักหน้า “แต่ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่ายเลยครับ เราทำสำเร็จเพราะเราเป็นทีมเดียวกัน”
อิกนิสพยักหน้าด้วยความพอใจ “นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ข้าต้องบอกพวกเจ้าไว้ว่า ภารกิจของพวกเจ้ายังไม่จบเพียงเท่านี้”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งสามคนชะงักเล็กน้อย ยูเอะเอียงคอ “หมายความว่ายังไงคะ?”
“มีข่าวด่วนมาจากดินแดนอันดีน” อิกนิสกล่าว น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “เมืองใต้น้ำที่เคยงดงามที่สุดในอาร์เคเดีย กำลังถูกพลังคาออสคุกคามอย่างหนัก คาออสจากแอตแลนติโน่ เมืองที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร กำลังแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ระบบนิเวศและชีวิตในอันดีนใกล้พินาศเต็มที”
“คาออสแพร่กระจายได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ดราโก้ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ใช่” อิกนิสกล่าว “คาออสไม่ได้แค่กัดกร่อนสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ แต่มันกำลังเปลี่ยนแปลงวัฏจักรน้ำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตในอาร์เคเดีย ถ้าปล่อยให้คาออสกระจายไปมากกว่านี้ มันจะทำลายไม่เพียงแค่เมืองใต้น้ำ แต่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งทวีป”
อาคิระขมวดคิ้ว “หมายความว่ามันจะกระทบถึงทุกคนในอาร์เคเดียใช่ไหมครับ?”
“ถูกต้อง” อิกนิสตอบ “และหากวัฏจักรน้ำเสียหาย จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘ฝนคาออส’ ซึ่งจะกระจายพลังแห่งความมืดมิดไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก”
ความเงียบปกคลุมชั่วขณะก่อนที่อิกนิสจะพูดต่อ “ดราโก้ เจ้านำทีมเดินทางไปยังอันดีน พร้อมกับอาคิระและยูเอะ นี่เป็นโอกาสของเจ้าในการพิสูจน์ความสามารถในการเป็นผู้นำ”
ดราโก้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
อาคิระยิ้มให้กำลังใจ “ผมมั่นใจว่าคุณทำได้ ดราโก้ เราจะช่วยกันเหมือนที่เคยทำในดราเคน”
ยูเอะพยักหน้า “ใช่ค่ะ พวกเราจะช่วยกัน”
ไม่นานนัก พวกเขาขึ้นรถไฟคริสตัลที่ใช้พลังงานแมกม่า รถไฟค่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานี เส้นทางทอดยาวข้ามมหาสมุทรเปิดเผยทิวทัศน์กว้างใหญ่ ผืนน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับ สร้างบรรยากาศที่สงบงาม
“การเดินทางครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” อาคิระพูดขึ้นเบาๆ
ดราโก้พยักหน้า “เพราะสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่แค่ภัยคุกคามธรรมดา แต่มันคือสิ่งที่อาจทำลายทุกอย่างที่เรารู้จัก”
ยูเอะจับแขนพี่ชายของเธอแน่น “แต่พวกเราจะผ่านมันไปได้ใช่ไหมคะ?”
อาคิระยิ้มบางๆ “แน่นอน พวกเราจะทำให้ได้”
เสียงเครื่องยนต์ของรถไฟดังสะท้อนขณะที่มันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่ เบื้องหน้าคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การเดินทางสู่ดินแดนอันดีนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments